ตอนที่ 39 จุดอ่อน
แต่เมื่อหลิวเซียนกูเดินไปถึงปากประตู ก็ถูกอาหมานรั้งเอาไว้
“แม่นางหมายความว่าอย่างไร” หลิวเซียนกูหันหลังกลับไปมองดูเจียงซื่อด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เมื่อได้ยินเจียงซื่อกล่าวถึงจวนตงผิงปั๋ว หลิวเซียนกูจึงคาดเดาถึงความตื้นลึกหนาบางได้เล็กน้อย
อีกฝ่ายมีส่วนเกี่ยวข้องกับจวนตงผิงปั๋ว เช่นนั้นชนชั้นของนางก็คงจะไม่แตกต่างจากจวนตงผิงปั๋วเท่าไหร่นัก
แม้ว่านางจะอาศัยอยู่ในย่านคนจน แต่หลายปีมานี้ได้สั่งสมคบหาชนชั้นสูงมาไม่น้อย นับว่ามีชื่อเสียงอยู่พอควร ต่อให้แม่นางตรงหน้านี้เป็นสตรีชั้นสูง แต่หากจะกำนางให้อยู่หมัดคงจะอ่อนหัดไปเล็กน้อย
ใบหน้าของเจียงซื่อยังคงรอยยิ้มจางๆ เอาไว้ “เซียนกูอุตส่าห์เดินทางมาถึงที่นี่ จะไม่ดื่มชาอีกสักแก้วหรือ”
“ชาที่นี่ข้าดื่มไม่คุ้นลิ้นนัก” น้ำเสียงของหลิวเซียนกูยังคงนิ่งเรียบ
เจียงซื่อเก็บรอยยิ้ม ดวงตาอันลึกล้ำมองไปทางหลิวเซียนกูแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นหมายความว่า จะช่วยเอ้อร์ไท่ไท่แห่งจวนตงผิงปั๋วทำเรื่องเลวร้ายนั้นให้ได้หรือ”
“แม่นางเป็นใครกันแน่ เหตุใดจู่ๆ จึงมาเอ่ยกับข้าถึงเรื่องเหล่านี้”
“ข้าน่ะหรือ ข้าคือคุณหนูสี่แห่งจวนตงผิงปั๋ว เอ้อร์ไท่ไท่คืออาสะใภ้ของข้าเอง และคนที่นางร้องขอให้เซียนกูช่วยจัดการนั้นคือพี่ชายแท้ๆ ของข้า” เจียงซื่อไม่ได้ปิดบังตัวตนของนางแต่อย่างใด
เมื่อนางกล่าวจบ ดวงตาอันเต็มไปด้วยความประหลาดใจของหลิวเซียนกูก็เปลี่ยนเป็นความตกตะลึง
คุณหนูสี่แห่งจวนตงผิงปั๋วมีความผิดปกติทางสมองหรือไร จู่ๆ ก็มากล่าวเรื่องเหล่านี้กับนางอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ล่วงเกินนาง จากชื่อเสียงของนางในตอนนี้หากนางเอ่ยใส่ร้ายคุณหนูสี่แห่งจวนตงผิงปั๋วออกไป ก็อาจทำให้คุณหนูต้องตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก หรือหากว่านางเพิกเฉยไม่แยแส จากนั้นนำเรื่องนี้ไปบอกเล่าสู่เอ้อร์ไท่ไท่แห่งจวนตงผิงปั๋ว ชีวิตของคุณหนูน้อยผู้นี้ในภายภาคหน้าก็คงจะย่ำแย่
“แม่นางไปได้ยินข่าวลือนี้มาจากที่ใด แม้ว่าข้าจะไม่ใช่นักบวชเต๋าผู้มีคุณธรรมสูงส่งเช่นนั้น แต่ก็สามารถขจัดความเดือดร้อนแก่ชาวบ้านได้ไม่น้อย การที่แม่นางกล่าวหาข้าเช่นนี้ข้าไม่อาจรับได้จริงๆ” หลิวเซียนกูมองไปทางเจียงซื่อด้วยสายตาเย้ยหยัน
แม่นางที่จิตใจอ่อนแอ ไม่ว่าพบเจอเรื่องใดมาก็ต้องร้องเอะอะโวยวายออกมา หาได้มีความอดทนแม้แต่น้อยเช่นนี้ นางพบเจอมามากแล้ว
