อิงเหนียงนอนรอข่าวอยู่บนเตียงตลอด จนกระทั่งถึงยามจื่อก็มีป้ารับใช้เข้ามารายงาน “คุณชายน้อยหก คุณชายน้อยสองและคุณชายน้อยห้ากลับมาดึกเลยบังเอิญเจอกันที่หน้าประตูพอดี คุณชายน้อยสองกับคุณชายน้อยห้าจึงนอนที่เรือนของคุณชายน้อยหกเจ้าค่ะ คุณชายน้อยหกบอกว่า วันนี้ดึกมากแล้วพรุ่งนี้เช้าค่อยเข้ามาคารวะไท่ฮูหยินกับฮูหยินสี่เจ้าค่ะ”
อิงเหนียงถอนหายใจ ให้เงินรางวัลป้ารับใช้คนนั้น ในใจเอาแต่นึกถึงเรื่องที่จิ่นเกอชกต่อยกับคนอื่น แต่ว่าตอนนี้ลานในปิดประตูแล้ว…นางหลับไปครู่หนึ่ง ตื่นขึ้นมาฟ้ายังมืดอยู่ จึงเรียกสือเยี่ยน สาวใช้ที่เฝ้ายามเข้ามาถาม “ตอนนี้ยามใดแล้ว”
สือเยี่ยนคือสาวใช้ที่ติดตามอิงเหนียงมาจากอวี๋หัง นางวิ่งไปที่ดูนาฬิกาไขลานที่ห้องโถง “ยามอิ๋นเจ้าค่ะ ยังเช้าอยู่ ท่านนอนต่ออีกสักหน่อยเถิด!”
ลานในเปิดประตูยามยามเหม่า
อิงเหนียงลุกขึ้นนั่ง “เจ้าบอกให้สาวใช้ตักน้ำเข้ามา ข้าจะไปเรือนชิงหยินจวี”
สือเยี่ยนยิ้ม “คุณนายน้อยห้าไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ ในเมื่อคุณชายน้อยห้าบอกว่าจะนอนที่เรือนของคุณชายน้อยหก เขาก็ต้องนอนที่นั่นแน่นอนเจ้าค่ะ แล้วยังมีคุณชายน้อยสองอยู่ด้วยอีก”
พวกนางสองคนสนิทสนมกัน มักจะหยอกล้อกันบ่อยๆ แต่ครั้งนี้อิงเหนียงไม่รู้สึกตลกด้วย สือเยี่ยนรีบหุบยิ้ม ย่อเข่าคำนับด้วยความเคารพ จากนั้นก็เรียกสาวใช้เข้ามารับใช้อิงเหนียงแต่งตัว
อิงเหนียงไปที่เรือนชิงหยินจวีตั้งแต่เช้าตรู่
คนในเรือนชิงหยินจวีพึ่งจะตื่นนอน บรรดาสาวใช้ต่างก็สะลึมสะลือ หงเหวินแต่งงานออกไปแล้ว อาจินสาวใช้ใหญ่ ถึงแม้ว่าบนใบหน้าจะมีรอยยิ้มแต่ในแววตาของนางกลับไร้ซึ่งรอยยิ้ม
“คุณนายน้อยห้าเจ้าคะ” นางไม่รอให้อิงเหนียงพูดอะไรก็รีบต้อนรับอิงเหนียงเข้าไปในห้องโถงทันที “จะทำอย่างไรดีเจ้าคะ” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทาพร้อมน้ำตาคลอเบ้า “คุณชายน้อยหกมุมปากแตก ใบหน้าก็บวมเป่ง ประเดี๋ยวไปคารวะไท่ฮูหยินและฮูหยิน จะทำอย่างไรดีเล่าเจ้าคะ”
แต่อิงเหนียงกลับรีบถามว่า “ยังมีแผลที่อื่นอีกหรือไม่”
“ไหล่ช้ำเจ้าค่ะ” อาจินส่ายหน้า “นอกนั้นก็ไม่มีแผลที่ไหนอีกแล้ว”
อิงเหนียงสูดลมหายใจเข้า จากนั้นก็ถามว่า “คุณชายน้อยสองว่าอย่างไรบ้าง”
