ตอนที่ 115 ภาพเหมือน
หลังจากอำลาผู้บัญชาการทหารประจำอำเภอ เจียงซื่อและทุกคนก็ออกจากเมืองชิงหนิวทันที
หลังจากฝนตกต้นไม้ทั้งสองฟากถนนมีสีเขียวเข้ม มีชีวิตชีวาเป็นพิเศษ ดูพลิ้วไหวราวกับภาพเขียนสีน้ำ
กลิ่นดินที่เปียกชื้นลอยมาปะทะใบหน้า กีบเท้าม้าเหยียบย่ำบนถนนที่เต็มไปด้วยดินโคลน ทำให้รถม้าเคลื่อนที่ช้าลง
“เอ๋ นั่นพี่น้องตระกูลหลี่ไม่ใช่หรือ” เจียงจั้นดึงบังเหียนให้หยุด แล้วชี้นิ้ว
ใต้ต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกลนักมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง และคนที่นำขบวนคือสองพี่น้องตระกูลหลี่
สองพี่น้องอาศัยอยู่ในเมืองต้าหยางที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองชิงหนิว อย่างไรก็ตามลูกๆ ของเศรษฐีบ้านนอกไม่บอบบางเท่าคุณหนูและคุณชายผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวง ซึ่งรวมทั้งแม่นางหลี่ที่เดินเท้ามาอย่างไม่กลัวต่อความลำบาก
อวี้จิ่นชําเลืองมองไปทางนั้นอย่างเฉยเมย
เจ้าหนุ่มนี่กลัวจนฉี่ราดแล้ว หรือว่ายังไม่เลิกคิดอกุศลอีก
เอียงคอมองรถม้าแวบหนึ่ง อวี้จิ่นใจเต้นตึกตัก
คงไม่ได้ฟ้องอาซื่อหรอกนะ
คุณชายหลี่ไม่กล้ามองหน้าอวี้จิ่นเลย แล้วจึงรีบร้อนกวักมือเรียกเจียงจั้น “พี่เจี่ยง น้องสาวข้าอยากกล่าวลาน้องสาวของท่าน”
สีหน้าของอวี้จิ่นพลันกระด้างขึ้นทันที ยกมุมปากขึ้นยิ้มเยาะ
เจ้าลูกเต่าน้อยพัฒนาขึ้นแล้วนี่ รู้จักใช้น้องสาวเป็นตัวกลางมาพยายามตีสนิท แต่ว่าอาซื่อไม่สนใจคนจำพวกที่ชอบฉอเลาะหรอก
“หยุด!”
คนที่กําลังขับรถม้าอยู่คือเหล่าฉิน เมื่อได้ยินคำสั่งจากเจียงซื่อก็รีบดึงบังเหียนและหยุดรถม้าทันที
อาหมานเปิดม่านประตูขึ้น แล้วประคองเจียงซื่อลงจากรถ
“พี่ชายรอง พวกท่านรอสักครู่ มาร่ำลาแต่ไม่ยอมออกไปลานั้นเสียมารยาท คนเขารอกล่าวคำร่ำลากับข้า ข้าจะไปคุยกับแม่นางหลี่สักประเดี๋ยว”
แน่นอนว่าเจียงจั้นย่อมไม่ห้ามปรามอยู่แล้ว เพียงแต่กําชับอาหมานว่า “ประคองคุณหนูเจ้าให้ดี ระวังลื่นล้มล่ะ”
อวี้จิ่นขยี้จมูกด้วยใบหน้าทมึงถึง
ขณะที่เจียงซื่อเดินเข้าไปนั้น แม่นางหลี่ก็หิ้วชายกระโปรงมาทักทาย นางเอ่ยขึ้นก่อนว่า “แม่นางเจี่ยง พวกเราไปคุยกันตรงนั้นเถิด”
เจียงซื่อพิจารณาแม่นางหลี่อย่างละเอียด
นางยังคงดูซีดเซียว ใต้ตาเขียวคล้ำ ริมฝีปากซีดราวกับคนที่เพิ่งหายจากโรคร้าย ทว่าแววตากลับมีบางอย่างซุกซ่อนอยู่โดยที่มองเจตนาไม่ออก
เจียงซื่อนึกสงสัยอยู่ครามครัน
จากท่าทางของแม่นางหลี่ในวัดหลิงอู้ที่เหมือนจะหลบหน้านางแต่หลบไม่ทัน การที่นางมารออยู่ที่นี่นั้นมีจุดประสงค์อะไรกันนะ