“แม่นางเองก็รีบกลับไปเสียเถิด ไม่เช่นนั้นคนในจวนอาจเป็นห่วงเอาได้” หลิวเซียนกูเดินหลีกอาหมาน แล้วยื่นมือไปที่ประตู
อาหมานเข้ามาขวางเอาไว้ ตอบกลับเสียงใสว่า “คุณหนูของเรายังไม่ได้อนุญาตให้เซียนกูไป”
หลิวเซียนกูหันกลับมาอย่างช้าๆ น้ำเสียงของนางดังก้องกังวานว่า “แม่นางจะบังคับให้ข้าอยู่ให้ได้อย่างนั้นหรือ”
เสียงของลูกศิษย์ที่อยู่ด้านนอกประตูเอ่ยถามเข้าไปว่า “เซียนกู ท่านเป็นอะไรหรือไม่”
ในขณะที่เซียนกูกำลังจะตอบกลับไป เจียงซื่อก็ได้กล่าวขึ้นว่า “ข้าว่าเซียนกูควรจะนั่งลงก่อนดีกว่า หากว่าเซียนกูไม่สนใจเรื่องของจวนตงผิงปั๋ว เช่นนั้นเรามาสนทนาเรื่องจวนเศรษฐีเหยียนที่ชานเมืองหลวงเป็นอย่างไร”
สีหน้าของหลิวเซียนกูเปลี่ยนไปมากทีเดียว นางไม่อาจเก็บซ่อนความตื่นตระหนกจากสีหน้าได้แต่อย่างใด
“เซียนกู ท่านเป็นอะไรหรือไม่” เสียงลูกศิษย์ผู้นั้นเอ่ยถามขึ้นอีกครั้งจากด้านนอก
หลิวเซียนกูรู้สึกราวกับมีค้อนใหญ่ทุบมายังร่างของนาง มันเจ็บปวดเสียจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง วิงเวียนศีรษะหน้ามืดตามัว
เหตุใดจึงมีผู้รู้เรื่องของจวนเศรษฐีเหยียนได้!
เมื่อเห็นท่าทางของหลิวเซียนกูที่กระสับกระส่ายเช่นนั้น เจียงซื่อก็ไม่ได้แปลกใจแต่อย่างใด
ที่เมืองไป๋ลู่ของชานเมืองหลวง มีเศรษฐีท่านหนึ่งแซ่เหยียน เศรษฐีเหยียนมีบุตรสาวอยู่หนึ่งคน งดงามทั้งหน้าตาและวาจากิริยามารยาท แม้ยังไม่บรรลุนิติภาวะแต่ก็มีผู้คนมากมายเดินทางมาสู่ขอเสียจนหัวกระไดลื่น
แต่ชะตาช่างโหดร้ายเหลือเกิน ในปีที่คุณหนูเหยียนอายุได้สิบห้าปีนั้นก็เกิดป่วยด้วยโรคประหลาด จากในตอนแรกที่มักง่วงเหงาหาวนอน กลับกลายเป็นว่าแต่ละวันนั้นนางแทบไม่ตื่นขึ้นมาเลย
เศรษฐีเหยียนมีบุตรสาวผู้เป็นที่รักเพียงแค่คนเดียว เรื่องนี้ทำให้เขาเป็นเดือดเป็นร้อนเสียจนผมหงอกขาวโพลน ซึ่งได้เชิญหมอที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงมารักษามากมายแต่ก็ไม่หาย จนกระทั่งมีผู้กล่าวว่าวิญญาณของคุณหนูเหยียนอาจหลุดลอยไปจึงทำให้ไม่ตื่นขึ้นมา
จากนั้น ทั้งนักบวชเต๋าและแม่หมอต่างก็ได้เดินทางมารักษามากมายนับไม่ถ้วน หนึ่งในนั้นรวมไปถึงหลิวเซียนกูที่เพิ่งเดินทางมายังเมืองไป๋ลู่ได้ไม่นานมานี้
ในตอนนั้นหลิวเซียนกูไม่ได้ถูกเรียกว่าหลิวเซียนกู นางเรียกตนเองว่าแม่หมอหลิว
