ตอนที่ 23 สีสันจากเอ้อร์ไท่ไท่
นัยน์ตาของอาเฉี่ยวฉายแววโกรธเคือง และนำถาดอาหารยืนส่งมาตรงหน้าของเจียงซื่อ “คุณหนูดูสิเจ้าคะ นี่คืออาหารที่หงเสี้ยนไฉนำมาจากห้องครัว”
ในจวนปั๋วการรับประทานอาหารนั้นมีกฎเกณฑ์อยู่ คุณหนูทั้งหลายจะทานกับข้าวสี่อย่าง น้ำแกงหนึ่งอย่างและตามด้วยของหวานหนึ่งอย่าง
อาเฉี่ยวเปิดถาดอาหารออกมาเป็นไก่ตุ๋นเห็ดหนึ่งอย่าง กระต่ายผัดพิทักษ์วังหนึ่งอย่าง ผัดปวยเล้งหนึ่งอย่าง ยำเห็ดหูหนูหนึ่งอย่าง น้ำแกงสามสหายหนึ่งอย่าง และไข่ม้วนสมปรารถนา
“นี่คืออะไรกัน ไก่ตุ๋นเห็ดเหตุใดมีแต่หัวไก่สองหัว” แค่เห็นอาหมานก็หัวร้อนและชี้ไปยังไก่ตุ๋นเห็ดดำๆ นั่น
เจียงซื่อยกมือขึ้นหยิบตะเกียบคีบไข่ม้วนสมปรารถนาค่อยๆ กินลงไป แต่กลับไม่แตะต้องกับข้าวสี่อย่างและแกงหนึ่งอย่างนั่นเลย
“คุณหนูเจ้าคะ ไก่ตุ๋นเห็ดจานนี้กินไม่ได้ แต่ว่ากับข้าวสามอย่างนั้นยังพอไหวอยู่นะเจ้าคะ อย่างไรก็ทานหน่อยเถอะ” อาเฉี่ยวพูด
“แกงสามสหายเค็มเกินไป กระต่ายผัดพิทักษ์วังก็หวานเกินไป ปวยเล้งก็ยังผัดไม่สุก แล้วก็ยำเห็ดก็ยัง…” เจียงซื่อใช้ตะเกียบพลิกไปพลิกมาอยู่ในจาน เห็นหูหนูแล้วเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ “ใส่เจี้ยมั่ว[1]มากไปหน่อย น่ากลัวว่ากินเข้าไปแล้วน้ำตาจะไหลเอาได้”
“คุณหนูท่านรู้ได้อย่างไรเจ้าคะ” อาเฉี่ยวมองไปยังอาหารเลิศรสอย่างตกใจ
ทว่าอาหมานที่นิสัยค่อนข้างใจร้อนไม่ทันไรก็ใช้ตะเกียบคีบเข้าปากไปแล้ว พอกินยำเห็ดหูหนูเข้าไปก็รีบคายทันทีพร้อมกับน้ำตาที่เอ่อล้นออกมา “เป็นอย่างที่คุณหนูกล่าวไว้จริงๆ วันนี้ห้องครัวเปลี่ยนแม่ครัวใหม่หรืออย่างไรกัน”
เจียงซื่อวางตะเกียบลงยิ้มพลางพูด “ไม่ใช่เพราะเปลี่ยนแม่ครัวใหม่หรอก แต่เป็นเพราะเรือนไห่ถังของเราถูกแม่ครัวดูแลเป็นพิเศษต่างหาก”
“คุณหนูหมายความว่าพวกเขาตั้งใจใช่หรือไม่เจ้าคะ”
เจียงซื่อเอาแต่ยิ้ม
นางเพิ่งจะมีเรื่องกับเจียงเชี่ยนมา จึงได้รับการดูแลเป็นพิเศษลูกไม้เช่นนี้น่าเบื่อจริงๆ
“เป็นเช่นนี้นี่เอง ข้าจะไปคิดบัญชีกับแม่ครัว” อาหมานโกรธเตรียมจะพุ่งตัวออกไป
อาเฉี่ยวจึงรีบดึงรั้งนางเอาไว้ “เจ้าอย่างเพิ่งใจร้อนได้หรือไม่ แม่ครัวไม่กล้าลงมือเองขนาดนี้หรอก”
