หุบเหวไร้ก้นบึ้งคือสถานที่ต้องห้ามของเผ่ามังกรทมิฬ แต่ไหนแต่ไรมีแต่ลงไปได้แต่ไม่อาจขึ้นมาได้
ตลอดพันปีมานี้ นางไม่เคยเห็นผู้ใดสามารถรอดกลับออกมาได้แม้แต่คนเดียว….
ตอนนั้น นางแพศยานั่นก็กระโดดลงไปเฉกเช่นกัน
เพื่อสตรีเผ่ามนุษย์ผู้นั้น….เยี่ยจ้าน…ก็กระโดดลงไปเช่นกัน และตลอดหลายปีมานี้ ก็ไม่เคยกลับออกมา
นางส่งคนเผ่ามังกรทมิฬกว่าพันคนลงไปเสาะหาเขา สุดท้ายแล้วชาวมังกรเหล่านั้นก็ไม่มีผู้ใดกลับขึ้นมาได้สักคน
นี้จะเรียกว่าอะไร? วิบากกรรมเดิมๆ
ผ่านมาหลายปี เดรัจฉานน้อยของพวกเขาก็กระโดดลงไปจากที่นี่เช่นกัน!
ตายแล้วก็ตายไปเถอะ แต่ว่ากลับไม่ได้ถ่ายทอดพลังของราชามังกรทมิฬให้กับเฉินเอ๋อร์ ทำให้เฉินเอ๋อร์ไม่อาจสืบทอดตำแหน่งราชาต่อไปได้ หลายปีมานี้ได้แต่รักษาสถานะไท่จื่อเอาไว้
หวาชางสุ่ยจับจ้องมองดูหุบเหวไร้ก้นบึ้งนั้น จากนั้นก็หันหน้ากลับมาพร้อมดวงตาที่เปียกชื้น
“พระมารดา…” เยี่ยอิงเดินมาถึงข้างกายนาง ด้วยความห่วงใย หลายปีมานี้ร่างกายของพระมารดามิสู้ดีมาโดยตลอด วันนี้ก็ยังใช้พัดวายุไปอีกหลายครั้ง…
ท่าทางที่พระมารดาทอดพระเนตรไปยังหุบเหวไร้ก้นบึ้งเช่นนั้น ทำให้นางกังวลว่าพระนางจะได้รับความสะเทือนพระทัย
ตอนที่เกิดเหตุในปีนั้นนางและพี่ชายไม่ได้อยู่ในเผ่ามังกรทมิฬ จึงไม่รู้ชัดว่าเกิดเรื่องใดขึ้น …..ทราบเพียงแต่ว่า พระบิดาทอดทิ้งภรรยาและลูกๆไปเพื่อสตรีเผ่ามนุษย์คนหนึ่ง
สุดท้ายก็หายสาปสูญอย่างไม่รู้ชะตากรรม
พระมารดายิ่งไม่เคยเอ่ยอะไร ตลอดหลายปีมานี้ นางคล้ายกับว่าคอยเก็บรักษาความลับเอาไว้อยู่เสมอ
เยี่ยเฉินมองดูหุบเหวที่มีแต่ความสงบเงียบ สายตาก็มืดครึ้มลง
“นางชื่อว่าอะไร?” เขาเอ่ยถามกับเยี่ยอิง
“ตู๋กูซิงหลัน” เยี่ยอิงเอ่ยทีละคำด้วยความแค้น
นางคิดจะพาอนุที่แข็งแกร่งสักคนกลับมาให้พี่ชาย หวังว่าสตรีผู้นั้นจะสามารถคลอดทารกศักดิ์สิทธิ์ให้กับพี่ชายได้ แต่นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าสตรีผู้นั้นจะเข้าไปอยู่ในใจของพี่ชาย
พี่ชายมีอนุกว่าสองร้อยนาง แต่ว่าในสายตาของเขา ทั้งหมดไม่ต่างอะไรกับเครื่องมือที่มีชีวิต
ไม่ต่างอะไรกับสัตว์เลี้ยง
แต่ว่าสตรีผู้นั้น ทำให้เขาเกือบจะกระโดดลงไปในหุบเหวไร้ก้นบึ้งเพื่อมนุษย์ผู้หนึ่ง!
ตู๋กูสองคำ ยิ่งทำให้สีหน้าของหวาชางสุ่ยอึมครึมกว่าเดิม
ตู๋กู…..ที่แท้ก็เป็นตระกูลตู๋กู!
เป็นลูกของนังแพศยาตู๋กูชิงชิงนั่น!
นางเงยหน้าขึ้นมา ดวงหน้าที่ซีดขาวยิ่งปราศจากสีเลือดกว่าเดิม!
เนื่องเพราะตู๋กูชิงชิง นางจึงเกลียดชังเผ่ามนุษย์!
หากว่าเผ่ามังกรทมิฬสามารถออกจากทะเลลึกได้เมื่อไหร่ เรื่องแรกที่นางจะกระทำก็คือทำลายเผ่ามนุษย์ให้ราบเป็นหน้ากลอง!
