เมื่อหวังหลิงได้ยินชื่อจางอวี้ เส้นประสาทที่ตึงเครียดของเขาก็ผ่อนคลายลงทันที
ท่านแม่เคยพูดเอาไว้ว่า ถ้ามีใครต้องการที่จะตรวจสอบเรื่องนี้ละก็ จางอวี้ย่อมเป็นผู้ต้องสงสัยคนสำคัญของบรรดาเจ้าหน้าที่
ดูเหมือนว่าคนพวกนี้มาที่นี่เพื่อตรวจสอบเรื่องนี้จริง
เขาต้องทำตัวให้เป็นธรรมชาติมากกว่านี้
มือของหวังหลิงชะงักอยู่ที่ลูกบิดประตู เขาหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเปิดประตูออก
เมื่อเขาเห็นว่าคนที่ยืนอยู่ด้านนอกคือเฮ่อเหลียนเวยเวยกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย หวังหลิงก็รู้สึกตกใจอย่างยิ่ง เขาเอ่ยถามอย่างไม่ทันระวังตัวว่า ”ทำไมถึงเป็นเจ้าล่ะ”
เสนาบดีประจำกรมขุนนางอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยใช้มือซ้ายส่งสัญญาณบอกให้เขาเงียบ จากนั้นนางจึงอธิบายว่า ”ที่จริงแล้วพวกข้าไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านฮวงจุ้ย แต่เป็นคนของทางการ วังหลวงเห็นคดีนี้เป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก ดังนั้นพวกเราจึงถูกส่งตัวมาหาเจ้า พวกเรารู้ว่าประชาชนคงไม่อยากพูดอะไรมากนักเกี่ยวกับคดีนี้เพราะมันอาจสร้างปัญหาให้กับพวกเขาได้ แต่เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง พวกเราจะดำเนินการตามกฎหมายไม่ว่าฐานะของคนร้ายคนนั้นจะเป็นอย่างไรก็ตาม ครั้งนี้ที่พวกเรามาตอนกลางดึกเช่นนี้ก็เพราะต้องการทำความเข้าใจกับสถานการณ์ปัจจุบันของจางอวี้เท่านั้น”
หลังจากเฮ่อเหลียนเวยเวยพูดจบ ความระมัดระวังของหวังหลิงก็หายไป เขาลังเลและกำลังสงสัยว่าควรจะให้พวกเขาเข้ามาหรือไม่
ทันใดนั้น แม่เฒ่าหวังก็ส่งเสียงเรียกมาจากในบ้าน ”อาหลิง ให้เจ้าหน้าที่สองคนนั้นเข้ามา มโนธรรมของข้าคงได้ถูกรบกวนไปด้วยหากข้าไม่ได้สะสางเรื่องนี้ให้ชัดเจน”
แม่เฒ่าหวังปล่อยให้พวกเขาเข้ามาเพราะนางมีแผนการของตัวเองอยู่ในใจ
ประการแรก ถ้านางไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่เข้ามาตอนนี้ มันจะยิ่งทำให้อีกฝ่ายรู้สึกสงสัย ลูกชายของนางก็กำลังจะได้เป็นบัณฑิต นางจะปล่อยให้เรื่องเล็กน้อยนี่ทำลายชื่อเสียงของลูกชายตัวเองไม่ได้
ประการที่สอง นางสามารถใช้โอกาสนี้เพื่อเบี่ยงเบนความสงสัยนั้นไปให้คุณชายรองของตระกูลจางต่อไปได้
ประการที่สาม ในไม่ช้าตระกูลเหยียนคงรู้ว่าหลิ่วเอ๋อร์หายตัวไป ถ้าเจ้าหน้าที่สองคนนั้นอยู่ที่นี่ด้วย นางก็จะได้มีพยาน
จากนั้นก็จะไม่มีใครสงสัยว่านางเป็นคนลักพาตัวเหยียนหลิ่วเอ๋อร์ ส่วนแม่สาวหลิ่วเอ๋อร์คนนั้น นางมั่นใจว่านางซ่อนนางไว้ได้อย่างแนบเนียน
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้แม่เฒ่าหวังที่วางแผนการไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบเอ่ยปากขึ้น
ในเมื่อผู้เป็นมารดาอนุญาต หวังหลิงจึงไม่ได้คัดค้าน เขาขยับไปยืนด้านข้างแล้วปล่อยให้เฮ่อเหลียนเวยเวยกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเข้ามาในสวน หลังคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงหันหลังกลับแล้วจัดการลงกลอนประตูไม้
