ตอนที่ 57 รวยแล้ว
ตามองเห็นแล้ว?
ภายในห้องเงียบเชียบจนแทบจะได้ยินเสียงเข็มหล่น
เฝิงเหล่าฮูหยินกะพริบตาอย่างยากลำบาก “นั่น…ซื่อเอ๋อร์?”
ตำแหน่งที่เจียงซื่อยืนอยู่เป็นจุดที่เฝิงเหล่าฮูหยินสามารถมองเห็นได้พอดี
หญิงสาวถลาเข้าไปหาเฝิงเหล่าฮูหยินด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพร้อมกล่าวอวยพร “ขอแสดงความยินดีกับท่านย่าที่หายดีเจ้าค่ะ”
นางที่ยืนอยู่ตรงนั้นแม้จะมั่นใจว่าดวงตาของเฝิงเหล่าฮูหยินจะดีขึ้น แต่หากไม่ได้มาเห็นด้วยตาตัวเองใกล้ๆ ก็คงไม่อาจวางใจได้ ฉะนั้นนางจึงอาศัยช่วงจังหวะโกลาหลแทรกตัวเข้าไปทันที
ที่แท้ก็คือเด็กสาวหน้าตางดงามกอปรกับรอยยิ้มตราตรึงราวกับดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิ
สายตาขุ่นมัวของเฝิงเหล่าฮูหยินกลับมามองเห็นชัดเจนแล้ว
มองเห็นแล้ว นางมองเห็นแล้วจริงๆ!
แต่ละคนที่อยู่ในห้องนั้นรู้สึกราวกับเพิ่งตื่นจากฝันจึงค่อยๆ เดินมากล่าวยินดีต่อเฝิงเหล่าฮูหยินทีละคน
เซียวซื่อแทรกตัวมาตรงกลาง ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มอย่างมีความสุข แต่ในใจของนางแทบอยากจะเอาหัวโขกผนังให้รู้แล้วรู้รอด
แย่แล้ว หากเป็นเช่นนี้ เรื่องที่บอกว่าเชี่ยนเอ๋อร์ถูกวิญญาณร้ายเข้าสิงก็ไร้ข้อกังขาแล้วสิ!
เจียงเชี่ยนเป็นฮูหยินของฉังซิงโหวซื่อจื่อ เป็นถึงสตรีชั้นสูง หากถูกตีตราเช่นนี้ ในอนาคตก็ไม่รู้ว่าจะต้องพบเจอกับเรื่องไร้สาระอีกมากน้อยเพียงใด
เฝิงเหล่าฮูหยินยินดีจนไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้
คนที่ไม่เคยประสบกับความมืดบอดเช่นนี้ก็ยากที่จะเข้าใจความทุกข์ที่เจ้าตัวรู้สึก
เซียนกู จริงด้วย เซียนกู!
“เซียนกูล่ะ” เฝิงเหล่าฮูหยินถามด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นพลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง นางหันไปเห็นหลิวเซียนกูที่ยืนอยู่อีกมุมหนึ่ง
หลิวเซียนกูที่กำลังตกที่นั่งลำบาก ไข่เน่ากลิ่นเหม็นคละคลุ้งแห้งกรังติดอยู่บนใบหน้าของนาง
เฝิงเหล่าฮูหยินจึงถามขึ้นด้วยความตกใจว่า “เซียนกู เหตุใดจึงเป็นกลายเป็นเช่นนั้น เซียวซื่อ เจ้าดูแลเซียนกูแทนข้าเช่นนี้งั้นหรือ!”