นางพูดจบก็เหลือบมองเจียงซื่ออย่างกล้าๆ กลัวๆ “คุณหนูเจ้าคะ ใช่เพราะว่าคุณหนูรองกลับมา เอ้อร์ไท่ไท่เลยได้ยินเรื่องไร้สาระอะไรนั่นหรือไม่”
เจียงชื่อพยักหน้าพลางชื่นชม “อาเฉี่ยวของพวกเราฉลาดที่สุด”
เพียงพริบตาเดียวอาเฉี่ยวขอบตาแดงกล่ำ “คุณหนูเวลานี้ท่านยังจะล้อเล่นได้อยู่อีกหรือเจ้าคะ เอ้อร์ไท่ไท่ดูแลจวนมาตั้งหลายปี บ่าวรับใช้ทุกคนล้วนฟังนางหมด หากนางตั้งใจจะรังแกคุณหนูจริง วันข้างหน้าคุณหนูจะลำบากไม่น้อยเลยนะเจ้าคะ”
อาหมานเองก็จิตใจร้อนรุ่ม “บ่าวจะไปเรียนนายท่าน นายท่านเอ็นดูคุณหนูมากที่สุด หากท่านรู้จะต้องออกหน้าแทนคุณหนูอย่างแน่นอน พวกคนใจดำพวกนั้น ถ้าฮูหยินยังอยู่ไหนเลยเรื่องการดูแลจวนจะตกถึงมือเอ้อร์ไท่ไท่ได้ เพราะตอนนี้พวกนั้นคิดว่าคุณหนูไม่มีมารดาเลยกล้ารังแกกันขนาดนี้”
ทันใดนั้นอาเฉี่ยวก็สะกิดอาหมานให้หยุดพูด “อาหมาน เจ้าพูดให้มันน้อยลงกว่านี้ได้หรือไม่”
“เอาล่ะ เรื่องแค่นี้เองทำให้พวกเจ้าพูดมากกันขนาดนี้เชียว” เจียงซื่อดวงตาฉายแววขำขัน น้ำเสียงไม่มีแววโกรธเคืองเลยแม้แต่น้อย
“คุณหนูหรือว่าเราจะต้องทนไปอย่างนี้หรือเจ้าคะ” อาหมานกระทืบเท้าอย่างไม่พอใจ “พ่อของบ่าวเคยบอกไว้ว่า ม้าดีมักถูกใช้งานหนัก คนดีมักถูกรังแก พวกเราอดทนครั้งนี้ ต่อไปก็ยังต้องอดทนอีก จะต้องอดทนไปถึงเมื่อไหร่กันเจ้าคะ”
เจียงซื่อยิ้มมีเลศนัย “คำพูดของลุงเจียงนี่ก็มีเหตุผลเหมือนกัน”
พอเห็นเจียงซื่อไม่ได้แสดงท่าทีอะไร อาหมานมองซ้ายขวาทันใดนั้นก็กล่าวเสียงเบา “ไม่สู้ให้บ่าวจับแม่ครัวใส่กระสอบไปทุบตีสักยก รับรองว่าบ่าวจะไม่ทำถูกจับได้แน่นอน”
บิดาของอาหมานคือคนติดตามของเจียงอันเฉิง มีวรยุทธ์ติดตัว อาหมานจึงได้ร่ำเรียนเพลงหมัดมวยมาตั้งแต่เด็ก แค่นางคนเดียวล้มผู้ชายตัวใหญ่ได้สองสามคนก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร
“แก้ที่ปลายเหตุมิสู้แก้ที่ต้นเหตุ” เจียงซื่อตบแขนอาหมาน ยิ้มและเอ่ยตอบ “อาเฉี่ยวเจ้าเก็บอาหารที่ยังไม่ได้กินพวกนี้ลงในกล่องเหมือนเดิม ยังไม่ต้องทิ้งไปไหนทั้งนั้น ส่วนอาหมาน ตอนบ่ายนี้เจ้าไปชื้อของให้ข้าหน่อย เดี๋ยวข้าจะจดใส่กระดาษให้เจ้า”