“คุณชายน้อยสองเข้ามาส่งคุณชายน้อยหกแล้วก็ออกไปทันที ถึงตอนนี้ก็ยังไม่เห็นเงาของเขาเลยเจ้าค่ะ” อาจินพูดเบาๆ “แต่ว่าคุณชายน้อยห้าใช้น้ำเย็นประคบมุมปากให้คุณชายน้อยหกอยู่ตลอด” ในน้ำเสียงมีความไม่พอใจสวีซื่ออวี้
อิงเหนียงแปลกใจ
จู่ๆ ก็มีเสียงที่สดใสร่าเริงของจิ่นเกอดังออกมาจากในห้อง “พี่สะใภ้ห้า เหตุใดถึงมาเช้าขนาดนี้เล่า”
อิงเหนียงเงยหน้าขึ้นก็เห็นจิ่นเกอที่สวมเสื้อสีฟ้าเปิดม่านออกมา
ใบหน้าของเขาขาวราวกับหยก รอยช้ำตรงมุมปากเลยสะดุดตาเป็นพิเศษ
อิงเหนียงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกสงสาร นางยื่นมือออกไปแตะ แต่ก็กลัวว่าจะทำให้เขาเจ็บ มือที่ยื่นออกไปหยุดชะงักอยู่กลางอากาศ นางถามเขาอย่างระมัดระวัง “เจ็บหรือไม่”
“ไม่เจ็บขอรับ!” จิ่นเกอฉีกยิ้มแต่กลับกระเทือนไปยังแผลที่มุมปาก ยังไม่ทันได้ยิ้มก็ทำสีหน้าขมขื่น ทำให้เขามีสีหน้าตลก “ตอนนั้นไม่ได้ระวัง ตอนนี้ไม่รู้สึกอะไรแล้วขอรับ”
“อยู่ต่อหน้าข้ายังแสร้งทำเป็นแข็งแกร่ง?” อิงเหนียงอดไม่ได้ที่จะบ่น “สุภาพบุรุษจะไม่ให้ตัวเองตกอยู่ในที่ที่อันตราย แต่เจ้ากลับไปต่อยกับคนอื่น ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะจัดการเรื่องที่ตามมาเช่นไร” พูดจบ นางก็หันไปถามอาจิน “มีผงกุหลาบหรือไม่ นำไปผสมกับผงหูเฝิ่น ไม่รู้ว่าจะปิดแผลได้หรือไม่” นางพูดต่ออีกว่า “ข้ามีผงกุหลาบ” จากนั้นก็ตะโกนเรียกสือเยี่ยน “…เจ้าไปนำมาเร็วเข้า!”
สือเยี่ยนขานรับแล้วเดินออกไป
“ข้าไม่ใช่ผู้หญิงเสียหน่อย!” จิ่นเกอไม่ยอมรีบพูดเสียงดัง “จะให้ทาแป้งบนใบหน้าได้ที่ไหนกัน แล้วอีกอย่าง อยู่ใกล้ขนาดนั้น ถึงแม้ว่าท่านย่าจะสายตาสั้น แต่ได้กลิ่นแป้งก็คงจะสงสัย ไม่สู้คิดหาวิธีอื่นยังจะดีเสียกว่า”
“เช่นนั้นเจ้าคิดว่าควรทำเช่นไร” อิงเหนียงเบิกตากว้างใส่เขา “บอกว่าเจ้าหกล้ม? เจ้าเริ่มฝึกย่อเข่าตั้งแต่อายุหกขวบ ถึงจะผลักใครล้มได้แต่ก็ผลักเจ้าไม่ล้ม!” พูดถึงตรงนี้ นางก็รีบพูด “ใช่แล้ว เรื่องเมื่อวานเป็นอย่างไรบ้าง ฉังอาน สุยเฟิงและคนอื่นๆ เป็นอะไรหรือไม่ แล้วยังมีใครรู้เรื่องนี้อีก ได้ยินว่าอีกฝ่ายมาจากไหวอาน ซ้ำยังบอกว่าหากเกิดเรื่องต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ก็ไม่กลัว รู้หรือยังว่าพวกเขาเป็นใคร”