คำพูดของเฝิงเหล่าฮูหยินทำให้ทุกคนในที่นั้นตื่นจากภวังค์ ทุกสายตาจับจ้องไปที่หลิวเซียนกู
หากยังไม่พูดถึงความสามารถของหลิวเซียนกูที่ใช้วิชาสร้างกลอุบายได้อย่างเก่งกาจ นางใช้เวลาไม่นานในการดึงสติตัวเองที่กำลังตะลึงงันให้กลับมาเป็นปกติ ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มบางๆ สมกับเป็นผู้มีวิชาแกร่งกล้า
แม้ว่าเจียงอันเฉิงและน้องชายอีกสองคนเป็นพวกไม่เชื่อเรื่องพรรค์นี้ แต่ในเวลานี้กลับมีทั้งความรู้สึกประหลาดใจและสงสัยใคร่รู้เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน ส่วนเซียวซื่อและคนอื่นๆ ก็ไม่สามารถมองหลิวเซียนกูด้วยสายตาเดิมได้อีกต่อไป
ดวงตาของเหล่าฮูหยินดีขึ้นภายในสามวันตามที่บอก นี่เป็นสิ่งรับรองว่าหลิวเซียนกูเป็นผู้มีพลังแกร่งกล้าดุจเทพ!
คราวนี้ต่อให้เซียวซื่อจะมีความรู้สึกแคลงใจต่อหลิวเซียนกูมากเพียงใดก็ไม่กล้าแสดงท่าทีดูแคลนได้อีกต่อไป นางจึงรีบเอ่ยอย่างยิ้มแย้มว่า “ทำให้เซียนกูต้องลำบากเสียแล้ว ขอเซียนกูอย่าถือโทษ”
หลังจากพูดจบนางจึงส่งสายตาไปที่สาวใช้ “ยังไม่รีบพาเซียนกูไปล้างเนื้อล้างตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกล่ะ”
เฝิงเหล่าฮูหยินจึงกล่าวต่อว่า “ดูแลเซียนกูให้ดี อย่าปล่อยปละละเลยเช่นนี้อีก”
“เซียนกู เชิญเจ้าค่ะ” สาวใช้สองสามคนตรงเข้าไปเชิญหลิวเซียนกู
หลิวเซียนกูพาเด็กสาวออกไปด้านนอก สองเท้าก้าวไปราวกับเดินบนปุยฝ้ายอ่อนนุ่ม
แม่เจ้า คุณหนูสี่รู้ได้อย่างไรว่าดวงตาของเฝิงเหล่าฮูหยินจะหายดีภายในสามวัน
เมื่อนึกย้อนไปถึงตอนที่เจียงซื่อส่งคนไปตามหาหลิวเซียนกูเห็นได้ชัดว่านางรู้อยู่แล้วว่าเซียวซื่อวางแผนจะทำร้ายคุณชายรอง อีกทั้งยังรู้แม้กระทั่งความลับของนางด้วย นั่นทำให้หลิวเซียนกูรู้สึกว่าเจียงซื่อเป็นบุคคลที่คาดเดาได้ยากเสียเหลือเกิน
หรือว่าจริงๆ แล้วคุณหนูสี่จะเป็นคนที่สามารถสื่อสารกับภูตผีได้
หลิวเซียนกูเหลือบมองไปยังเจียงซื่ออย่างอดไม่ได้
หญิงสาวท่าทางสง่าผ่าเผยลดสายตามองต่ำอย่างสำรวม ท่าทางน่าเอ็นดูยิ่งนัก
หลิวเซียนกูที่ตื่นจากภวังค์รีบถอนสายตากลับมาทันที
เลิกคิดดีกว่า อีกหน่อยก็อยู่ให้ห่างจากปีศาจตนนี้หน่อยก็แล้วกัน
‘อีกหน่อย’ แค่คิดถึงคำนี้ หลิวเซียนกูก็กระตุกยิ้มมุมปาก
หลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ชื่อเสียงของนางคงเลื่องลือไปทั่วเมืองหลวง นางคงได้ทั้งชื่อเสียงและเงินทองอีกมากมาย อีกหน่อยถ้าผู้คนพบเห็นก็คงจะขานเรียกเซียนกูด้วยความเคารพนบนอบ!
