ตอนที่ 8 งานสมรสเป็นเรื่องใหญ่
กัวซื่อดูออกว่าเจียงอันเฉิงแห่งตงผิงปั๋วไม่ได้เป็นคนสง่าเท่าไหร่นัก
บัณฑิตเจอทหารมีเหตุผลก็ใช้ไม่ได้ นางทำได้เพียงเก็บความรู้สึกไม่พอใจเอาไว้แล้วยิ้มให้กับเหล่าฮูหยิน “เหล่าฮูหยิน การดองกันในครั้งนี้ ถือว่าเป็นงานมงคลของทั้งสองฝ่าย จะสะเพร่าไม่ได้อย่างแน่นอน หรือไม่ ท่านกับนายท่านปั๋วตกลงกันดูก่อน ข้าจะออกไปรอคำตอบอยู่ที่ห้องโถง ชมดอกไม้รอนะเจ้าคะ”
เมื่อเห็นกัวซื่อปลีกตัวออกไป เฝิงเหล่าฮูหยินค่อยเบาใจลง
แม้ว่านางไม่มีความคิดที่จะยกเลิกงานสมรสในครั้งนี้ แต่นางจะแสดงความอ่อนแอต่อหน้าคนของจวนอันกั๋วกงมากก็คงไม่ได้ และแม้ว่าอันกั๋วกงยังแจ้งเหตุผลที่ยังไม่ชัดเจนมากพอ แต่นางก็จะให้โอกาสนี้หลุดมือไปอย่างเสียเปล่าไม่ได้ด้วยเช่นกัน
ความจริง นางจะให้ชังเกอเอ๋อร์ไหว้อาจารย์ต้าหรู่ชิงหยาเป็นครู แต่นางหาทางไม่ได้สักที และนางเองก็กำลังปวดหัวกับเรื่องนี้อยู่พอดี
แล้วในความคิดของเฝิงเหล่าฮูหยิน งามสมรสในครั้งนี้ อย่างไรเสียก็ห้ามยกเลิก ควรจะใช้โอกาสนี้หาผลประโยชน์และทำให้มันเป็นเรื่องที่น่ายินดีของทุกฝ่ายให้ได้
แน่นอนว่า นางต้องเกลี้ยกล่อมบุตรชายคนโตนี้ให้ได้เสียก่อน
เมื่อหันมองใบหน้าคนที่กำลังหน้าดำคล้ำเครียดหนวดยาวเฟื้อยแล้ว เฝิงเหล่าฮูหยินก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
บุตรชายคนโตของนางเป็นคนธรรมดาไม่มีพรสวรรค์ แล้วเมื่อปีก่อนก็ได้สูญเสียมือไปหนึ่งข้างเพราะช่วยชีวิตอันกั๋วกงตอนที่ภูเขาถล่ม ฉะนั้น อย่าว่าแต่จะคิดหาวิธีต่อความรุ่งโรจน์ของจวนปั๋วเลย การที่สามารถประคับประคองมาจนถึงทุกวันนี้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว
เหล่าต้าอายุไม่น้อยแล้ว แต่เหตุใดถึงไม่เข้าใจเสียทีนะ!
“ท่านแม่ เรื่องนี้ไม่มีพื้นที่ให้ปรึกษาใดๆ อีก งานสมรสครั้งนี้ไม่ยกเลิกไม่ได้ คนของอันกั๋วกงรังแกกันมากเกินไปแล้ว!”
“ไม่ยกเลิกไม่ได้? เหล่าต้า เจ้าเคยคิดหรือไม่ การยกเลิกงานสมรส มันส่งผลต่อฝ่ายหญิงอย่างไร แม้คนผิดจะเป็นฝ่ายชาย แต่สตรีที่ถูกยกเลิกงานสมรส จะไปหาคู่สมรสดีๆ ได้ที่ไหนอีก”
เจียงอันเฉิงหัวเราะเย็นชา “แม้ต้องยกซื่อเอ๋อร์ให้กับชาวบ้านธรรมดาๆ ก็ดีกว่ายกให้กับชายที่แอบพลอดรักกับหญิงอื่นก่อนเข้าพิธีสมรส!”