ผู้คนภายนอกรู้กันว่าสามีของนางนั้นจากไปเมื่อนานมาแล้ว ทิ้งไว้เพียงบุตรชายและบุตรสาวคู่หนึ่ง ต่อมาบุตรชายก็จากไปเช่นกัน จึงได้พาบุตรสาวเดินทางออกช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย เรียกวิญญาณกลับสู่ร่างอีกครั้ง
หลิวเซียนกูกล่าวกับเศรษฐีเหยียนว่า คุณหนูเหยียนนั้นวิญญาณหลุดออกจากร่างไป จำเป็นต้องให้สาวพรหมจารีที่มีพลังเหนือธรรมชาติมาอยู่เป็นเพื่อนยามค่ำคืน จากนั้นนำพาวิญญาณของคุณหนูกลับมาคืนสู่ร่าง
และบุตรสาวของนางก็คือหญิงพรหมจารีที่มีพลังเหนือธรรมชาติ
ในตอนนั้นเศรษฐีเหยียนรีบร้อนกังวลใจในการตามหาหมอรักษาโรคของบุตรสาว จึงได้ตอบตกลงโดยไม่ลังเลแต่อย่างใด
ด้วยเหตุนี้ บุตรสาวของหลิวเซียนกูจึงได้อยู่เป็นเพื่อนคุณหนูเหยียนเป็นเวลาถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน จนในที่สุดอาการของคุณหนูเหยียนก็ดีขึ้นมาก
เศรษฐีเหยียนรู้สึกยินดียิ่งนัก เขามอบค่าตอบแทนให้แก่หลิวเซียนกูมากมายทีเดียว และชื่อเสียงของหลิวเซียนกูก็โด่งดังไปทั่วเมืองไป๋ลู่ ต่อมาจึงมีผู้เดินทางมาขอให้หลิวเซียนกูรักษาโรคประหลาดอย่างไม่ขาดสาย
เมื่ออาการของคุณหนูเหยียนดีขึ้นแล้ว เศรษฐีเหยียนจึงได้เริ่มประกาศหาคู่ครองให้แก่บุตรสาวของตน แต่ใครจะรู้เล่าว่าระหว่างนั้นจะเกิดเรื่องราวไม่คาดคิดขึ้น
ไม่ว่าอย่างไรคุณหนูเหยียนก็ยืนยันว่านางจะไม่ไปดูตัวกับผู้ใด เมื่อถูกบีบบังคับเข้าจึงได้เล่าว่า นางได้พบกับชายหนุ่มผู้หนึ่งในฝันนามว่าเฉียนหลัง ทั้งสองคนตกลงปลงใจอยู่ร่วมกัน หากไม่ใช่เฉียนหลังละก็ นางจะไม่ขอออกเรือนกับผู้ใด
ในตอนนั้นเศรษฐีเหยียนตกอกตกใจยิ่งนัก คิดว่าวิญญาณของบุตรสาวตนพัวพันกับวิญญาณเร่ร่อนเสียแล้ว จึงได้รีบเชิญหลิวเซียนกูเดินทางมาอีกครั้ง
เมื่อหลิวเซียนกูคำนวณดูจึงได้หัวเราะออกมาว่า เฉียนหลังในความฝันนั้นหาใช่วิญญาณเร่ร่อนแต่อย่างใด แต่มีชายผู้นี้อยู่จริง คุณหนูเหยียนและชายผู้นี้เป็นคู่ที่ฟ้าลิขิต หากทั้งสองไม่ได้อยู่ร่วมกัน คุณหนูเหยียนจะมีอุปสรรคมากมายในชีวิต
ในตอนนั้น คุณหนูเหยียนได้กล่าวถึงที่อยู่ของเฉียนหลังออกมา เศรษฐีเหยียนจึงได้ส่งคนออกไปตามหา และพบคนผู้นั้นเข้าจริงๆ
เพียงแต่ว่าเฉียนหลังนั้นเป็นชายหนุ่มซึ่งบิดามารดาของเขาจากไปตั้งแต่เยาว์วัย จึงเดินทางมาอาศัยญาติห่างๆ อยู่ที่นี่ ทางบ้านก็ยากจน ความรู้ก็ไม่มี เศรษฐีเหยียนจะชื่นชอบได้อย่างไร ดังนั้นเขาจึงยืนกรานปฏิเสธ
ต่อมาเมื่อคุณหนูเหยียนร้องห่มร้องไห้อยู่ถึงหนึ่งเดือนเศษ ก็ได้เกิดเรื่องประหลาดขึ้นมาอีกครั้ง จู่ๆ คุณหนูเหยียนก็ได้ตั้งครรภ์!
