ตอนที่ 118 จวนสกุลฉือ
อวี้จิ่นยิ้มพลางผลักประตูเดินจากไป เจียงซื่อนั่งลงบนเตียงแล้วนวดคลึงใบหน้า
ขายหน้า!
คนบ้า จะคีบกับข้าวให้นางคีบไปสิ มาขยิบตาทำไม ทำให้นางคิดมาก
เมื่อถึงกลางดึก เจียงซื่อจัดการทุกอย่างจนเรียบร้อยแล้ว เงยหน้าถามอาหมานว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”
“เหมือนกว่าตอนที่อยู่ในรถม้าเสียอีกเจ้าค่ะ” อาหมานหยิบหมวกเหวยเม่าขึ้นมาถามอย่างตื่นเต้นว่า “คุณหนู พวกเราจะออกเดินทางเมื่อไหร่เจ้าคะ”
เจียงซื่อมองกาต้มน้ำแวบหนึ่งแล้วคว้าหมวกเหวยเม่า กล่าวว่า “เจ้าอยู่ที่นี่เถอะ สองคนก็เพียงพอแล้ว”
อาหมานรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจ
ถูกทิ้งแล้วจริงๆ ด้วย!
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ อาหมานยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน
“ไปเปิดประตูเถอะ”
สาวรับใช้เดินไปเปิดประตูด้วยความโมโห นางถลึงตาใส่คนนอกประตูอย่างแรง แล้วหันหลังเดินจากไป
เจียงซื่อถือหมวกเหวยเม่าเดินออกมา
อวี้จิ่นชี้ไปที่หมวกเหวยเม่า “ทั้งเกะกะทั้งสะดุดตา ไม่เอาไปดีกว่ากระมัง”
เจียงซื่อส่ายหน้า “หากไม่เอาไปด้วย ไม่แน่ว่าอาจจะมีคนมาจับตัวข้าไปแลกเงินก็เป็นได้”
อวี้จิ่นแสดงท่าทีงุนงงที่ไม่ค่อยมีให้เห็นบ่อยนักออกมา
เจียงซื่อยกมือขึ้นเลิกผ้าคลุมขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าที่ทั้งคุ้นตาและไม่คุ้นเคย
อวี้จิ่นขมวดคิ้ว “ทำไมทำให้ขี้เหร่เสียล่ะ”
มุมปากของเจียงซื่อกระตุก “แบบนี้คล้ายกับคุณหนูฉือเจ็ดแปดส่วน”
อวี้จิ่นลูบจมูก เอื้อมมือขึ้นมาดึงผ้าคลุมลงให้เจียงซื่อ “ไปกันเถอะ”
สายลมพัดโชยในคืนเดือนมืด อวี้จิ่นคุ้นเคยกับถนนเป็นอย่างดี เขาพาเจียงซื่อตรงไปยังจวนสกุลฉือ
ในเมืองเล็กๆ เช่นนี้ยิ่งส่งผลให้จวนสกุลฉือดูโอ่อ่าสง่างามมาก กําแพงสีเทารับกับกระเบื้องสีเขียว บนโคมสีแดงที่มีตัวอักษรคำว่า ‘ฉือ’ แกว่งไปมาตามสายลม
จวนเช่นนี้เข้าไม่ได้ง่ายๆ เหมือนบ้านของเต้าหู้ไซซีคนนั้น
เจียงซื่อเหลือบมองอวี้จิ่นแวบหนึ่ง
“อย่าเพิ่งใจร้อน ตามข้ามา”
อวี้จิ่นพาเจียงซื่อเดินอ้อมไปด้านหลังกําแพง ที่นั่นเป็นตรอกเล็กๆ ที่ไม่มีคนอยู่ เพราะไม่มีแสงจันทร์จึงดูวังเวงเยือกเย็น
อวี้จิ่นถอยหลังไปสองสามก้าว เร่งความเร็วแล้วกระโดดขึ้นไปบนกําแพง จากนั้นก็ก้มลงยื่นมือให้นาง
เจียงซื่อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่งมือออกไป
มือใหญ่ที่แห้งและอบอุ่นจับนางไว้มั่น ออกแรงเล็กน้อย พอรู้ตัวอีกทีก็ขึ้นมาอยู่บนกำแพงแล้ว
นางยังไม่ทันได้ยืนอย่างมั่นคงอวี้จิ่นก็โอบเอวนางไว้ เพราะอยู่ใกล้กัน จึงเหมือนมีเสียงเคาะในใจ “อย่าส่งเสียง ข้าจะพาเจ้าลงไป”
ขณะที่กระโดดลงจากกําแพงสูง เจียงซื่อกลับไม่รู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาเลย มีเพียงลมหายใจที่คุ้นเคยของอีกฝ่ายที่วนเวียนอยู่ในจมูก
มันเป็นกลิ่นที่นางคุ้นเคยและตกหลุมรักในอดีต
เจียงซื่อใจเต้นไม่เป็นส่ำ ในใจรู้สึกงุนงง
นางสามารถเอากอเอี๊ยะหนังสุนัขนี้ออกไปจากชีวิตได้จริงหรือ
“เจ้ากําลังคิดอะไรอยู่” อวี้จิ่นกระซิบถามเสียงเบา
เจียงซื่อตื่นจากภวังค์ “ไม่มีอะไร สืบได้ไหมว่านายท่านฉือพักอยู่ที่ไหน”
“พักอยู่ที่ห้องหนังสือในเรือนหน้า” อวี้จิ่นจูงเจียงซื่อเดินไปยังห้องหนังสือ ทันใดนั้นเสียงเห่าของสุนัขก็ดังขึ้น ตามมามาด้วยเสียงด่าทอ
“มารดามันเถอะ ตั้งแต่นายท่านบอกว่าถ้าหาคุณหนูเจอจะให้สินน้ำใจอย่างงาม คนที่มาที่บ้านถ้าไม่ใช่คนโกหกก็เป็นพวกขโมย ไม่เคยได้หลับสนิทเลยสักคืน!”