ทุกสิ่งที่เยี่ยจ้านเฝ่าทนุถนอมเอาไว้ นางจะทำลายมันทั้งหมดให้เขาดู!
ต่อให้เป็นปรโลก ก็จะไม่ให้เขาได้มีวันสงบสุขอีกต่อไป!
“นับจากวันนี้เป็นต้นไป ให้จับตาเฝ้าดูหุบเหวไร้ก้นอยู่ตลอด ต่อให้ที่บินขึ้นมาเป็นเพียงแมลงวันตัวหนึ่ง ก็ต้องให้มันตายไม่เหลือซาก!” หวาชางสุ่ยออกคำสั่งต่อผู้ที่อยู่เบื้องหน้าทั้งหมด
ถึงแม้ว่าสิ่งที่ตกลงไปในหุบเหวไร้ก้นจะไม่มีทางกลับออกมาได้ นางก็ไม่ขอวางใจ
“พระมารดา…” เยี่ยเฉินเอ่ยเรียกนางคำหนึ่ง ในใจของเขายังคงรู้สึกเสียดายตู๋กูซิงหลันอยู่บ้าง คาดหวังว่านางจะยังมีชีวิตอยู่…
นางเป็นเพียงแค่มนุษย์ แต่สามารถอาศัยกำลังของตนเองทำลายวังมังกรทะเลตะวันตก สตรีเช่นนี้จะต้องแข็งแกร่งอย่างมิต้องสงสัย
บางทีนางอาจจะสามารถคลอดทารกศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้
“เฉินเอ๋อร์ มารดารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ สตรีผู้นั้น นางไม่อาจเป็นได้” เมื่อหันหน้าไปมองเยี่ยเฉิน สีหน้าของหวาชางสุ่ยก็อ่อนลงเล็กน้อย
“ผู้ที่เป็นองค์หญิงทะเลตะวันตกตัวจริง คือมังกรทอง นางสามารถคลอดบุตรให้กับเจ้าได้ ข้าได้สั่งให้คนไปจับตัวนางมาให้กับเจ้าแล้ว มิให้เจ้าต้องเสียเวลาเข้าหอไปอย่างเปล่าประโยชน์”
“พะยะค่ะ” เยี่ยเฉินผงกศีรษะรับคำ มิได้อิดออดอีกต่อไป เพียงเอ่ยว่า “ทุกสิ่งแล้วแต่พระมารดาจะตัดสินใจ”
สุขภาพร่างกายของหวาชางสุ่ยไม่สู้ดี วันนี้ก็ใช้พลังวิญญาณไปมากมาย เยี่ยเฉินไม่คิดจะทำให้นางต้องขุ่นเคืองอีก
“เสี่ยวอิง ส่งพระมารดากลับไป ให้พักผ่อนอย่างดี” ว่าแล้ว เยี่ยเฉินก็มองไปทางเยี่ยอิงอีกครั้ง
เยี่ยอิงซ่อนมือเอาไว้ด้านหลัง เพราะเกรงว่าเขาจะพบเห็น
แต่เยี่ยเฉินสังเกตเห็นความผิดปกติเล็กน้อยของนางแล้ว เพียงแต่มิได้เปิดโปงออกมา
“พี่ชาย ท่านอย่าได้คิดถึงเผ่ามนุษย์ผู้นั้นอีกเลย องค์หญิงทะเลตะวันตกชือหลี ก็มีความสามารถ ให้นางคลอดลูกให้ท่านก็ได้เหมือนกัน”
เยี่ยอิงว่าแล้ว ก็หันไปประคองแขนของหวาชางสุ่ย เอ่ยเบาๆว่า “พระมารดา ข้าจะส่งท่านกลับไป”
หวาชางสุ่ยไม่คิดจะรั้งอยู่ที่ริมหุบเหวไร้ก้นนานไป นางรับคำเบาๆก็ล่าถอยไป
เหลือแต่เพียงเยี่ยเฉินที่เฝ้ามองหุบเหวไร้ก้น อีกเนิ่นนาน
……………….