เสียงที่ดังขึ้นทำให้เสนาบดีประจำกรมขุนนางรู้สึกกังวลอย่างมาก
เขาไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในสวนนั้น มาตอนนี้เมื่อประตูปิดลง เขาก็ยิ่งมองอะไรไม่เห็นเลยแม้แต่นิดเดียว
ยิ่งกว่านั้น ก็มีความเป็นไปได้สูงทีเดียวที่คนร้ายในครั้งนี้จะเป็นภูตผี
พวกเขาจะรับมือกับมันได้หรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยสังเกตการเคลื่อนไหวอย่างไม่เป็นธรรมชาติของหวังหลิง แล้วจึงเลิกคิ้วขึ้น แต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป นางทำเพียงมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่อยู่ข้างๆ เท่านั้น
องค์ชายยังคงเดินต่อด้วยท่าทางสูงศักดิ์และสง่างามเฉกเช่นเคย ราวกับว่าไม่ว่าประตูจะเปิดหรือปิดก็ไม่ใช่เรื่องของเขา
ทันทีที่เห็นเช่นนี้ หวังหลิงก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ ความรู้สึกนี้รุนแรงยิ่งกว่าตอนที่เขาเห็นจางอวี้เสียอีก
เพราะจางอวี้มีข้อเสียมากมายที่เขาจะสามารถเหน็บแนมได้
แต่ชายที่อยู่ตรงหน้าเขาสมบูรณ์แบบเกินไปจนดูไร้ที่ติ
บรรยากาศที่เขาแผ่ออกมาเป็นสิ่งที่ต่อให้เขาพยายามเท่าใดก็ไม่มีทางได้มา
หึ ก็แค่มีฐานะนิดหน่อยไม่ใช่หรือ
ทันทีที่เขาได้เป็นจอหงวน เจ้าหน้าที่จากกรมขุนนางพวกนี้ย่อมไม่มีอะไรมาเทียบกับเขาได้!
เมื่อคิดได้ดังนี้ หวังหลิงก็ยืดหลังตรง พร้อมกับเดินนำเฮ่อเหลียนเวยเวยและไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเข้าไปในบ้านอย่างสง่างาม
บ้านของพวกเขาดูปกติดี นอกจากอากาศที่ติดจะหนาวเย็นเพราะไร้กองไฟและสภาพซ่อมซ่อของมัน มันก็เป็นเพียงแค่บ้านธรรมดาทั่วไป
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้เรียกเสี่ยวเฮยออกมา เพราะพลังของมันแข็งแกร่งเกินไป และมันจะทำให้พวกเขารู้ตัวทันทีที่ปรากฏตัว ดังนั้นนางจึงส่งกระแสจิตถามองค์ชายที่อยู่ข้างๆ ว่า ‘ท่านได้กลิ่นอะไรหรือเปล่า’
เฮ่อเหลียนเวยเวยเชื่อว่าจากบางมุม ประสาทการรับกลิ่นขององค์ชายยังเฉียบคมกว่าของเสี่ยวเฮยเสียอีก
คนฉลาดอย่างองค์ชายจะไม่เข้าใจความหมายของนางได้อย่างไร เขาเหลือบมองนาง เฮ่อเหลียนเวยเวยรีบเก็บมือตัวเองและทำทีเป็นเชื่อฟัง
ภาพนี้ทำให้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอารมณ์ดีขึ้น แม้กระทั่งเสียงของเขาก็ยังคล้ายกับมีรอยยิ้มอยู่ในนั้น ‘ไม่เลย’
ไม่หรือ เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้ว นางเดาผิดหรือ
แม่เฒ่าหวังสุภาพอย่างมาก นางลุกขึ้นจากเก้าอี้โยกทันทีที่พวกเขาเข้ามาถึง แต่พวกเขาก็มองเห็นนางได้ไม่ชัดเจนนักเพราะแสงในบ้านหลังนี้จัดว่าน้อยมากทีเดียว
“ในบ้านอากาศหนาว แล้วข้าเองก็ไม่ได้ต้มน้ำเอาไว้ เชิญท่านทั้งสองนั่งก่อนเถิด อาหลิงของข้าเป็นคนซื่อ และยังผูกมิตรกับผู้อื่นไม่ค่อยเก่งนัก หวังว่าเมื่อครู่นี้เขาคงไม่ได้ทำอะไรที่เสียมารยาทต่อพวกท่านเข้านะเจ้าคะ” แม่เฒ่าหวังเอ่ยอย่างระมัดระวังเหมือนประชาชนทั่วไปที่พยายามเอาใจบรรดาเจ้าหน้าที่
ถ้าคนที่เข้ามาที่นี่ไม่ใช่เฮ่อเหลียนเวยเวยแต่เป็นคนอื่น พวกเขาคงได้ถูกนางตบตาเข้าแล้ว
