ตอนที่ 59 ชดใช้กรรม
โรงเตี้ยมในเมืองเล็กๆ และถึงแม้จะครึกครื้นแต่ความหรูหราก็สู้ในเมืองไม่ได้
เด็กหนุ่มผู้นั้นคืออาเฟย
อาเฟยเดินเข้าไปในโรงเตี้ยม สั่งสุราพร้อมกับเจ้าล้มมากินในมุมหนึ่งภายในร้าน ชายผู้นั้นดื่มสุราอึกใหญ่ เบื้องหน้าของเขามีเพียงถั่วลิสงจานเล็กจานหนึ่ง
สิ่งที่เขาดื่มเป็นเพียงสุราราคาถูก
อาเฟยยกสุราชั้นดีพร้อมกับจานเนื้อลาตุ๋นมาวางไว้ตรงหน้าชายผู้นั้น พลางเอ่ยอย่างอารมณ์ดีว่า “ดื่มคนเดียวมันน่าเบื่อเกินไป จะว่าไปแล้วข้ารู้สึกถูกชะตากับพี่ชายเหลือเกิน เรามาดื่มด้วยกันดีไหม”
ชายเหลือบมองอาเฟย
จากดวงตาแดงก่ำและอาการสะลึมสะลือของชายหนุ่มทำให้อาเฟยพอจะทราบได้ว่าชายผู้นี้คงดื่มไปไม่น้อยแล้ว
“ดื่มอีก มาดื่มกันอีก” ชายหนุ่มเป็นคนถึงไหนถึงกัน เขายกจอกสุราขึ้นมาชนกับอาเฟยอย่างไม่เหนียมอาย หลังจากกระดกสุราลงคอแล้วก็ใช้ตะเกียบคีบเนื้อลาใส่ปากทันที
ชายเคี้ยวเนื้อลาตุ๋นที่หอมละมุนแล้วกลืนลงคอ เขาตบโต๊ะฉาดใหญ่พลางเอ่ยขึ้นว่า “สุดยอดไปเลย ไม่ได้กินเนื้อลาตุ๋นร้านนี้มานานแล้ว”
จากนายพลที่เคยมีตำแหน่งยศสูงศักดิ์ แต่เพราะคู่หมั้นจากไปอย่างกะทันหันทำให้เขาจมอยู่กับความทุกข์โศกจนเสียการเสียงาน แม้ว่าทุกวันนี้ผู้คนยังคงเรียกเขาว่า ‘ฉินเจียงจวิน’ เพราะความเคยชิน แต่ก็มีบางคนเรียกเพราะจงใจจะล้อเลียนเท่านั้น
คนที่รู้สึกชื่นชมในความรักที่ชายมีต่อคู่หมั้นไม่เปลี่ยนแปลงนี้ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นพวกผู้หญิง แต่สำหรับพวกผู้ชายส่วนใหญ่แล้วมักจะแสดงท่าทีเอือมระอากับพฤติกรรมของชายผู้นี้เสียมากกว่า
แค่ผู้หญิงคนเดียวที่ยังไม่ได้แต่งงานด้วยยังสามารถทำให้เขาเป็นได้ขนาดนี้ ช่างไร้อนาคตเสียจริง
ชายหนุ่มยกชนจอกกับอาเฟยครั้งแล้วครั้งเล่า ทันทีที่เนื้อลาตุ๋นกองพูนในจานหายวับไป เขาก็เช็ดปาก ยืนขึ้นและเอ่ยว่า “ข้าอิ่มล่ะ ขอบใจ”
อาเฟยเฝ้ามองชายผู้นั้นเดินโซซัดโซเซออกไปโดยไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เขานั่งรออยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเรียกคิดเงิน จากนั้นจึงค่อยวิ่งตามออกไป
“ตามข้ามาทำไม!” ชายผู้นั้นคว้ามับเข้าที่แขนของอาเฟยและดันตัวอาเฟยติดกำแพง
อาเฟยยิ้มแหยด้วยความเจ็บปวด แต่มิได้ส่งเสียงใดออกมา
เพราะเคยผ่านความเจ็บปวดจากปิ่นปักผมของอาหมานคราวนั้น ความเจ็บปวดคราวนี้จึงนับว่าเล็กน้อย
“เจ้าเป็นใคร” ชายจ้องเขม็งไปที่อาเฟยพลางคิดกับตัวเอง
แต่เจ้าเด็กนี่กลับดูไม่เหมือนพวกนักเลงใจเสาะทั่วไป
บางคนที่ดื่มสุราจนเมา อาจจะไม่ได้เป็นเพราะดื่มเกินขนาดที่ตัวเองจะรับไหว เพียงแค่รู้สึกอยากเมาก็เลยปล่อยให้ตัวเองเมามาย ชายผู้นี้ก็เป็นเช่นนั้น
อาเฟยสบตาชายหนุ่มหัวเราะขึ้นและเอ่ยคำถามแปลกๆ ออกไปว่า “พี่ชายอ่านหนังสือออกหรือไม่”
ชายชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้า
เด็กพิลึกพิลั่นที่มาพร้อมกับคำถามสุดประหลาดทำให้ชายเริ่มรู้สึกว่าชีวิตที่จมอยู่กับความเจ็บปวดและเฉื่อยชามานานกว่าสิบปีของเขากำลังจะเปลี่ยนไป
“อ่านออกก็ดีแล้ว” อาเฟยหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากอกเสื้อและยื่นให้ชายผู้นั้น
ชายหนุ่มเหลือบมองอาเฟยแวบหนึ่งแล้วจึงรับกระดาษนั้นมา เขาถือจดหมายไปส่องบริเวณที่มีไฟ
ทันทีที่อ่านจดหมาย ท่าทีของชายหนุ่มก็เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน
หลังจากอ่านจดหมายเสร็จ ชายที่สั่นสะท้านไปทั้งตัวพรวดพราดเข้ามากระชากคอเสื้อของอาเฟยและถามขึ้นว่า “เจ้าเป็นใครกันแน่”
อาเฟยกระแอมในคอพลางบอก “พี่ชาย แขนข้าจะหักอยู่แล้ว”
ชายค่อยๆ คลายมือออกจากแขนของอาเฟยแต่ริมฝีปากของเขายังคงสั่นไม่หยุด
เมื่ออาเฟยเห็นอาการของชายหนุ่ม จู่ๆ ความรู้สึกหวาดกลัวก็เริ่มกัดกินที่ขั้วหัวใจของเขา
อาเฟยรับรู้ได้ทันทีเลยว่า ชายหนุ่มผู้นี้สามารถฆ่าคนตายได้เลย!