“ชาวบ้านธรรมดาๆ?” เฝิงเหล่าฮูหยินมองเจียงอันเฉิงด้วยสายตาที่ผิดหวังมากที่สุด “เจ้ารู้หรือไม่ ค่าเครื่องประทินโฉมและเครื่องหอมของซื่อเอ๋อร์ในหนึ่งเดือน สามารถเลี้ยงชาวบ้านธรรมดาๆ ห้าครัวเรือนได้ถึงหนึ่งปี”
เจียงอันเฉิงถึงกับชะงักไปกับคำพูดของเหล่าฮูหยิน
น้ำเสียงของเฝิงเหล่าฮูหยินเย็นชาขึ้นอีก “กินแค่น้ำเปล่าก็ทำให้อิ่มอกอิ่มใจ นี่มันก็แค่เรื่องน่าขำ ฮูหยินซื่อจื่อบอกข้าแล้ว หญิงผู้นั้นเกิดในตระกูลเล็กๆ รู้จักตัวหนังสืออยู่ไม่กี่ตัว คุณชายสามก็หลงชั่ววูบเท่านั้น เมื่อรับนางเข้ามาแล้ว เดี๋ยวก็เลิกสนใจนางไปเอง”
เจียงอันเฉิงส่งเสียง ฮึ่มๆ ออกมาทางจมูก จากนั้นก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ “ท่านแม่เข้าใจผิดแล้ว ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าสารเลวนั่นมีใจให้กับหญิงอื่นหรือไม่ แต่มันอยู่ที่เขาไม่มีความเคารพในซื่อเอ๋อร์เลยแม้แต่น้อย คนเช่นเขา ไม่ใช่คู่ครองที่เหมาะสมของลูกข้า!”
“แล้วเจ้าเคยถามความเห็นของซื่อเอ๋อร์หรือยัง” จู่ๆ เฝิงเหล่าฮูหยินก็ถามออกมา
เจียงอันเฉิงถึงกับชะงัก
เฝิงเหล่าฮูหยินแอบยิ้มมุมปาก “เจ้ายังไม่ได้ถามซื่อเอ๋อร์เสียหน่อย แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่านางอยากยกเลิกงานสมรสหรือไม่ ถึงแม้ว่างานสมรสเป็นคำสั่งของบิดามารดาก็ตาม แต่เจ้าไม่คิดหรือว่า บางทีเจ้าก็อาจคิดผิด แล้วทำให้ซื่อเอ๋อร์ต้องโทษเจ้าไปตลอดทั้งชีวิต”
คำพูดของเฝิงเหล่าฮูหยินทำให้เจียงอันเฉิงถึงกับหน้าซีด
ภรรยาผู้ล่วงลับทิ้งบุตรสาวไว้ให้ตนสองคน และบุตรชายอีกหนึ่งคน ในบรรดาบุตรของเขาทั้งสามคนนี้ เขารักและเอ็นดูซื่อเอ๋อร์มากที่สุด
ไม่ว่าจะหน้ามือหรือหลังมือก็ล้วนเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาทั้งหมด เขารู้ว่าการลำเอียงไม่ใช่เรื่องที่ดีก็ซื่อเอ๋อร์ดันมีใบหน้าที่เหมือนกับภรรยาผู้ล่วงลับมากเสียจนห้ามไม่ได้นี่
เพียงแค่เห็นหน้าบุตรสาวคนเล็ก หัวใจทั้งดวงของเขาก็อ่อนระทวยจนควบคุมไม่ได้
แต่บุตรสาวคนเล็กกลับไม่สนิทกับเขาตั้งแต่เด็กๆ ท่าทีในวันนี้ กว่าจะได้มาสักครั้งมันใช่เรื่องง่ายที่ไหนกัน เขาไม่อยากรู้สึกห่างเหินกับลูกอีกต่อไปแล้ว
เฝิงเหล่าฮูหยินหัวเราะเย็นเยือกอย่างเงียบๆ
นางรู้อยู่แล้วว่า การดึงซื่อเอ๋อร์ออกมาเกลี้ยกล่อมเหล่าต้าเป็นวิธีที่ถูกต้องที่สุด
“แม้ว่าซื่อเอ๋อร์จะโทษข้า ข้าก็…”
“เชิญคุณหนูซื่อเอ๋อร์เข้ามา” เฝิงเหล่าฮูหยินพูดแทรกเจียงอันเฉิง พลางออกคำสั่งกับอาฝู
อาฝูเดินออกไปเชิญเจียงซื่อทันที
เจียงซื่อกำลังคำนวณเวลา
เวลานี้ ท่านพ่อน่าจะเข้าใจสถานการณ์แล้ว