“ไม่ต้องห่วงขอรับ! คนเหล่านั้นคิดว่าตัวเองเก่งกาจ ไม่เห็นคนของศาลว่าการและกองปัญจทิศรักษานครอยู่ในสายตา เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มแย่ก็ไปเรียกคนมาช่วย พวกข้าหนีออกไปตั้งนานแล้ว” จิ่นเกอพูดด้วยสีหน้าที่มีความภาคภูมิใจ “ฉังอาน สุยเฟิงและคนอื่นๆ ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ทายาประเดี๋ยวเดียวก็หาย…แต่สำหรับไอ้คนพวกนั้น คงต้องนอนติดเตียงไปปีครึ่ง ไม่ต้องหวังที่จะลงจากเตียง!” เขาพูดต่อไป “ไม่ดูว่าเป็นที่ของใครก็กล้ามาหยิ่งยโสโอหัง มังกรยังจะเกรงกลัวงูใต้ดินอย่างนั้นหรือ สมน้ำหน้าพวกมัน!” เขาพูดด้วยท่าทีดูถูก “องครักษ์ที่ข้าพาไปด้วยสองสามคน ล้วนแต่เป็นยอดฝีมือของจวนสกุลเรา หากพวกเขาเอาชนะได้ ข้าคิดว่า จวนสกุลหย่งผิงโหวของเราคงต้องเก็บป้ายจวนมาซ่อนไว้กระมัง จะได้ไม่อับอายขายขี้หน้า”
“พูดจาเหลวไหล” อิงเหนียงตกใจ “ทำไมเจ้าถึงบุ่มบ่ามเช่นนี้ ชนะก็พอแล้ว ทำไมต้องต่อยพวกเขาขนาดนั้น ควรปล่อยพวกเขาไปก็ต้องปล่อยพวกเขา ข้าได้ยินบ่าวรับใช้บอกว่า พวกเจ้าเป็นคนหาเรื่องพวกเขาก่อน…”
“ข้าหาเรื่องพวกเขาก่อน? พวกเขามาหาเรื่องข้าก่อนต่างหาก!” นางยังพูดไม่จบ จิ่นเกอก็กระโดดขึ้นมาราวกับแมวที่ถูกเหยียบหาง “ข้าออกมาจากจวนติ้งกั๋วกง ไม่ระวังทำม้าของพวกเขาตกใจ ข้าขอโทษพวกเขาแล้วแต่พวกเขายังตามไปถึงโรงน้ำชา ข้าเห็นพวกเขาหยิ่งยโสโอหัง อยากจะต่อยคนของพวกเขาสักสองคนก่อน แล้วค่อยบอกว่าจะเลี้ยงสุราขอขมาพวกเขาที่หอชุนซี ถือว่าหายกัน แต่ใครจะรู้ว่าพวกเขาไม่เพียงแต่ไม่รับน้ำใจ ซ้ำยังเรียกคนมาอีกตั้งหลายคน…ท่านจะให้ข้าทำเช่นไร ข้าคิดว่าข้ามีเมตตาที่สุดแล้ว หรือจะให้ข้ายืนเฉยๆ ปล่อยให้พวกเขาต่อยฝ่ายเดียวอยู่ตรงนั้น”
อิงเหนียงจับช่องโหว่ในคำพูดของเขาได้ทันที “เจ้าบอกว่าจะออกไปเดินเล่นไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงไปจวนติ้งกั๋วกงเล่า แล้วทำไมยังทำให้ม้าของพวกเขาตกใจ ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เจ้าขอโทษแล้ว คนเฝ้าประตูจวนติ้งกั๋วกงใช่ว่าจะไม่รู้จักเจ้า พวกเจ้าทะเลาะกัน เหตุใดถึงไม่มีคนของจวนติ้งกั๋วกงออกมาไกล่เกลี่ยเลย แล้วยังปล่อยให้พวกเขาตามไปถึงโรงน้ำชา”
จิ่นเกอถูกนางเค้นถาม กำลังจะพูดอะไรบางอย่างก็มีเสียงเบาๆ ดังขึ้นมา “ตอนนั้นเขาสวมเสื้อบ่าวรับใช้ จู่ๆ ก็ออกมาจากซอยเล็กๆ ของจวนติ้งกั๋วกง ทำให้คนสองสามคนตกใจจนเกือบจะตกม้า”
“พี่สอง!” จิ่นเกอหน้าแดงด้วยความเก้อเขิน
อิงเหนียงมองออกไป
