ตอนที่ 146 สามวันต่อมา
เจียงซื่ออึ้งไปในทันใด
นี่มันเรื่องอะไรกัน ช่วงนี้ในชาติก่อนอวี้ชีไม่ได้ถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นอ๋องนี่หน่า
จำได้ว่าเมื่อชาติที่แล้วเขาร่วมมือกับเผ่าอูเหมียวเพื่อเอาชนะหนานหลาน จุดประสงค์ในการขึ้นเป็นอ๋องก็เพื่อจะได้ลงไปอยู่ทางใต้ แต่เหตุใดถึงได้ขึ้นเป็นอ๋องเอาตอนนี้
หากพูดตามความจริงแล้ว นางแค่เพียงเปลี่ยนบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับตัวเองเท่านั้น ฉะนั้นจึงไม่น่าส่งผลใดๆ ต่ออวี้ชี
เช่นนั้น ที่เรื่องราวเปลี่ยนแปลงไปเป็นเพราะเหตุใดกัน
ข่าวลือนั้นฉุดให้สมองของเจียงซื่อเข้าสู่ห้วงแห่งความสับสน นางจึงมีอาการเหม่อลอยไปชั่วขณะ
“ไม่คาดคิดใช่ไหมล่ะ” เจียงอันเฉิงแย้มยิ้มหวานพลางเอ่ยโดยไม่ทราบเลยว่าในหัวของลูกสาวกำลังถูกคลื่นพลังมหาศาลบางอย่างถาโถมเข้าใส่
เจียงซื่อที่เพิ่งได้สติยิ้มเจื่อน “ไม่คาดคิดเจ้าค่ะ…”
วันนี้มีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นกับองค์ชายเจ็ด ตระกูลที่เป็นที่นับหน้าถือตาในเมืองหลวงส่วนมากก็จะทราบข่าวนี้ เพราะแม้แต่ในห้องส่วนตัวของลูกสาวพวกเขายังนำเรื่องนี้ไปพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
“ลูกได้ยินมาว่าที่ผ่านมาองค์ชายเจ็ดไปอยู่ที่ทางใต้ ไฉนจู่ๆ ถึงได้ขึ้นเป็นอ๋องเจ้าคะ”
“เมื่อสองสามวันก่อนองค์ชายเจ็ดเสด็จกลับมาที่เมืองหลวง แต่ที่ผ่านมาก็มิเคยทำตัวเป็นจุดสนใจ การได้ขึ้นเป็นอ๋องจึงเป็นเรื่องเกินความคาดหมายมากทีเดียว”
“ท่านพ่อพอจะทราบสาเหตุหรือไม่เจ้าคะ” เจียงซื่ออาศัยจังหวะนี้ถามขึ้น
“ได้ยินมาว่าเหล่าองค์ชายมีเรื่องทะเลาะวิวาทกัน…” เจียงอันเฉิงเล่าเรื่องที่ได้ยินมาให้เจียงซื่อฟัง และสุดท้ายก็ถอนหายใจออกมาพลางเอ่ย “ฮ่องเต้ทรงเป็นประมุขผู้เปี่ยมไปด้วยเมตตา แม้แต่โอรสที่มิได้เห็นหน้ามาสิบกว่าปีก็ไม่ทรงลืม”
เจียงซื่อสับสนเล็กน้อย
สองวันมานี้นางนอนไม่ค่อยหลับ สาเหตุเป็นเพราะอะไรกัน
“ซื่อเอ๋อร์ เจ้าถามเรื่องนี้ทำไมกัน” เจียงอันเฉิงที่เพิ่งนึกขึ้นได้เอ่ยถาม
“เอ่อ ก็เพราะช่วงนี้เรื่องดังๆ ในเมืองหลวงมีไม่มาก ลูกกำลังคิดว่าหรือเรื่องคดีการตายของ ‘หยางกั๋วจิ้ว’ จะซาไปแล้วเจ้าคะ”
“เป็นเพียงเด็กสาวจะมาสนใจเรื่องพวกนี้ทำไมกัน หากมีเรื่องน่ากลัวจนทำให้เจ้าขวัญเสียจะทำอย่างไร” เจียงอันเฉิงเอ่ยด้วยสีหน้าห้ามปราม