“พอได้แล้ว หยุดบ่นได้แล้ว ไล่ขโมยออกไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
เจียงซื่อมองไปที่อวี้จิ่น
ถูกพบเข้าแล้วหรือ
อวี้จิ่นส่ายหน้า ส่งสัญญาณว่าอย่าตื่นตระหนก
ทั้งสองซ่อนตัวอยู่ด้านหลังกอไม้ ไม่นานก็เห็นบ่าวหลายคนวิ่งตามสุนัขร้ายไปในทิศทางเดียวกัน
ในตอนนั้นเอง สุนัขที่วิ่งอยู่ท้ายสุดก็เลี้ยวมายังที่ที่เจียงซื่อและอวี้จิ่นซ่อนตัวอยู่
ยังไม่ทันที่เจียงซื่อจะขยับตัว ปลายนิ้วอวี้จิ่นก็ดีดเบาๆ ไม่รู้ว่าถูกเขาบีบก้อนหินในมือลอยออกไปตั้งแต่เมื่อไร กระเด็นเข้าไปที่ดวงตาของสุนัขร้าย
สุนัขร้ายส่ายไปมาและล้มลง
บ่าวเหล่านั้นกําลังยุ่งอยู่กับการจับโจร จึงไม่ได้สังเกตเห็นที่นี่
“ไปกันเถอะ” อวี้จิ่นกําข้อมือเจียงซื่อเจียงแน่น ดึงนางอ้อมไปอยู่ริมหน้าต่างห้องหนังสือ
หน้าต่างเปิดอยู่ ภายในห้องไม่มีการจุดตะเกียง เงาสีดำมืดทำให้มองไม่เห็นเห็นสถานการณ์ข้างใน
อวี้จิ่นกระโดดเข้าไปเงียบๆ ก่อนแล้วค่อยรับเจียงซื่อเข้ามา รอจนดวงตาปรับตัวเข้ากับความมืดก็เห็นเตียงนอนเตี้ยๆ อยู่ตรงกําแพงด้านขวา บนนั้นมีคนนอนอยู่คนหนึ่ง
คนผู้นั้นนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนราวกับหลับสนิท
อวี้จิ่นเงี่ยหูฟัง สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ดึงเจียงซื่อหลบอยู่หลังชั้นวางหนังสือ
ชั้นวางหนังสือสูงมาก และช่องตารางที่จัดวางอย่างเป็นระเบียบก็เต็มไปด้วยหนังสือ ดูแล้วดูสง่างามกว่าห้องหนังสือของบัณฑิตที่เรียนมามากมาย
กล่าวกันว่านี่เป็นประเพณีของพ่อค้าหลายๆ คน ถึงแม้จะไม่ได้เรียนหนังสือ แต่กลับต้องมีห้องหนังสือขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยตัวอักษรและภาพวาด
เจียงซื่อสับสนกับการกระทำอย่างฉับพลันของอวี้จิ่น จึงถอดหมวกเหวยเม่าออกแล้วถามอย่างไม่มีเสียงว่า “เกิดอะไรขึ้น”
อวี้จิ่นจับมือเจียงซื่อขึ้นมา เขียนบนฝ่ามือของนางว่า ‘ยังไม่นอน’
เจียงซื่อมองผ่านช่องว่างระหว่างหนังสือเข้าไปด้านใน
ไม่นานคนบนเตียงก็พลิกตัวและลุกขึ้นนั่ง
เพราะปรับตัวเข้ากับแสงได้แล้ว เจียงซื่อจึงมองเห็นรูปร่างหน้าตาของคนผู้นั้นได้อย่างชัดเจน
ชายวัยกลางคนอายุราวๆ สี่สิบปี ท่าทางดูมีวาสนา เค้าเดิมของหน้าตาดูใจดี ทว่าตอนนี้หดหู่เต็มไปด้วยความผิดหวัง เห็นได้ชัดว่ากําลังทุกข์ทรมานอยู่
ชายวัยกลางคนเดินสวมรองเท้าไปที่โต๊ะหนังสือโดยไม่ถือตะเกียง เขานั่งลงอย่างแห้งเหี่ยว หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ถอนหายใจยาวๆ “เจียวเจียว เจ้าอยู่ไหน พ่อเป็นห่วงเจ้ามาก…”
บางทีอาจเป็นเพราะไม่มีใครอยู่กลางดึก ชายที่เก็บความทรมานจากการหายตัวไปของลูกสาวสุดที่รักมานาน เริ่มหลั่งน้ำตา
ในห้องหนังสืออันเงียบสงัดและมืดมิดมีเสียงสะอื้นดังขึ้น
เจียงซื่อสบตากับอวี้จิ่น
อวี้จิ่นเขียนใส่ฝ่ามือของนางอย่างเร็วว่า ‘ลงมือเลย?’