สวีซื่ออวี้ยังสวมเสื้อตัวเมื่อวาน สีหน้าของเขามีความเหนื่อยล้า
“เขาสวมเสื้อบ่าวรับใช้เลยไม่มีใครมองออกว่าเขาคือจิ่นเกอ” เขาพูดแล้วเดินเข้ามา “ผู้ว่าการกรมขนส่งเสบียงอาหารมีอำนาจในไหวอาน เฉินจี๋ บุตรชายคนเดียวของเขาโตมากับเขาที่ไหวอาน ถูกเลี้ยงดูราวกับสมบัติล้ำค่าจึงทำให้เขาไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ครั้งนี้เขากลับมาเมืองหลวงตามพระราชโองการ จิ่นเกอขอโทษแล้วก็วิ่งหนี ไม่มีความจริงใจ เฉินจี๋จะยอมปล่อยเขาไปได้อย่างไร” พูดจบ เขาก็มองไปที่จิ่นเกอ “เจ้าต่อยผู้ติดตามสองคนของเฉินจี๋บาดเจ็บ บอกว่าจะเลี้ยงสุราที่หอชุนซี ตอนนั้นพวกเขาก็ตื่นตระหนกแล้ว ถามว่าเจ้าคือคนของใคร แต่เจ้ากลับบอกว่าเป็นสกุลญาติของจวนติ้งกั๋วกง สกุลญาติของติ้งกั๋วกงจะออกมาจากซอยเล็กๆ อย่างนั้นหรือ คนเฝ้าประตูจะไม่รู้จักสกุลญาติของติ้งกั๋วกง? แบบนี้เจ้าจะให้เฉินจี๋คิดอย่างไร เขาคิดว่าเจ้ากำลังล้อเล่นกับพวกเขา แน่นอนว่าเขาต้องโมโห”
“พี่สองขอรับ” จิ่นเกอหัวเราะแห้ง “ข้าเห็นว่าอีกฝ่ายดูไม่เกรงกลัวราวกับมีคนหนุนหลัง ถ้าบอกว่าเป็นคนสกุลสวีทำให้พวกเขารู้ว่าเราคือใคร หากพวกเขาฉวยโอกาสล่ะขอรับ พอรู้แล้วก็หาโอกาสลอบโจมตี ตอนนั้นข้าเลยบอกว่าเป็นคนของท่านลุงสี่!”
กลัวพ่อสามีจะรู้ว่าเขาต่อยกับคนอื่นข้างนอก หรือกลัวคนอื่นจะล่วงรู้ตัวตนของเขากันแน่? อิงเหนียงสงสัย
แต่สวีซื่ออวี้กลับไม่ปฏิเสธ เขาพูดเบาๆ “ข้าบอกองครักษ์สองสามคนที่บาดเจ็บเอาไว้แล้ว ช่วงนี้พวกเขาไปไหนมาไหนกับเจ้าตลอด แล้วก็ใกล้ปีใหม่แล้ว ข้าให้ฝ่ายรักษาการณ์หยุดงานให้พวกเขา หลังจากขึ้นปีใหม่ แผลของพวกเขาก็คงดีขึ้น สำหรับแผลของเจ้า…” เขาเหลือบมองจิ่นเกอเป็นนัย “เมื่อคืน ข้าหาพ่อลูกคู่หนึ่งเข้ามาในจวน ให้พวกเขาอยู่ที่ลานซีคว่าทางทิศตะวันออก…”
“พี่สองขอรับ!” จิ่นเกอเข้าใจทันที เขายิ้มแล้วกอดแขนสวีซื่ออวี้ “ข้าบอกแล้ว ด้วยความสามารถของพี่สองจะไม่มีแผนรับมือได้เช่นไร พี่สะใภ้ห้า ท่านเห็นหรือไม่เล่าว่าพี่สองมีแผนเช่นนี้ ถึงตอนนั้นหากท่านแม่หรือท่านย่าถาม ข้าก็จะบอกว่าข้าเห็นสองพ่อลูกถูกรังแกจึงเข้าไปช่วย” เขายิ้มแล้วพูดต่อไปว่า “พี่สอง ท่านใช้เวลาคิดตั้งนานใช่หรือไม่ขอรับ ประเดี๋ยวข้าเลี้ยงอาหารท่านที่หอแสดงเอง” จากนั้นก็พูดกับอิงเหนียงว่า “พี่ห้าก็ไปด้วย พี่สะใภ้ห้าชอบทานอะไร ข้าบอกให้คนนำกลับมาให้ขอรับ!”