เงินของคุณหนูเจียงไม่เคยได้มาง่ายๆ เลย
อาเฟยอยากร้องไห้จับใจแต่ไม่มีน้ำตาไหลออกมาสักหยด เขาทำได้เพียงพูดปลอบใจตัวเองว่า เงินเก็บแต่งเมียก็เอามาใช้จดหมดตัวแล้ว ถ้ายังไม่พยายามสู้ชีวิตหาเงินมาให้ได้ อีกหน่อยจะทำยังไง
“บอกมาว่าเจ้าเป็นใคร!”
ร่างอาเฟยถูกยกติดบนกำแพง แผ่นหลังของเขารับรู้ได้ถึงความแข็งกระด้างและเย็นเฉียบ
“ข้าก็แค่เป็นเด็กวิ่งทำธุระเท่านั้น”
“แล้วจดหมายนี่ล่ะ ใครเป็นคนเขียน”
อาเฟยส่ายหัว “เรื่องนั้นข้าบอกไม่ได้ อีกอย่างถึงแม้ข้าจะนับเงินได้ แต่ข้าก็อ่านหนังสือไม่ออก ข้ารู้เพียงแต่ว่าผู้เขียนจดหมายนี้ฝากข้ามาบอกบางอย่างกับท่าน”
“บอกอะไร” ชายหนุ่มเริ่มเดือดพล่าน “ให้บอกว่าอะไร”
เนื้อความในจดหมายเพียงพอที่จะทำให้ชายหนุ่มผู้ตามหาความจริงอยู่นานเป็นสิบปีสติหลุดได้ทันที
“อะแฮ่ม… ผู้นั้นบอกว่า… ท่านจะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจ เรื่องก็ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว คนผู้นั้นไม่มีหลักฐาน แต่หากท่านต้องการหลักฐานก็คงต้องไปง้างปากหาความจริงจากคนในเหตุการณ์นั้นเอง…” กว่าอาเฟยจะพูดจบน้ำตาของเขาก็แทบร่วง
สั่งให้มาพูดจาเช่นนี้แทบไม่ต่างอะไรกับสั่งให้ข้าไปตายเลยจริงๆ
เขาไม่เพียงแต่อ่านหนังสือไม่ออกเท่านั้น แม้แต่ความกล้าที่จะเปิดจดหมายดูก็ยังไม่มี หรือต่อให้เปิดดูแล้วเขาก็ไม่รู้ว่าในจดหมายเขียนอะไร ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาไม่มีทางรู้ว่ากำลังเขียนถึงเรื่องอะไร
“แล้วผู้นั้นรู้ได้อย่างไร”
อาเฟยกลอกตา “แล้วข้าจะไปรู้ได้อย่างไร! ถ้าข้ารู้มากกว่านี้ เด็กวิ่งส่งจดหมายก็คงไม่ใช่ข้าแล้ว พี่ชายว่าจริงไหมล่ะ ผู้นั้นบอกเพียงว่า เขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เขาแค่บังเอิญไปรู้มาเท่านั้น”
ชายก้มหน้าบรรจงอ่านจดหมายทีละตัวอีกรอบ และจู่ๆ ก็ยัดจดหมายเข้าปาก เคี้ยวๆ แล้วกลืนลงคอ
อาเฟยที่เห็นเหตุการณ์ได้แต่ตกตะลึงอ้าปากค้าง
“มากับข้า!” ชายลากอาเฟยเข้าไปในตรอกลึก
แม้ว่าบ้านของชายผู้นั้นจะดูซอมซ่อแต่กลับดูสะอาดสะอ้านเป็นระเบียบอย่างไม่น่าเชื่อ
“แม้ว่าจะไม่รู้ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังเจ้าต้องการอะไร แต่ในเมื่อส่งเจ้ามาก็หมายความว่าต้องการให้เจ้านำบางอย่างกลับไปด้วยจริงไหม”
“แน่นอน” อาเฟยตอบอย่างไม่ลังเล
ชายหลับตาลงพลางเอ่ย “เจ้าดูแลตัวเองแล้วกัน เพราะข้าไม่เก่งทำอาหาร”