อาหมานยังอยากพูดต่อ แต่กลับถูกอาเฉี่ยวลากออกไป
เมื่อหยุดตรงระเบียงทางเดินอาหมานจึงพูดออกมาอย่างหงุดหงิด “จะทำแค่นี้เองจริงหรือ”
อาเฉี่ยวมองไปที่ประตูอีกครั้งหนึงแล้วพูดขึ้นด้วยเสียงอันเบา “เจ้าจะรีบร้อนไปไหน คุณหนูมีแผนในใจแล้วต่างหาก”
อาหมานตะลึงชั่วครู่
นางยังจดจำเรื่องราววันนั้นได้ดี วันที่คุณหนูอารมณ์ไม่แจ่มใสกล่าวกับนางอย่างหนักแน่นว่า “ข้าจะยกเลิกงานแต่ง อาหมานเจ้าช่วยข้าที”
ยังไม่ทันได้ตอบรับอะไรทั้งสิ้น ในใจรู้สึกตกใจไม่น้อย เพียงไม่นานตอนนี้คุณหนูของนางก็ยกเลิกงานแต่งสำเร็จ อีกทั้งจวนอันกั๋วกงก็พบจุดจบไม่ดีเสียด้วยซ้ำ
“เจ้าพูดถูก คุณหนูจะต้องมีแผนการในใจแล้วอย่างแน่นอน” ในที่สุดอาหมานก็ยิ้มออกมาได้
เจียงซื่อเดินไปยังห้องหนังสือ หยิบพู่กันออกมาเขียนจดรายการลงไป
เพียงแค่ชื้อของเหล่านี้มาได้ครบ นางก็สามารถทดสอบสมุนไพรอย่างในห้องยานั่นได้แล้ว ‘สมุนไพร’เหล่านั้นต่างหากเล่าถึงจะเป็นชีวิตอันสงบสุขของนางได้ แม้กระทั่งเรื่องของเอ้อร์ไท่ไท่ก็ไม่ได้เข้าไปกระทบจิตใจนางได้แม้แต่กระผีก ง่ายๆ ก็คือแม้แต่ถอนขนคิ้วเส้นเดียวก็ไม่สามารถทำให้นางเสียเวลาได้
แน่นอนว่าขี้เกียจเสียเวลามันก็แค่เหตุผลเรื่องหนึ่งเท่านั้น ทำให้นางเดือดร้อนขนาดนี้นางก็ไม่อาจจะอดทนได้นานเช่นกัน
เจียงซื่อจัดการอยู่กับไป๋เจี่ยวตลอดทั้งบ่าย จวบจนกระทั่งแสงสุดท้ายของท้องฟ้าในยามเย็นหายไปกลายเป็นสีส้มอบอุ่นโดยไม่รู้ตัว
อาเฉี่ยวเดินถืออาหารจากห้องครัวใหญ่กลับมา ยังเป็นสี่กับข้าวหนึ่งน้ำแกงเช่นเดิม ครั้งนี้ไม่ต้องถึงกับชิมอาหาร แค่ภายนอกก็ดูไม่น่ากินเสียแล้ว โดยเฉพาะรากบัวที่ทอดจนไหม้เกรียมนั่น เจียงซื่อเอาจมูกสูดกลิ่นเข้าไปกลิ่นพริกไทยฉุกกึก
“นี่มันเรื่องไร้สาระอันใดกัน ไม่ใช่ว่าเตรียมให้คุณหนูของเรากินของเหลือเดนพรุ่งนี้เช้าเลยหรืออย่างไร” อาหมานโกรธจนยกอาหารออกไป
“เก็บอาหารพวกนั้นเอาไว้ในกล่องอาหารเช่นเดิม ของมื้อกลางวันนั้นด้วยเช่นกัน เดี๋ยวยกตามข้าไปทักทายเฝิงเหล่าฮูหยินที่เรือนฉือซิน” เจียงซื่อไม่อยากทำร้ายกระเพาะตัวเองในมื้อต่อไปอีกแล้ว จึงตัดสินใจแน่วแน่