เมื่อหลิวเซียนกูออกไปแล้วทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ
แม้ดวงตาของเฝิงเหล่าฮูหยินหายดีแล้ว แต่ทุกคนกลับรู้สึกว่าเรื่องนี้เกินความจริงไปมาก
“ชักช้าอยู่ไย ยังไม่รีบมาพยุงข้าไปเปลี่ยนอาภรณ์อีกล่ะ อ้อจริงสิ อย่าลืมนำประทัดสองพวงไปจุดที่หน้าประตูใหญ่ด้วย สิ่งชั่วร้ายจะได้หมดไปเสียที!” เฝิงเหล่าฮูหยินกล่าวอย่างอารมณ์ดี
ฝูงชนยังคงเฝ้ารออยู่ที่หน้าประตูจวนตงผิงปั๋วท่ามกลางความมืด ในขณะนั้นผู้คนต่างเริ่มถกเถียงกันว่าเหตุการณ์คราวนี้จะส่งผลต่อชีวิตของเฝิงเหล่าฮูหยินหรือไม่
ทันใดนั้นเองคนรับใช้หลายคนก็เดินออกมาพร้อมกับถาดประทัดในห่อกระดาษสีแดง ประทัดที่ถูกนำไปแขวนและจุดไฟส่งเสียงดังก้องไปทั่ว
เด็กๆ ที่ยืนดูเหตุการณ์ต่างส่งเสียงกรีดร้อง บ้างก็หัวเราะพลางเอามืออุดหู
ผู้คนต่างมองหน้ากันและตะโกนถามคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ว่า “จวนนี้จุดประทัดทำไมกัน”
คนรับใช้จวนปั๋วเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มเริงร่าว่า “ดวงตาของเหล่าฮูหยินหายดีแล้ว!”
อะไรนะ เหล่าฮูหยินแห่งตงผิงปั๋วตาหายดีแล้วหรือ
เสียงฮือฮาของฝูงชนดังกลบเสียงประทัด จากนั้นไม่นานก็เริ่มมีเสียงคนร้องโอดครวญขึ้นว่า “ซวยแล้ว ซวยแล้ว เงินของเมียข้าไม่เหลือแล้ว!”
เสียงจากด้านนอกดังเซ็งแซ่ขนาดที่เฝิงเหล่าฮูหยินที่กำลังอาบน้ำอยู่ในจวนก็ยังได้ยิน นางจึงถามด้วยความสงสัยว่า “ข้างนอกมีงานศพหรืออย่างไร”
อาฝูยิ้มพลางเอ่ยตอบ “คาดว่าน่าจะเป็นเสียงของคนที่แพ้พนันเจ้าค่ะ”
เฝิงเหล่าฮูหยินครุ่นคิดชั่วครู่ เมื่อเริ่มเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นจึงเอ่ยอย่างเย้ยหยันว่า “สมน้ำหน้า!”