หลังจากพูดจบ เขาก็ดันอาเฟยออกไปให้พ้นทาง และรีบวิ่งออกไปจากเรือนด้วยความทุลักทุเล รีบถึงขนาดที่แม้แต่ประตูใหญ่หน้าบ้านก็ไม่ทันได้ปิด
อาเฟยนั่งลงเพียงครู่หนึ่งแล้วจึงยืนขึ้นปัดฝุ่นออกจากก้น
พี่ชายคนนี้นี่มันจริงๆ เลย ไปไหนแล้วเนี่ย เรื่องที่คุณหนูเจียงฝากบอกยังไม่หมดเลยนะ
แต่จะว่าไปแล้ว คุณหนูเจียงรู้ได้ยังไงว่าพี่ชายผู้นี้จะไม่ลงไม้ลงมือกับเขา
อาเฟยคงไม่รู้หรอกว่า ชายที่หมกมุ่นอยู่กับการหาความจริงเกี่ยวกับการตายของคู่หมั้นมานานเป็นสิบปี หากรู้ว่าจะไปตามหาความจริงได้ที่ไหนก็คงรีบแจ้นไปพิสูจน์ทันที ไม่มัวมานั่งสนใจคนรอบข้างให้เสียเวลา
แม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่สามารถง้างปากเหยื่อหรือตัวผู้กระทำผิดเพื่อหาความจริงได้ แต่สิ่งที่บรรยายในจดหมายก็ทำให้เขาพอจะมั่นใจได้แล้ว
‘บัดนี้ จุดจบของหลิวเซียนกูถูกลิขิตเอาไว้แล้ว’
หากไปถามว่าครึ่งเดือนหลังมานี้ใครโด่งดังที่สุด ผู้คนในเมืองหลวงแปดในสิบคนคงตอบว่าหลิวเซียนกูที่รักษาตาของเหล่าฮูหยินจวนตงผิงปั๋วเป็นแน่
หลิวเซียนกูได้รับคำเชิญจากตระกูลชั้นสูงอีกมากมายจนตารางงานแน่นไปถึงเดือนหน้า เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลาย
จนกระทั่งวันหนึ่งก็วนมาถึงโอกาสของจวนหย่งชังปั๋ว
จวนหย่งชังปั๋วอยู่ติดกับจวนตงผิงปั๋ว ทั้งสองบ้านไปมาหาสู่กันมาช้านาน บุตรสาวคนโตของจวนหย่งชังปั๋วนามว่าเซี่ยชิงเหยา นางอายุไล่เลี่ยกับเจียงซื่อ ทั้งสองจึงเป็นเพื่อนสนิทกัน
ขณะที่หญิงชราจากจวนหย่งชังปั๋วออกไปเชิญหลิวเซียนกู คนในจวนตงผิงปั๋วก็สามารถมองเห็นได้เลยว่าบนหัวของหญิงชรานั้นติดดอกไม้อะไรเอาไว้
เนื่องจากทั้งสองจวนอยู่ใกล้กันมาก บ้านไหนเกิดเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เพียงแค่หางลมพัด อีกฝ่ายก็สามารถรับรู้ได้ทันที ตอนที่หญิงชราวิ่งลนลานกลับมาที่จวนหย่งชังปั๋วด้วยความตื่นตระหนกจะปัสสาวะแทบราด คนที่จวนตงผิงปั๋วก็รับรู้ได้ว่าต้องเป็นเรื่องด่วนอย่างแน่นอน
“คิดไม่ถึงเลยว่าหลิวเซียนกูที่มีพลังวิเศษดุจเทพเจ้าจะถูกฆ่าตายอยู่บนเตียง เลือดไหลนองทั่วเตียงลงไปถึงพื้นจนป่านนี้แห้งแข็งไปหมดแล้ว!”
“เพิ่งจะโด่งดังได้เพียงครึ่งเดือนดันมาตายอย่างอนาถเช่นนี้เสียแล้ว!”
เสียงฝีเท้าตุบตับดังขึ้นในเรือนไห่ถัง อาหมานกระวีกระวาดเข้ามาในห้อง “คุณหนู มีเรื่องร้ายเกิดขึ้นแล้วเจ้าค่ะ!”
เจียงซื่อมองอาหมานด้วยสายตานิ่งเรียบ หัวเราะขึ้นพลางเอ่ยว่า “เรื่องร้ายอะไรกัน ไหนเล่ามาสิ”
“หลิวเซียนกูถูกฆ่าตายเจ้าค่ะ”
“งั้นรึ…” เจียงซื่อถอนหายใจแผ่วเบา “น่ากลัวจริงด้วย”