สวีซื่ออวี้เห็นเช่นนี้ สายตาของเขาก็แฝงไปด้วยความรักและเอ็นดูที่ไม่มีใครสังเกตเห็น
อิงเหนียงตกใจ ไม่สนใจจิ่นเกอแล้วหันไปถามสวีซื่ออวี้ “เช่นนี้ จะได้ผลหรือเจ้าคะ”
สวีซื่ออวี้ไม่พูดอะไร เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถามจิ่นเกอ “เจ้าไปทำอะไรที่จวนติ้งกั๋วกง มีประตูดีๆ ไม่เข้า เหตุใดถึงต้องสวมเสื้อบ่าวรับใช้แล้วแอบออกมาจากในซอยเล็กๆ”
จิ่นเกอพูดไม่ออก
“ไอ๊หยา สวมเสื้อบ่าวรับใช้จะได้ไม่มีใครจับตามองอย่างไรเล่า! พี่สองไม่ได้ฉลองปีใหม่ที่เยี่ยนจิงนานแล้วใช่หรือไม่ขอรับ ท่านไม่รู้ว่าถนนตงต้าและถนนซีต้าแออัดแค่ไหน ข้าเลยสงสัยว่าทำไมคนทั้งเยี่ยนจิงล้วนแต่ไปอยู่ที่นั่นกันหมด…”
เขาพูดจาเหลวไหล
สวีซื่ออวี้มองเขาอย่างเงียบเชียบ
อิงเหนียงตระหนักอะไรขึ้นมาได้
ครั้งก่อนนางไปงานเลี้ยงที่สกุลเวยเป่ยโหว เหมือนได้ยินคนพูดว่า จวนติ้งกั๋วมีคุณชายท่านหนึ่งที่อยากอภิเษกสมรสกับองค์หญิงใหญ่ แล้วยังเชิญแม่สามีมาช่วยพูดให้…
“จิ่นเกอ” นางพูดขึ้น “เจ้าแอบไปดูคุณชายสกุลติ้งกั๋วกงคนนั้นให้องค์หญิงใหญ่ใช่หรือไม่”
จิ่นเกอพลันตัวแข็งทื่อ
สวีซื่ออวี้ได้ยินดังนั้นสีหน้าของเขาก็เคร่งขรึม “น้องสะใภ้ห้า เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
อิงเหนียงพูดด้วยความไม่สบายใจ “วันนั้นข้าและจิ่นเกอกำลังเล่นกันอยู่ที่ลานของท่านแม่…”
“ช่างมันเถิด! ในเมื่อพี่สะใภ้ห้ารู้แล้ว ข้าเล่าเองดีกว่า!” เขาก้มหน้าลง เอ่ยขัดคำพูดของอิงเหนียงด้วยท่าทางอ่อนแรง “เรื่องอภิเษกสมรสขององค์หญิงใหญ่ มีตัวเลือกมากมาย แต่ฮ่องเต้และฮองเฮาตัดสินใจไม่ได้สักที ประเดี๋ยวก็มีข่าวลือว่าฮ่องเต้จะให้หลานชายของโอวหยางหมิงอภิเษกสมรสกับองค์หญิงใหญ่ ประเดี๋ยวก็มีข่าวลือว่าฮองเฮาถูกใจลูกพี่ลูกน้องของไท่จื่อเฟย สองคนนี้องค์หญิงใหญ่เคยเห็นมาก่อนแล้ว บอกว่าคนหนึ่งเย่อหยิ่ง ส่วนอีกคนหนึ่งซื่อบื้อ หากแต่งงานกันคนเช่นนี้ไม่สู้อยู่คนเดียวยังจะดีกว่า จึงบอกให้ข้าช่วยแอบไปดูคนที่ถูกคัดเลือก นางจะเลือกสามีด้วยตัวเองขอรับ”