ทั้งสองเดินไปตามถนนด้วยความคิดที่แตกต่างกัน ค่อยๆ เดินห่างออกไปจากเจียงจั้นและคนอื่นๆ โดยมีอาหมานเดินตามไปอย่างไม่ใกล้ไม่ไกลนัก
แม่นางหลี่หยุดอยู่ข้างต้นหลิวต้นหนึ่ง ปรายตามองอาหมานแวบหนึ่ง
“อาหมานคือคนสนิทของข้า แม่นางหลี่เชิญพูดได้เลย”
เมื่อเห็นแม่นางหลี่ยังลังเลอยู่ เจียงซื่อจึงเอ่ยเตือนว่า “เราทั้งสองกล่าวลากัน หากแยกสาวรับใช้ออกไป เกรงว่าผู้อื่นสงสัยเอาได้”
เพียงประโยคเดียวก็ทำลายความคิดของอีกฝ่ายที่คิดจะแยกอาหมานออกไป แม่นางหลี่เอ่ยขึ้นอย่างลังเล “เมื่อครู่ข้าเพิ่งคิดเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับแม่นางฉือได้”
“เรื่องอะไรหรือ” เจียงซื่อไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา แต่ในใจกลับอดตื่นเต้นไม่ได้
เรื่องที่เกี่ยวกับแม่นางฉือยิ่งละเอียดเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
แม้ว่าความรู้สึกของนางจะคิดว่าแม่นางฉือเป็นผู้ที่รับเคราะห์คนล่าสุด แต่ถ้าเกิดความผิดพลาดขึ้นล่ะ
วันที่ใต้เท้าเจินอยู่ที่โรงพักม้าก่อนจะเข้าเมืองหลวงคือวันที่สิบเก้าเดือนห้า มีเวลาเหลือให้นางไม่มากแล้ว
“ข้าอยากถามแม่นางเจี่ยงสักเรื่อง”
“เชิญแม่นางหลี่ว่ามาเถิด”
แม่นางหลี่ขยับริมฝีปากขมุบขมิบ กำมือแน่นแล้วคลายออก เห็นได้ชัดว่านางรู้สึกประหม่าอยู่บ้าง
เจียงซื่อรออย่างอดทน
“เกิดเรื่องขึ้นกับแม่นางฉือใช่หรือไม่” ในที่สุดแม่นางหลี่ก็รวบรวมความกล้า ถามคําถามที่ที่คิดวกวนอยู่ในใจออกมา
เจียงซื่อเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้าน้อยๆ
ใบหน้าของแม่นางหลี่ซีดเผือดยิ่งกว่าเดิม “นาง…”
อยากจะถามว่านางเป็นอย่างไรบ้าง แต่ก็พูดไม่ออกจริงๆ
หลังจากการตายของคนรัก หญิงสาวคนนี้กลายเป็นคนที่อ่อนไหวและหวาดกลัวต่อ ‘ความตาย’ ยิ่งกลัวว่าความโชคร้ายนี้จะเป็นชะตาชีวิตคนที่นางรู้จัก แม้ว่าคนผู้นั้นจะเป็นคนที่พบกันโดยบังเอิญก็ตาม
“ข้ามาเพื่อช่วยนาง” ท้ายที่สุดเจียงซื่อจำต้องพูดประโยคนี้ เชื่อหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับอีกฝ่ายแล้ว
แม่นางหลี่นิ่งเงียบไปนานหลายอึดใจ
“แม่นางหลี่อยากพูดอะไรหรือ” เจียงซื่อทำลายความเงียบขึ้นอีกครั้ง
แม่นางหลี่จ้องมองเจียงซื่ออย่างไม่ละสายตา พูดอย่างไตร่ตรองว่า “บางทีข้าอาจจะจำผิดไป อย่างไรเสียข้ากับแม่นางฉือก็รู้จักกันไม่นาน ข้ามักจะรู้สึกว่านาง…นางกับเจ้าคล้ายกันอยู่หลายส่วน…”
“อะไรนะ” หัวใจของเจียงซื่อจมดิ่งลง นางอดนึกถึงศพของหญิงสาวไม่ได้
ตอนนั้นดึกมากแล้ว นางยุ่งอยู่กับการหาเบาะแส ไม่ได้มองใบหน้าอันอ่อนเยาว์นั้นมากนัก
สภาพที่น่าสังเวชเช่นนั้น ใครจะทนดูได้เล่า?