ท่านพ่อในชาติที่แล้วก็ไม่เห็นด้วยกับการเลื่อนงานสมรสให้เร็วขึ้น ในครั้งนี้บังเอิญว่าเฉี่ยวเหนียงไม่ตาย ด้วยความรักและเอ็นดูของฮูหยินแห่งอันกั๋วกงที่มีให้กับจี้ฉงอี้ นางไม่มีทางไล่เฉี่ยวเหนียงออกไป และหากท่านพ่อรู้เรื่องนี้เข้า จะต้องขอยกเลิกงานสมรสเป็นแน่
แน่นอนว่า เมื่อตอนกัวซื่อพูดถึงเรื่องอันเน่าเฟะในตระกูลของตัวเองนั้น นางได้ตกแต่งเรื่องราวให้ดูไม่แย่ ฉะนั้น ความโมโหของท่านพ่อยังขาดชนวนอีกนิดหน่อย
แต่ก็ไม่ได้สำคัญมาก รอให้พี่รองได้ฟังข่าวนี้จากด้านนอกกลับมา แล้วบอกกับท่านพ่ออีกที ท่านพ่อจะต้องตัดสินใจเด็ดขาดอย่างแน่นอน
เจียงซื่อนั้นเข้าใจเป็นอย่างดีว่าในเวลาสำคัญเช่นนี้ ท่านย่าผู้อาศัยอยู่เรือนฉือซิน ผู้ที่ถือว่าดีต่อนางไม่น้อยนั้น ก็คงคาดหวังอะไรมากไม่ได้ด้วยเช่นกัน
เหตุใดพี่รองถึงยังกลับมาไม่ถึงอีก
“คุณหนูซื่อเจ้าคะ เหล่าฮูหยินให้มาเชิญเข้าไปเจ้าค่ะ”
เจียงซื่อหยุดคิดเรื่องราวทั้งหมด จากนั้นเดินตามอาฝูเข้าไปด้วยสีหน้านิ่งเรียบ
“ซื่อเอ๋อร์ รอนานเลยล่ะสิ”
เจียงซื่อน้อมทักเหล่าฮูหยิน พลางเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “ท่านย่ามีแขก ข้าที่เป็นหลานสาว รอเสียหน่อยก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”
“ซื่อเอ๋อร์เป็นเด็กรู้ความจริงๆ” รอยย่นตรงตาของเฝิงเหล่าฮูหยินเห็นชัดมาก จากนั้นก็เรียกเจียงซื่อให้เข้ามาใกล้ “ซื่อเอ๋อร์รู้หรือไม่ว่าแขกที่มาคือผู้ใด”
“ไม่ทราบเจ้าค่ะ”
“แขกท่านนั้นคือฮูหยินซื่อจื่อจากจวนอันกั๋วกง” เฝิงเหล่าฮูหยินมองสีหน้าของเจียงซื่อที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง พลางถามต่อ “จวนอันกั๋วกงอยากให้เจ้าแต่งเข้าไปเร็วขึ้น เจ้าจะยอมหรือไม่”
“ท่านแม่!” เจียงอันเฉิงพลันโกรธจนหน้าแดง
ท่านแม่เป็นอะไรไป เหตุใดถึงถามซื่อเอ๋อร์เช่นนี้ ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้บอกกล่าวสิ่งใด นี่มันเป็นการหลอกกันมิใช่หรือ
เฝิงเหล่าฮูหยินไม่สนใจเจียงอันเฉิงและมองเจียงซื่อด้วยแววตาที่แวววับ
นางคิดว่านางรู้จักหลานสาวคนนี้มากกว่าบุตรชายคนโต
คนที่มีจิตใจสูงยิ่งกว่าฟ้า แต่ชีวิตบางยิ่งกว่ากระดาษ ก็หมายถึงยัยหนูนี่ล่ะ นางไม่เชื่อหรอกว่า หลานสาวคนนี้จะยอมทิ้งงานสมรสดีๆ เช่นนี้ลงได้
แววตาและสีหน้าของเจียงซื่อยังคงนิ่งเรียบไร้การเปลี่ยนแปลง นางเพียงเอ่ยถามเสียงเรียบ “คุณชายสามใกล้จะตายแล้วหรือเจ้าคะ ถึงอยากให้ข้าแต่งเข้าไปเร็วขึ้นเพื่อความเป็นมงคล”
เฝิงเหล่าฮูหยินตะลึงตกใจ
มุมปากของเจียงอันเฉิงยกสูงขึ้นทันที