เฝิงเหล่าฮูหยินชอบให้ลูกหลานเข้าหาตน แต่เนื่องด้วยอายุมากขึ้น จึงกำชับให้ลดการเข้าพบคารวะจากวันละสองครั้งเป็นหนึ่งครั้งก็พอ ซึ่งคือตอนเย็นก็ไม่จำเป็นต้องเข้ามาหาอีกต่อไปแล้ว
ในเวลานี้บ่าวรับใช้ก็ขานขึ้นมาว่าคุณหนูสี่ขอเข้าพบ เดิมทีไม่ต้องให้การพบ หากแต่ว่านางรู้สึกเหมือนเจียงซื่อทำเช่นนี้ในฝัน สุดท้ายก็อนุญาตให้เข้ามา
“หลานสาวน้อมทักท่านย่า ไม่ทราบว่าท่านย่ารับประทานอาหารเย็นอร่อยหรือไม่เจ้าคะ” เจียงซื่อเข้าหาอย่างมีมารยาท ไม่ผิดกับตัวตนของนางที่เรียบร้อย
“อายุขนาดนี้กับข้าวกับปลาก็ไม่ค่อยอยากกินสักเท่าไหร่นักหรอก ไม่เหมือนเด็กๆ อย่างพวกเจ้า” เฝิงเหล่าฮูหยินถอนหายใจพลางใช้มือลูบตาซ้าย
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดพอนางได้เห็นเจียงซื่อแล้วนึกถึงความฝันนั้น อีกทั้งได้เจอเจียงซื่อแล้วเจ็บตาซ้ายขึ้นมาอย่างประหลาด
“ใช้โอกาสที่มาน้อมทักท่านย่า หลานขออนุญาตปรึกษาท่านเรื่องหนึ่งเจ้าค่ะ”
“เรื่องอันใดถึงรอเป็นพรุ่งนี้เช้าไม่ได้เชียวหรือ”
เจียงซื่อยิ้ม“หลานรอถึงพรุ่งนี้ไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ”
“อ้อ” เฝิงเหล่าฮูหยินหรี่ตาลง ท่าทางจริงจังขึ้น
“หลานจำได้ว่าหลังจากที่ท่านแม่สิ้นไป ได้ทิ้งสินเดิมของนางเอาไว้ พี่ใหญ่เองได้ครึ่งหนึ่งใช่หรือไม่เจ้าคะ”
สายตาคมของเฝิงเหล่าฮูหยินจับจ้องเจียงซื่อ
ลูกสาวลูกชายของบ้านใหญ่ทั้งสามคน หากตามความหมายที่นางพูดขึ้นมาแล้ว ซูซื่อได้ให้สินเดิมของนางเอาไว้กับบุตรชายครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งให้ลูกสาวทั้งสองแบ่งกันอีกคนละครึ่ง แต่ลูกชายคนโตกลับปฎิเสธไม่รับไสเ ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นลูกผู้ชายจะเอาสินเดิมของมารดาไม่ได้ไม่สมศักดิ์ศรี จึงให้นำสินเดิมไปแบ่งครึ่งกับลูกสาวทั้งสองคนแทน
ด้วยเหตุนี้นางจึงโกรธเคืองอยู่หลายวัน
มาวันนี้ซื่อเอ๋อร์เอ่ยขึ้นมา หมายความว่าอย่างไรกัน
“หลานอายุก็ไม่น้อยแล้ว อยากจะได้สินเดิมของท่านแม่มาดูแลเองเจ้าค่ะ” เจียงซื่อกล่าวอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่สนใจสายตาคมกริบของเฝิงเหล่าฮูหยิน
[1] เจี้ยมั่ว วาซาบิ