มืดมิด เหม็นเน่า หนาวเย็น
ยามที่ตู๋กูซิงหลันรู้สึกตัวขึ้นมานั้น ก็สัมผัสได้เช่นนี้
ในจมูก ในปาก มีแต่โคลนตมที่เหม็นเน่าคละคลุ้ง แม้แต่ดวงตายังแทบจะถูกปิด
ต้องรวบรวมเรี่ยวแรงมากมายนางถึงได้สามารถลืมตาขึ้นมาเล็กน้อย
แล้วก็เห็นวิญญาณทมิฬกลายร่างเป็นสุนัขป่าสีดำตัวใหญ่ ขมวดหางเอาไว้กับกิ่งของต้นไม้สีดำที่อยู่ข้างๆ ปากก็คาบคอเสื้อของนางเอาไว้ ไม่ให้นางตกลงไป
นางถึงได้ลืมตาสำรวจสภาพรอบกายของตนเอง
นี่เป็นบึงโคลนตม ในบึงโคลนมีกระดูกและซากของสิ่งมีชีวิตมากมายปะปนกัน ในจำนวนนั้นมีกระดูกมังกรมากที่สุด อากาศมีแต่กลิ่นเหม็นเน่าจนทำให้แสบตา
นางตกลงมาในอยู่ในบึงโคลนทั้งตัว ตัวแต่ศีรษะลงไปมีแต่โคลนดำๆเปรอะทั่วตัว
อากาศรอบกายเป็นสายลมอับๆ ที่มีแต่กลิ่นเน่าน่าสะอิดสะเอียนจนทำให้คนย่ำแย่
“เจ้าสลบไปสามวันแล้ว” วิญญาณทมิฬสื่อสารกับนางผ่านทางจิต “ที่นี่มีแต่อันตราย ในโคลนนั่นมีแต่จระเข้ผีดิบกินศพเต็มไปหมด พวกมันถูกข้าบังคับขับไล่ไปอย่างฝืนใจ”
บนร่างของวิญญาณทมิฬมีแต่ริ้วรอยบาดแผล มันน้อยครั้งนักที่จะกลายร่าง ต้องต่อสู้กับจระเข้ผีดิบเหล่านั้น คงบาดเจ็บหนักจนย่ำแย่แล้ว
กัดไม่ขาด ฆ่าไม่ตาย ช่างเหนื่อยยากจริงๆ
“ทุกวันพวกมันจะโผล่ขึ้นมาเพียงชั่วครู่ชั่วยาม ควานหาอาหารท่ามกลางบึงโคลน พอเวลาผ่านไปก็จะหายสาปสูญไปเอง หากคำนวนดู นี่ก็ใกล้จะได้เวลามาแล้วละ” วิญญาณทมิฬเอ่ยอย่างอ่อนล้า
มันเป็นร่างจิตวิญญาณ ดังนั้นย่อมสามารถหลุดออกมาจากบึงโคลนได้
มันก็คิดจะพาตู๋กูซิงหลันออกไปจากบึงโคลน แต่ยิ่งมันดึงนางขึ้น นางก็ยิ่งจมลึกลงไป
มันจึงได้แต่งับนางเอาไว้ ไม่ให้นางตกลงไปทั้งร่าง
ตู๋กูซิงหลันใช้เวลาอยู่พักหนึ่งถึงได้ค่อยๆเข้าใจสภาพแวดล้อมของตนเอง ท่ามกลางบึงโคลน ในมือของนางยังกำเศษผ้าจากชายกางเกงของจีเฉวียนเอาไว้แน่น
นางกวาดตาดูรอบบึงโคลนไปทั่ว นอกจากกองกระดูกที่ทำให้ให้คนต้องขนลุกทั้งตัวแล้วก็ไม่มีสิ่งอื่นใดอยู่อีก
“เขาไม่ได้อยู่ที่นี่ ตอนที่พวกเราตกลงมา ที่นี่ก็ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของเขาแล้ว” วิญญาณทมิฬรู้ว่านางกำลังคิดถึงอะไร จึงเอ่ยต่อไปว่า
“เจ้าอย่าได้รีบร้อน เขามีชะตาเข้มแข็ง…” คิดถึงรอยประทับบงกชที่อยู่ตรงบั้นเองของจีเฉวียน …..คำด่าที่วิญญาทมิฬเตรียมจะใช้กับเจ้าฮ่องเต้สุนัขพอมาถึงริมฝีปากก็ต้องกลืนลงไป เปลี่ยนเป็นเอ่ยปลอบโยนแทน
รอยประทับบงกชนั้นพอติดตามตู๋กูซิงหลันแล้วมันก็เคยได้เห็นมาครั้งหนึ่ง เพียงแค่ครั้งเดียว ก็ไม่มีทางลืมไปชั่วชีวิต
นั่นเป็นเครื่องหมายของซื่อมั่วแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น มันคิดไม่ออกเลยว่าจะมาปรากฏอยู่บนร่างของจีเฉวียนได้อย่างไร
หากจะบอกว่าจีเฉวียนคือซื่อมั่ว มันก็ไม่เชื่อ
คนทั้งสองมิว่ารูปโฉม หรือกลิ่นอายแตกต่างกันมากเกินไป
แล้วจะเป็นคนเดียวกันได้อย่างไร?
ตู๋กูซิงหลันเองก็ไม่อาจยืนยันได้เช่นกัน นางพยายามควบคุมอารมณ์ของตนเองเอาไว้ก่อน ตกลงมาจากด้านบนเช่นนี้ ร่างกายเหมือนโดนเครื่องมือขนาดใหญ่หล่นทับ นางพยายามขยับปลายนิ้ว ยังโชคดี ร่างกายยังพอมีกำลังอยู่บ้าง
พอพึ่งจะขยับตัวได้ ก็เห็นในบึงโคลนเกิดความเคลื่อนไหว
………………………….
ตอนต่อไป “แมลงกินวิญญาณ”