แค่เขานึกถึงเรื่องสวนดอกไม้ในจวนฉังซิงโหวที่มีการขุดพบซากกระดูกจำนวนมาก และนึกภาพลูกสาวของตัวเองไปยืนดูอยู่ข้างๆ ก็ทำให้เขาเป็นกังวลจนนอนไม่หลับแล้ว สุดท้ายขาหมูตุ๋นที่ตั้งใจซื้อปลอบขวัญเมื่อคราวก่อนก็ยังถูกเขากินเสียจนเกลี้ยง
“ท่านพ่อพูดถูกเจ้าค่ะ” เจียงซื่อแย้มยิ้มหวาน
สิ่งที่ท่านพ่อพูดมาก็ถูกทั้งหมด
“จริงสิ มีบางอย่างที่พ่ออยากจะบอกกับเจ้า แต่เพราะช่วงนี้ยุ่งเหลือเกินจึงหาโอกาสบอกไม่ได้เสียที”
“ท่านพ่อโปรดชี้นำด้วยเจ้าค่ะ”
เจียงอันเฉิงเผยสีหน้าพอใจ
ดูสิ ลูกสาวออกจะเชื่อฟังปานนี้ พูดอะไรก็ฟัง ดู๊ดูไอเจียงจั้นลูกเวร เอาแต่สร้างเรื่องให้โมโหไม่เว้นวัน!
เจียงจั้นที่กำลังโดดเรียนมาต่อแถวซื้อก๋วยเตี๋ยวเหลียงผีที่ร้านอาซ้อหวังอู่ฝั่งถนนตะวันออกไปฝากน้องสาวจามออกมาหลายครั้ง จึงปรารภกับตัวเองว่า “ท่านพ่อคงกำลังบ่นข้าอยู่แน่ เห็นทีวันนี้ต้องพยายามหลบหน้าหน่อย”
ภายในห้องตำรามีแสงวาบสว่างไสว เจียงอันเฉิงทำมือเป็นเชิงบอกให้เจียงซื่อนั่งลง และถามขึ้นว่า “เรื่องพี่สาวคนรอง เจ้ามีความเห็นอย่างไร”
“พี่รอง?” เจียงซื่อไม่คิดว่าเจียงอันเฉิงจะถามเรื่องเจียงเชี่ยน นางเอ่ยตอบแผ่วเบา “พี่รองเจอคนไม่ดี นางวาสนาไม่ดีเจ้าค่ะ”
แม้ว่านางอยากจะบอกออกไปว่า บางคนที่ดูน่าสงสารก็เนื่องด้วยการกระทำของตัวเอง แต่การจะพูดเช่นนั้นต่อหน้าผู้ใหญ่ย่อมไม่ใช่เรื่องดี
หากตอนนั้นเจียงเชี่ยนไม่ได้ช่วยส่งเสริมให้ฉังซิงโหวซื่อจื่อทำร้ายผู้อื่น เมื่อพี่น้องในจวนเดียวกันมีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นชาติที่แล้วหรือชาตินี้ นางคงจะเห็นใจมากเป็นแน่ นางคงเพียรพยายามหาทางช่วยเจียงเชี่ยนออกมาจากเงามืดนั้นให้จงได้
แต่มาตอนนี้ นางเพียงแต่รอโอกาสให้เจียงเชี่ยนได้รับบทลงโทษนั้นอย่างสาสม
นางไม่เชื่อว่าเจียงเชี่ยนจะได้สติรู้ตัวในเร็ววัน
เจียงอันเฉิงถอนหายใจยาว “ซื่อเอ๋อร์ แม้มนุษย์เรามิอาจกำหนดโชคชะตาชีวิตตัวเอง แต่หากมีเรื่องร้ายใดเกิดขึ้น อย่างน้อยก็ขอให้เลือกทางที่ถูกต้อง หากในอนาคตเจ้าเกิด…”
แม้เจียงอันเฉิงยังจินตนาการไม่ออกว่าจะมีใครหน้าไหนกล้ามาเป็นสามีของลูกสาวที่ทั้งสวยและเป็นเด็กดีคนนี้ แต่เรื่องนี้ก็จำเป็นต้องบอกไว้ก่อน เพราะถือว่าเป็นความรับผิดชอบของผู้เป็นบิดา “เจ้าเกิดพบเจอคนที่กล้าลงไม้ลงมือกับเจ้า เจ้าไม่ต้องสนใจว่าจะส่งผลกระทบกับใครในตระกูลของเรา เจ้าต้องรีบกลับมาหาพ่อทันที!”