ไม่รู้ว่าทำไม พอได้ยินบุตรคนเล็กถามเช่นนี้ ก็รู้สึกว่าตนสามารถวางใจได้แล้ว
“คุณชายจี้ยังสบายดี เจ้าคิดอะไรอย่างนั้นกันเล่า” คำพูดของเจียงซื่อที่ไม่เป็นไปตามคาด สร้างความตกใจให้กับเฝิงเหล่าฮูหยินอยู่พักใหญ่
“หรือว่า อันกั๋วกงหรือฮูหยินของอันกั๋วกงไม่สบายหนัก เลยอยากให้ข้าแต่งเข้าไปเร็วขึ้นเพื่อความเป็นมงคลเจ้าคะ” เจียงซื่อเอ่ยถามอีก
แค่กๆๆ เจียงอันเฉิงใช้เสียงไอกลบเกลื่อนความขำ
เฝิงเหล่าฮูหยินเริ่มปวดหัว
โชคดีที่ฮูหยินซื่อจื่อไม่อยู่ตรงนี้ ถ้าไม่เช่นนั้นละก็ คงอกแตกตายแน่ หากได้ยินยัยหนูกล่าวเช่นนี้
“จวนอันกัวก๋งไม่มีใครป่วย”
เจียงซื่อแสดงสีหน้าเคร่งเครียด “แล้วถ้าเช่นนั้น หลานก็นึกเหตุผลที่จะเลื่อนงานสมรสให้เร็วขึ้นไม่ออกแล้วเจ้าค่ะ”
ขมับทั้งสองข้างของเฝิงเหล่าฮูหยินกระตุก ตุบๆ นางอธิบาย “เรื่องราวเป็นเช่นนี้ เมื่อวานคุณชายจี้กับหญิงชาวบ้านธรรมดาไปเล่นด้วยกันที่ทะเลสาบ แล้วพลัดตกลงไปในน้ำทั้งคู่ หากเรื่องนี้ถูกแพร่งพรายออกไปจะทำให้ทั้งสองคนเสียหน้า เลยตกลงกันว่าอยากให้พวกเจ้าได้เข้าพิธีสมรสให้เร็วขึ้น…”
เฝิงเหล่าฮูหยินพูดไป สังเกตสีหน้าของเจียงซื่อไป “แล้วซื่อเอ๋อร์คิดว่าอย่างไรล่ะ”
เจียงอันเฉิงพลันรู้สึกใจเต้นเร็ว
“แล้วจวนอันกั๋วกงจะจัดการกับสตรีนางนั้นอย่างไรหรือเจ้าคะ”
“เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ก็จำเป็นต้องรับนางเข้ามาเป็นอนุภรรยา ซื่อเอ๋อร์ เจ้าเป็นคนฉลาด ควรเข้าใจว่าอนุภรรยาทำอะไรเจ้าไม่ได้ นางก็ไม่ต่างจากของตกแต่งในเรือนที่มีลมหายใจชิ้นหนึ่งเท่านั้น”
เจียงซื่อหัวเราะแห้งๆ อยู่ภายในใจ
ของตกแต่งที่มีลมหายใจ
จี้ฉงอี้อยากแต่งงานกับของตกแต่งที่มีลมหายใจ จนไม่แตะต้องตัวนางนานถึงหนึ่งปี ถ้าเช่นนั้น นางยังสู้ของตกแกต่งที่มีลมหายใจไม่ได้เลยสินะ
“ซื่อเอ๋อร์” เมื่อเห็นเจียงซื่อเงียบ เฝิงเหล่าฮูหยินจึงเร่งขอคำตอบ
เจียงซื่อก้มหน้าดึงกำไลหยกเนื้อหินชั้นดีที่ใส่ไว้ที่ข้อมือหนึ่งคู่ออกมายื่นให้กับเจียงอันเฉิง
กำไลหยกคู่นี้ เป็นของที่ได้จากจวนอันกั๋วกงเมื่อวันที่มาทำการหมั้นหมาย ตอนนั้น เจียงซื่อเห็นแล้วเกิดชอบ จึงได้หยิบมาใส่เอาไว้
สีหน้าของเฝิงเหล่าฮูหยินเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เจียงซื่อเงยหน้าขึ้นสบตากับเฝิงเหล่าฮูหยินพลางยิ้มหวานให้หนึ่งที “งานสมรสนั้นเป็นเรื่องใหญ่และให้ความสำคัญกับข้อที่ว่าเป็นคำสั่งของพ่อแม่ เป็นคำพูดของแม่สื่อ ข้าเชื่อฟังท่านพ่อเจ้าค่ะ หากท่านพ่อคิดว่าข้าควรใส่กำไลหยกคู่นี้ต่อไป ข้าก็จะใส่ แต่ถ้าหากท่านพ่อคิดว่าควรคืนกลับไป ข้าก็ไม่ขอรั้งไว้เช่นกันเจ้าค่ะ”