ในคืนนั้นทั่วทั้งเมืองหลวงเต็มไปด้วยเสียงผู้คนโอดครวญ นอกประตูบ่อนพนันขนาดใหญ่มีทั้งคนวิ่งแก้ผ้าอย่างบ้าคลั่ง มีทั้งคนชกต้นไม้อย่างเดือดดาล และมีคนที่พยายามยัดหมั่นโถวลงคอเพราะหวังว่าจะทำให้ตัวเองสำลักอาหารตายอีกนับไม่ถ้วน
หลังจากอาเฟยไปรับเงินที่ได้จากการพนันก้อนสุดท้าย ในใจของเขาเกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากไปร่วมวิ่งแก้ผ้ากับคนพวกนั้นให้รู้แล้วรู้รอด
สองร้อยห้าสิบตำลึง เดิมพันลงหนึ่งจ่ายสิบ แม่เจ้าโว้ย รวมแล้วเป็นเงินเท่าไหร่กันเนี่ย
ตัวเขาเป็นพวกชั้นต่ำที่มีชีวิตไม่ต่างจากหนูตามตรอก ไม่เคยมีผู้ใดเหลียวแล แต่ในขณะนี้เขามีเงินซ่อนอยู่ในเสื้อสองพันกว่าตำลึงเชียวหรือ
ใจเย็นๆ เงินก้อนนี้ไม่ใช่เงินของเขา ส่วนตัวเขานั้น เงินที่เก็บหอมรอมริบไว้แต่งเมีย…ถูกเจ้ามือกินเรียบเสียแล้ว
อาเฟยที่คล้ายคนเมาลากสังขารตัวเองออกจากบ่อนอย่างทุลักทุเล สภาพของเขาดูย่ำแย่ไม่ต่างจากคนแพ้พนันคนอื่นๆ ช่างไม่น่าดูเอาเสียเลย
ในที่สุดค่ำคืนที่แสนยาวนานก็ผ่านพ้นไป บรรยากาศในโรงน้ำชาเทียนเซียงครึกครื้นกว่าปกติเล็กน้อย
“คุณหนู อาเฟยคงไม่คิดจะเชิดเงินก้อนโตหนีไปใช่ไหมเจ้าคะ” อาหมานกุมมือไว้ที่อกพลางถามขึ้น
นางเองก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้มาก่อน เพราะหากคิดขึ้นมาแล้วก็คงกลัดกลุ้มเป็นแน่
เจียงซื่อถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ว่า “อาหมาน เจ้าถามเรื่องนี้มาหกรอบแล้วนะ”
“ก็บ่าวกังวลนี่เจ้าคะ”
เงินตั้งสองพันกว่าตำลึง คุณหนูก็น่าจะรู้ดี!
เมื่อนายหญิงและสาวใช้เดินเข้าไปในห้องพิเศษแล้ว อาเฟยที่รออยู่ที่นั่นนานแล้วก็ถูกเรียกเข้ามา
อาหมานถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก
ดีที่ยังรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร
“คุณหนู นี่เงินของคุณหนู…” สองมือที่สั่นเทาของอาเฟยค่อยๆ หยิบซองกระดาษมันออกมาจากอกเสื้อ
อาหมานรับมาและเปิดดูด้านใน นับเงินในซองถึงสามรอบก่อนที่จะเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า “คุณหนู ครบถ้วนเจ้าค่ะ”
เจียงซื่อเชิดคางขึ้นเล็กน้อย
อาหมานก็เข้าใจความหมายนั้นทันที นางหยิบธนบัตรร้อยตำลึงออกมาและส่งให้อาเฟยอย่างไม่เต็มใจนัก “อ่ะ ตามที่ตกลงกันไว้”
“ข้าจะรับไว้ได้อย่างไร…” ยังพูดไม่ทันจบอาเฟยก็รีบคว้าธนบัตรนั้นไปทันที
“เอาเงินให้อาเฟยอีกร้อยตำลึง”
“คุณหนู!”
เจียงซื่อเลิกคิ้ว
อาหมานยอมแพ้ หยิบธนบัตรอีกหนึ่งร้อยส่งให้อาเฟย
แต่คราวนี้อาเฟยไม่รับ “คุณหนู ที่ตกลงกันไว้คือหนึ่งร้อยตำลึง…”
“นั่นมันตอนที่ลงหนึ่งจ่ายห้า เจ้าลงเดิมพันในจังหวะที่เหมาะเจาะทำให้ข้าได้เงินเพิ่มขึ้น อีกร้อยตำลึงนี่ข้าจึงให้เป็นรางวัล”
“ถ้าอย่างนั้นข้าน้อยไม่เกรงใจแล้วนะขอรับ” อาเฟยที่หน้าหนาเป็นทุนเดิมได้ฟังคำตอบของเจียงซื่อก็รีบเข้ามารับเงินหน้าระรื่น
ดึงก็แล้ว ทำไมดึงไม่ออก
อาเฟยเหลือบมองอาหมานและพูดเตือนว่า “พี่อาหมาน ตั๋วเงินจะขาดอยู่แล้ว…”