นี่อาจเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมหลังจากคดีคนหายครั้งแรก บรรดาเจ้าหน้าที่จึงไม่สังเกตเห็นความผิดปกติอันใดในตระกูลหวัง แม้ว่าพวกเขาจะค้นหาบ้านทุกหลังไปแล้วก็ตาม
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยสังเกตเห็นรายละเอียดเล็กน้อยนั้นได้ ซึ่งก็คือชุดที่นางสวมอยู่นั่นเอง นางสวมเพียงเสื้อตัวบางๆ ที่ปกติแล้วมักจะสวมกันแค่ในช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วงเท่านั้น มันดูบางเสียจนไม่สามารถต้านทานลมได้เลยด้วยซ้ำ
ก่อนมาที่นี่ เฮ่อเหลียนเวยเวยได้สืบเรื่องของสองแม่ลูกตระกูลหวังมาแล้ว
หวังหลิงก็เหมือนกับผู้ชายธรรมดาที่มีฐานะยากจนในยุคนี้ เขาคิดว่าผู้หญิงทุกคนตกหลุมรักชายคนอื่นเพียงเพราะเงิน สำหรับเขาแล้ว สาเหตุที่พวกนางไม่ตกหลุมรักเขานั้นเป็นเพราะพวกนางมองไม่เห็นศักยภาพที่อยู่ในตัวเขา แม้เขาจะดูเป็นบัณฑิตผู้อ่อนโยน แต่ในความเป็นจริงนั้นหัวใจของเขากลับเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาอยู่เสมอ
นอกจากนั้นเขาก็ยังกตัญญูต่อแม่เฒ่าหวังอย่างมาก
อาจเป็นเพราะบิดาของหวังหลิงจากไปเร็วเกินไป ดังนั้นเขาจึงคิดถึงแม่เฒ่าหวังอยู่เสมอ
แต่ทั้งที่เป็นเช่นนั้น ถ้าหวังหลิงมีเสื้อคลุมผ้าฝ้ายอยู่สองตัว เขาก็ไม่เคยคิดที่จะมอบมันให้กับแม่เฒ่าหวังแม้แต่ตัวเดียว
และตั้งแต่ที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเดินเข้ามา นางก็สังเกตเห็นว่าแม่เฒ่าหวังไม่ได้ตัวสั่นจากความหนาวเลยแม้แต่นิดเดียว
ในการศึกษาทางจิตวิทยามีสิ่งที่เรียกกันว่าการสังเกตพฤติกรรมอยู่
คนเราสามารถโกหกกันผ่านทางคำพูดหรือผ่านทางสีหน้าที่แสดงออกมาได้ แต่เราย่อมไม่สามารถควบคุมปฏิกิริยาทางด้านร่างกายได้ สิ่งที่มันแสดงออกมาให้เห็นย่อมเป็นสิ่งที่มันควรเป็น
เมื่อพิจารณาจากพฤติกรรมของแม่เฒ่าหวัง เฮ่อเหลียนเวยเวยสามารถสรุปได้ว่านางไม่รู้สึกถึงความหนาวเย็นเลยแม้แต่นิดเดียว
ทั้งที่อุณหภูมิในเมืองหลวงติดลบต่ำกว่าสิบองศา แต่นางกลับไม่รู้สึกหนาวเช่นนี้จึงนับว่าเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดอย่างยิ่ง!
เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตาลงครู่หนึ่ง นางซ่อนสิ่งที่ตัวเองรู้สึกเอาไว้พลางเอ่ยกับแม่เฒ่าหวังด้วยรอยยิ้มว่า ”แม่เฒ่าไม่ต้องกังวล พวกเรามาที่นี่เพราะอยากทำความเข้าใจสถานการณ์ให้ดีขึ้นเท่านั้น อย่างไรตระกูลที่รู้จักจางอวี้ดีที่สุดในซอยนี้ก็คือตระกูลหวังของท่าน”
แม่เฒ่าหวังยืนอยู่กับที่แล้วถอนหายใจออกมา ”พวกเราไม่ควรพูดอะไรเกี่ยวกับตระกูลจางไปมากกว่านี้ วันนั้นที่พวกท่านสองคนอยู่ที่นั่น แม่เฒ่าจางก็เล่าทุกอย่างที่นางสามารถเล่าได้ให้ฟังไปหมดแล้ว ตระกูลจางกับตระกูลหวังไม่ได้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน พวกเราจะไม่ปล่อยให้หญิงใดที่เคยมีประวัติกับชายอื่นเข้ามาในบ้านของเรา เรื่องอื่นข้าไม่รู้ แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้าเก็บงำเป็นความลับเอาไว้จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ คิดดูอีกที มันอาจจะเป็นประโยชน์กับท่านก็ได้…”