พวกนางคล้ายคลึงกันหรือ? เจียงซื่อเกิดคําถามขึ้นในใจ
“ไม่ใช่ว่าหน้าตาเหมือนกันมาก จะว่าอย่างไรดีล่ะ…เพียงแค่มีหน้าตาละม้ายกัน เอาเช่นนี้แล้วกัน ข้าจะเขียนภาพเหมือนของแม่นางฉือให้เจ้าดู”
เจียงซื่อดีใจ “แม่นางหลี่เขียนภาพเหมือนของแม่นางฉือได้หรือ”
ในค่ำคืนที่เต็มไปด้วยกลิ่นไอการฆาตกรรม แม้นางจะดูไม่ออกว่าศพหญิงสาวมีความคล้ายคลึงกับนางหรือไม่ แต่ก็ยังพอจะจำลักษณะศพของหญิงสาวได้ ถ้าหากว่าแม่นางหลี่เขียนภาพเหมือนของแม่นางฉือออกมาได้จริงๆ นางก็สามารถยืนยันได้ว่าเป็นคนคนเดียวกันหรือไม่
แม่นางหลี่ตอบอย่างภูมิใจ “ที่บ้านเชิญอาจารย์มาสอนข้าตั้งแต่ยังเด็ก อย่างอื่นก็เรียนได้ไม่ดีนัก แต่การเขียนภาพก็นับได้ว่ามีฝีมือพอตัว เพียงแต่ตอนนี้ไม่มีกระดาษกับพู่กัน…”
“ข้ามีอยู่ในรถม้า”
เจียงซื่อจึงเชิญแม่นางหลี่ขึ้นไปยังรถม้า
“น้องสี่…”
เจียงซื่อยื่นศีรษะออกมาจากตัวเก๋งรถม้า แล้วออดอ้อนเสียงหวาน “พี่ชายรอง ข้ากับแม่นางหลี่ถึงจะเพิ่งพบกันแต่ก็รู้สึกคุ้นเคยเหมือนเป็นสหายกันมานาน ให้พวกเราได้พูดคุยกันนะเจ้าคะ ถ้าท่านรอจนเบื่อแล้วก็ไปดื่มชากับคุณชายอวี๋ก่อนก็ได้เจ้าค่ะ”
“ไม่เบื่อหรอก พวกเจ้าคุยกันเถอะ อยากคุยกันนานเท่าไหร่ก็ได้” เมื่อถูกน้องสาวออดอ้อนเช่นนี้ เจียงจั้นก็ฉีกยิ้มจนเห็นฟันขาว จากนั้นลากอวี้จิ่นออกไป
อวี้จิ่นถลึงตาใส่เจียงจั้นอย่างไม่สบอารมณ์ต่อความไม่เอาถ่านของเขา
คนคนนี้เอาแน่เอานอนอะไรได้ไหม
แม้เจียงจั้นจะไม่เข้าใจความคิดที่แท้จริงของอวี้จิ่น แต่ก็ดูออกว่าเขาไม่พอใจ หัวเราะหึๆ “น้องสี่ก็เอ่ยปากแล้ว เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ไยไม่ทำตามใจนางเล่า โอะ พี่อวี๋ชี ท่านไม่มีน้องสาวนี่นา ไม่เข้าใจหรอก”
อวี้จิ่นกลอกตามองบน
เขาไม่มีน้องสาวงั้นหรือ ถ้าข้าไล่เรียงชื่อพี่สาวน้องสาวพวกนั้นออกมาหมด เจ้าคงจะตกใจแน่
เพราะมีน้องสาว เขาจึงเข้าใจความคิดของเจียงจั้นได้ยาก
เป็นพี่ชายแท้ๆ แต่กลับไม่มีความน่าเกรงขามเลย เวลาแบบนี้ก็ควรจะตีหน้าเคร่งแล้วพาน้องสาวออกไปสิ
ขณะที่ในรถม้า เจียงซื่อก็ได้เตรียมกระดาษพู่กันและน้ำหมึกไว้เรียบร้อยแล้ว
แม่นางหลี่มีความรู้เรื่องเรื่องการเขียนภาพมากจริงๆ ไม่นานก็เขียนเค้าโครงรูปพรรณสัณฐานของเด็กสาวออกมาได้
เจียงซื่อกัดริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว
เมื่อเห็นภาพเขียนภาพนี้นางก็สามารถยืนยันได้ว่าคนที่อยู่ในภาพคือศพหญิงสาวในสวนดอกไม้คนนั้น!
ซึ่งในภาพนี้แตกต่างจากศพของหญิงสาวที่เบิกตากว้างอย่างสิ้นหวัง ดวงตาคู่นั้นของหญิงสาวในภาพงดงามราวกับเทพธิดา
ไอเย็นลอยขึ้นมาจากก้นบึ้งของเจียงซื่อ มาพร้อมกับความโกรธอย่างท่วมท้น
นางจะทำให้ฉังซิงโหวซื่อจื่อได้รับผลกรรมอย่างสาสม
เจียงซื่อเก็บภาพเขียนไว้กับตัวเอง แล้วไปส่งแม่นางหลี่
เมื่อมาถึงถนนเส้นหลัก รถม้าก็แล่นได้สะดวกกว่าเดิม พอเห็นว่าใกล้จะถึงทางแยกแล้ว เจียงจั้นเอียงคอพูดกับอวี้จิ่นที่ขี่ม้าอยู่ข้างๆ ว่า “คุณชายอวี๋ อุตส่าห์ได้ออกนอกบ้านทั้งที ข้ายังต้องพาน้องสี่ไปเที่ยวเล่นที่อื่น ท่านจะกลับเมืองหลวงเลยหรือไม่”
เด็กหนุ่มยิ้มอย่างไร้เดียงสาภายใต้แสงอาทิตย์อันสุกใส “กลับเมืองหลวงก็ไม่มีธุระอันใด ข้าอยากเที่ยวกับน้องเจียงเอ้อร์เสียก่อน”