ครานี้ทำเอาเศรษฐีเหยียนหมดสิ้นหนทางจริงๆ จึงสอบถามเฉียนหลังว่ายินดีจะรับคุณหนูเหยียนเป็นภรรยาหรือไม่ เมื่อเขาตอบตกลง พิธีสมรสของทั้งสองจึงจัดขึ้นอย่างเร่งรีบ
“เซียนกูเจ้าคะ” ลูกศิษย์ที่หน้าประตูร้องเรียกขึ้นอีกครั้ง
“ข้าไม่เป็นไร” หลิวเซียนกูได้สติกลับคืนมาแล้วจ้องไปยังหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง
ท่าทางการนั่งของหญิงสาวช่างมีสง่า แสงจากหน้าต่างสาดส่องเข้ามายังร่างของนาง ราวกับนางนั้นออกมาจากภาพวาดที่อ่อนโยนและสงบ
แต่ความเงียบสงบเช่นนี้กลับทำให้หลิวเซียนกูเกิดความหวาดกลัว
เรื่องในตระกูลเหยียนนั้นเกิดขึ้นมาได้สิบกว่าปีแล้ว อีกทั้งยังเป็นที่ชานเมืองหลวง มองดูแม่นางผู้อยู่ตรงหน้าอายุเพียงไม่เท่าไร นางไม่น่าจะรู้เรื่องความลับที่เกิดขึ้นในตอนนั้นได้
หลิวเซียนกูยกมือขึ้นลูบผมยาวสลวยของนาง ก่อนจะพยายามบังคับตนเองให้สงบนิ่ง “เศรษฐีเหยียนหรือเศรษฐีหวางอะไรกัน หลายปีมานี้ข้าเดินทางไปช่วยปัดเป่าให้แก่ผู้คนมากมาย ข้าจำไม่ได้หรอก”
เจียงซื่อจ้องไปยังหลิวเซียนกูอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ ว่า “ท่านเซียนกูล้อข้าเล่นหรืออย่างไร บ้านอื่นนั้นท่านอาจจะลืมไปได้ แต่บ้านของภรรยาบุตรชายท่าน ท่านจะจำไม่ได้เชียวหรือ”
หลิวเซียนกูเบิกตากว้าง นางมองไปทางเจียงซื่อด้วยสายตาตื่นตระหนก
อาหมานที่ยืนเฝ้าประตูอยู่นั้นก็มองไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“อาหมาน เจ้าออกไปรอด้านนอก และบอกให้แม่นางน้อยด้านนอกประตูวางใจได้”
ในใจของอาหมานเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่เมื่อได้รับคำสั่งจากเจียงซื่อจึงได้เดินออกไปอย่างเงียบๆ ภายในห้องเหลือเจียงซื่อและหลิวเซียนกูเพียงสองคน
หลิวเซียนกูจับจ้องไปยังเจียงซื่อ นางนิ่งเงียบด้วยความประหลาดใจ
ที่มุมปากของเจียงซื่อกลับมีรอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้น “เฉียนหลังผู้นั้น ก็คือบุตรสาวของเซียนกูใช่หรือไม่”
หลิวเซียนกูถอยหลังออกไปสองก้าวโดยปริยาย จนหลังของนางชนเข้ากับประตู
ทำให้บานประตูส่งเสียงดังสนั่น
หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้ายิ้มขึ้นอย่างอ่อนโยน “หรือบางทีอาจเรียกได้ว่าเป็นบุตรชายของเซียนกู!”