“ท่านพ่อ…”
“เจ้ายังมีข้าและพี่ชายของเจ้า และยังมีบ่าวรับใช้ของเจ้าที่พร้อมจะรับมือกับทุกเรื่อง”
“ลูกจะจำไว้เจ้าค่ะ” เจียงซื่อหลุบตาก้มต่ำ ความซาบซึ้งแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจ
หากชาติที่แล้วนางไม่พยายามทำตัวเข้มแข็ง และแสดงท่าทีอ่อนแอออกมายามอยู่ต่อหน้าบิดาและพี่ชาย เรื่องทั้งหมดก็คงไม่เหมือนเดิมใช่หรือไม่
นางใช้ช่วงเวลาที่กลับมาเกิดใหม่นี้เรียนรู้ที่จะอ่อนแอยามที่ควรอ่อนแอ และเข้มแข็งในยามที่ควรเข้มแข็ง นางและคนใกล้ชิดที่นางห่วงใยก็คงจะมีจุดจบที่ดีใช่หรือไม่
“อีกไม่นานก็จะถึงวันเกิดท่านยายของเจ้า ถ้าถึงตอนนั้นเจ้าได้พบกับพี่สาวคนโตก็อย่าลืมถามไถ่ว่าช่วงนี้นางเป็นอย่างไร” ครั้นเจียงอันเฉิงเอ่ยถึงเจียงอีลูกสาวคนโตก็รู้สึกปวดใจขึ้นมา
ในตอนที่ลูกสาวคนโตเกิดเขายังเป็นวัยรุ่น จึงสนใจแต่แม่ของลูก มิได้ใส่ใจลูกสาวเท่าที่ควร หลังจากนั้นพอมีลูกชายที่พอไม่ถูกตีก็จะครั่นเนื้อครั่นตัวเกิดมาอีก โอกาสในการดูแลลูกสาวคนโตก็ยิ่งน้อยลงไป
และสุดท้าย เมื่อลูกสาวคนนี้เกิดมา ภรรยาของเขาก็เสียชีวิตลง…
ลูกสาวคนโตเป็นเด็กดีมาโดยตลอด ไม่เคยทำให้เขาต้องเป็นกังวลเลยสักครั้ง โชคดีที่มีลูกเขยที่ดีที่รักลูกสาวของเขาด้วยใจจริง เพียงแต่ธรรมเนียมตระกูลนั้นออกจะเคร่งครัดเสียหน่อย ทำให้ลูกสาวคนโตไม่ค่อยได้กลับมาที่บ้าน
สุดท้ายแล้วเจียงอันเฉิงก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง ปกติเขามองว่าเจียงอีและสามียังรักใคร่กลมเกลียวกันดี ไม่มีสิ่งใดต้องกังวล แต่ครั้นมีเรื่องของเจียงเชี่ยนก็ทำให้เขาพลอยใจเสียไปด้วย
หากแม่สามีรังแกอีเอ๋อร์ขึ้นมา นางจะอดทนแล้วไม่ปริปากบอกใครหรือเปล่านะ
“ท่านพ่อวางใจได้เจ้าค่ะ รอวันนั้นมาถึงลูกจะคุยกับพี่ใหญ่เองเจ้าค่ะ”
แม้ว่าธรรมเนียมของตระกูลจูจะเข้มงวดเพียงใด แต่เมื่อเป็นงานวันเกิดท่านยาย ทางนั้นก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะห้ามไม่ให้พี่สาวคนโตกลับมา ยิ่งไปกว่านั้นคือตระกูลฝั่งท่านยายก็คือจวนอี๋หนิงโหว มิใช่ตระกูลที่ไร้หัวนอนปลายเท้าที่ไหน
เจียงซื่อออกมาจากห้องหนังสือ ขณะที่กำลังจะออกจากจวนก็บังเอิญพบกับเจียงจั้น
“น้องสี่ เจ้าจะออกไปข้างนอกหรือ” เจียงจั้นหอบเล็กน้อย แก้มทั้งสองข้างขึ้นสีแดงระเรื่อ
เจียงซื่อเงยหน้ามองท้องฟ้า “ยามนี้พี่รองมิได้ต้องเรียนหนังสืออยู่หรือเจ้าคะ”
เจียงจั้นส่งกล่องเหลียงผีให้เจียงซื่อราวกับเป็นของล้ำค่า “น้องสี่ เจ้าจำร้านอาซ้อหวังอู่ที่ถนนฝั่งตะวันออกได้ไหม เหลียงผีร้านนั้นดังที่สุดเลยนะ แต่เพราะเมื่อหลายวันก่อนเขาไม่เปิดร้านใช่ไหม วันนี้เขากลับมาเปิดแล้ว เจ้าไม่รู้หรอกว่าข้าต้องไปต่อแถวนานแค่ไหนกว่าจะซื้อมาได้!”