เจียงซื่อไม่ตอบ มือที่ห้อยอยู่ข้างลําตัวค่อยๆ กางออก แสงจางๆ ลอยลงสู่พื้นไปยังนายท่านฉือ
จากนั้นนางก็พยักหน้าเบา ๆ
‘เดี๋ยวก่อน’ อวี้จิ่นเขียนคําสองคําบนฝ่ามือของนางอย่างรวดเร็ว แล้วค่อยๆ เดินลงไปยังขอบหน้าต่าง
บนขอบหน้าต่างมีเชิงเทียนวางอยู่ รากเทียนที่ไหม้อยู่เพียงครึ่งเดียวเต็มไปด้วยน้ำตาเทียน
นายท่านฉือนั่งหันหลังให้ขอบหน้าต่าง งุนงงไปกับหิ่งห้อยมายาจนมองไม่ออกถึงสิ่งผิดปกติไปชั่วคราว
ทันใดนั้นภายในห้องก็สว่างขึ้น
นายท่านฉือที่กําลังจมอยู่ในความเศร้าโศก ความรู้สึกชาไปชั่วขณะ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงมีปฏิกิริยากลับมา หมุนตัวกลับทันที
ด้านหลังว่างเปล่า มีเพียงเทียนในเชิงเทียนที่ไหววูบผ่านเปลวไฟ
แสงเทียนอ่อนลงเล็กน้อย แต่กลับทำให้สีหน้าประหลาดใจของนายท่านฉือเด่นชัดขึ้น
ประตูเปิดออกเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด ยิ่งอยู่ภายใต้ในค่ำคืนที่เงียบสงัดยิ่งได้ยินเสียงชัดเจนมาก เมื่อเสียงเข้าไปในหูของนายท่านฉือก็รู้สึกแสบแก้วหู
“ใครอยู่ข้างนอก” นายท่านฉือก้าวเท้ายาวๆ ไปที่ประตู มองออกไปด้านนอก
ข้างนอกว่างเปล่า ใบกล้วยแกว่งไปมาเบาๆ ภายใต้สายลมกลางคืน
ไกลออกไปมีแสงไฟที่ไหววูบไม่หยุด นายท่านฉือรู้ว่าบ่าวรับใช้ในจวนถือโคมเพื่อไล่จับโจร
เขาอยู่ที่นี่จะปลอดภัย มีบ่าวรับใช้และสุนัขเฝ้าบ้านหลายตัวที่ลาดตระเวนตอนกลางคืน พวกขโมยที่เสี่ยงอันตรายเพื่อเงินหนึ่งร้อยตำลึง ในที่สุดแล้วก็ไม่มีใครขโมยไปได้หรอก
“เป็นอย่างไรบ้าง” อวี้จิ่นที่หลังจากจุดตะเกียงแล้วก็ออกจากประตูแล้วรีบเข้ามาทางหน้าต่างเพื่ออวดความดีความชอบกับเจียงซื่อ
เจียงซื่อเม้มปาก แม้จะอยากพูดชมเขาเพราะไม่อาจขัดต่อมโนธรรมในใจ แต่ก็เกรงว่าชายตรงหน้าจะได้ใจลอยขึ้นสวรรค์ไปก่อน จึงรีบเขียนลงบนฝ่ามือเขา ‘พอใช้ได้’
นายท่านฉือที่ไม่พบอะไรหมุนตัวกลับเข้าห้อง แต่จู่ๆ ก็พลันชะงักไป
โต๊ะที่เขาเพิ่งนั่ง อยู่ๆ มีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งหันหลังให้ ภายใต้แสงเทียนสะท้อนร่างบางของนางออกมา