“นี่พี่รองโดดเรียนเพื่อไปซื่อเหลียงผีหรือเจ้าคะ”
“ก็เจ้าชอบกินมิใช่รึ เหลียงผีร้านนี้กินแล้วสดชื่นสุดๆ เส้นที่หั่นเป็นชิ้นเท่าๆ กัน ราดด้วยน้ำจิ้มงา โรยด้วยกระเทียมสับ ซีอิ๊วเปรี้ยว แล้วก็ตามด้วยแตงกวากับพริกสดหั่นบางๆ ได้กินในวันอากาศร้อนๆ เช่นนี้สดชื่นเป็นที่สุด” เจียงจั้นยัดกล่องก๋วยเตี๋ยวเหลียงผีใส่มือเจียงซื่อ “น้องสี่กินเหลียงผีนี่ก่อนแล้วค่อยออกไปเที่ยวนะ ข้าต้องกลับไปเรียนแล้ว เพราะหากถูกท่านพ่อจับได้เดี๋ยวจะโดนฟาดเอา”
เจียงซื่อยังไม่ทันเอ่ยอะไร เจียงจั้นก็ยกมือขึ้นมาปัดกลีบดอกไม้ที่ร่วงลงมาติดอยู่บนปลายผมของเจียงซื่อออกอย่างรวดเร็ว และเจ้าตัวก็วิ่งกลับออกไปทันที
“พี่รองอย่าวิ่งเร็วนักสิ ใจร้อนจริงๆ” เจียงซื่อตะโกนไล่หลังได้เพียงประโยคเดียว เงาของเจียงจั้นก็หายวับไปในมุมถนน
“คุณหนู เหลียงผีนี่…” อาหมานแอบกลืนน้ำลายหนึ่งอึก
นางเคยกินเหลียงผีจากร้านอาซ้อหวังอู่แล้ว อร่อยเหาะ!
แงๆๆ อยากจะมีพี่ชายอย่างคุณชายรองสักคน
“ถือไปที่ตรอกเชวี่ยจื่อด้วยแล้วกัน”
ในเมื่อออกมาแล้วจะเอาเหลียงผีเข้าไปเก็บก็คงยุ่งยาก อีกทั้งเหลียงผีแค่กล่องเดียวก็ไม่ได้หนักอะไร
……
ณ ประตูฝ่ายข้าราชการพลเรือน หลงต้านและเหลิงอิ่งกำลังรออย่างใจจดใจจ่อ
“ออกมาแล้ว!” หลงต้านตาลุกวาว และรีบดึงแขนเสื้อของเหลิงอิ่ง
มีคนกลุ่มหนึ่งเดินออกมาจากฝ่ายข้าราชการพลเรือน ลักษณะของคนเหล่านี้แตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไป หนึ่งในนั้นมีชายคนหนึ่งอายุอยู่ระหว่างวัยรุ่นและวัยเด็ก ซึ่งเดินปลีกตัวห่างจากคนอื่นๆ และแน่นอนว่าคนๆ นั้นก็คืออวี้จิ่น