ตอนที่ 168 ขาดไปสองคน
เจียงซื่อแยกแยะประเด็นสำคัญเหล่านั้นอย่างรอบคอบ
การตายของฮูหยินของหย่งชังปั๋วที่น่าอนาถใจ สามีที่นอนอยู่ข้างๆ… กลิ่นหอมแปลกๆ ในตู้เสื้อผ้า… สาวใช้ที่กระโดดน้ำฆ่าตัวตาย… เรือนเล็กที่เผากระดาษเงินกระดาษทอง…
เรื่องทั้งหมดนี้ดูเหมือนจะสับสนปนเปกันไปหมด เมื่อไม่เจอเป้าหมายบนแนวความคิดที่มั่นใจว่าใช่แน่ ก็ทำให้คนรู้สึกสับสนขึ้นมาในทันที
ทว่าไม่นานเจียงซื่อก็มั่นใจในแนวความคิดนั้น
ไม่ว่าฆาตกรจะซ่อนตัวได้ดีสักเพียงใด กลิ่นหอมประหลาดๆ บนผมก็ไม่อาจขจัดออกไปได้ ในเมื่อนางไม่พบกลิ่นหอมแปลกๆ นั่นบนตัวของผู้คนที่อยู่ที่นี่ เช่นนั้นก็แน่ชัดแล้วว่าคนผู้นั้นก็ต้องไม่ได้อยู่ท่ามกลางผู้คนเหล่านี้อย่างแน่นอน
เจินซื่อเฉิงก็นึกถึงจุดนี้เช่นกัน
ในความคิดของเขา เพียงแค่มาที่นี่ จะต้องเจอเบาะแสอะไรบ้าง ไม่มีคดีฆาตรกรรมใดที่จะสมบูรณ์แบบ
หรือว่าคนผู้นั้นจะไม่ได้อยู่ท่ามกลางคนเหล่านี้
เจินซื่อเฉิงหยิบรายชื่อจากแขนเสื้อออกมาดูอีกครั้ง ในรายชื่อเขียนไว้ชัดเจนว่าคนที่อาศัยอยู่ท้ายเรือนมีทั้งหมดเจ็ดสิบสองคน
จวนปั๋วมีเจ้านายอยู่สี่คน และคนที่คอยดูแลอยู่บริเวณท้ายเรือนก็มีอยู่เป็นสิบเท่า ในตระกูลที่มั่งคั่งมีจำนวนคนที่มากมายถึงเพียงก็นี้ถือเป็นเรื่องที่ปกติ
เจินซื่อเฉิงเรียกลูกน้องมาหนึ่งคนและกระซิบบางอย่างที่ข้างหู
ลูกน้องคนนี้เชี่ยวชาญในการนับเลข หลังจากได้รับคำสั่งจากเจินซื่อเฉิงสายตาก็กวาดมองไปยังกลุ่มคนเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว หลังจากชั่วเวลาจิบชาหนึ่งถ้วยผ่านไป ก็มากระซิบที่ข้างหูเจินซื่อเฉิง “ใต้เท้า ถ้าไม่นับหย่งชังปั๋วและคนอื่นๆ ณ ที่แห่งนี้ ก็มีทั้งหมดเจ็ดสิบคนขอรับ”
เจินซื่อเฉิงหรี่ตาลง
ขาดไปสองคน!
เจียงซื่อเห็นว่าท่าทีของเจินซื่อเฉิงเปลี่ยนไป แม้ว่าจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็มั่นใจได้ต้องพบเจออะไรบางอย่างเป็นแน่ น่าเสียดายที่นางไม่ได้ยิน ทำได้แต่เพียงรอให้ใต้เท้าเจินบอกออกมาก็เท่านั้น
“พ่อบ้าน ข้าขอถามอะไรอีกสักหน่อย คนที่พักอยู่ท้ายเรือนอยู่ที่นี่หมดทุกคนแล้วใช่หรือไม่”
พ่อบ้านที่เห็นท่าทีที่เคร่งขรึมของเจินซื่อเฉิงก็รู้สึกประหม่าเล็กน้อย กล่าวด้วยท่าทางกระวนกระวายใจ “ล้วนอยู่ที่นี่ทั้งหมดแล้วอย่างไรเล่าขอรับ”
คนเหล่านี้พวกเขาตรวจสอบหลายคราแล้ว แม้แต่คนที่ลางานก็ล้วนถูกเรียกตัวให้กลับมา หรือว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้น
เจินซื่อเฉิงยื่นหน้าบัญชีรายชื่อให้ดูแล้วยิ้มเย้ยหยัน “ในบัญชีรายชื่อบันทึกไว้ว่ามีเจ็ดสิบสองคน แต่คนที่มามีเพียงเจ็ดสิบคน อีกสองคนหายไปไหนเสียเล่า”
พ่อบ้านที่ถูกถามชะงักงันไปทันที
เจินซื่อเฉิงไม่เปิดโอกาสให้พ่อบ้านครุ่นคิดสิ่งใด ตะคอกเสียงดัง “ขาดไปสองคนกลับไม่รายงาน หรือว่าเจ้ากำลังปกป้องฆาตรกรอยู่”
พ่อบ้านตกใจจนหน้าขาวซีด รีบโบกมือทันที “ใต้เท้า เข้าใจผิดแล้วขอรับ ต่อให้ข้าน้อยมีความกล้าบ้าบิ่นมากเพียงใดก็ไม่กล้าปกป้องฆาตรกรหรอก!”
“เช่นนั้นเจ้าก็พูดมา คนที่ขาดไปสองคนนี้คือผู้ใดกัน”
พ่อบ้านมองไปที่สาวใช้วัยกลางคนคนหนึ่งอย่างช่วยไม่ได้
สาวใช้คนนั้นมีหน้าที่รับผิดชอบดูแลลานบริเวณด้านหลัง ถือว่าเป็นผู้ที่ดูแลเรื่องภายใน เมื่อต้องมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เหงื่อก็ไหลลงมา รีบกล่าวทันที “ใต้เท้า พวกบ่าวที่อยู่บริเวณท้ายเรือนล้วนอยู่ที่นี่กันหมดแล้ว อีกสองคนนั้นอยู่ในครัว”
“อีกสองคนอยู่ในครัวเหรอ” พอเจินซื่อเฉิงได้ยินดังนั้นก็รู้สึกตงิดใจขึ้นมา ใบหน้าดูจริงจังเป็นอย่างมาก “ข้าได้เน้นย้ำไปแล้วว่าให้ทุกคนมารวมตัวกันที่นี่ เหตุใดถึงไม่บอกกล่าวว่าขาดไปสองคน”
แม่บ้านตกใจจนหน้าขาวซีด “ใต้เท้า บ่าวหาได้มีเจตนาจะปิดบังไม่ ด้วยเพราะต้องจัดเตรียมอาหารให้แก่พวกเจ้านาย จะไม่เหลือคนไว้ในครัวได้อย่างไรกัน ไหนจะต้องจัดเตรียมของเพื่อเซ่นไหว้ฮูหยินอีก…เดิมทีในครัวมีหกคน เหลือไว้เพียงสองคนถือว่าน้อยที่สุดแล้ว”
“เหลวไหล ยังไม่รีบเรียกตัวสองคนนั่นมาอีก!” หย่งชังปั๋วพอได้ยินแม่บ้านพูดถึงเรื่องฮูหยิน ก็โมโหเป็นฟืนเป็นไฟ
เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ยังจะมีใจไปคิดถึงเรื่องกินดื่มไร้สาระนั่นอีก
หย่งชังปั๋วกลับลืมไปว่าสำหรับบ่าวรับใช้เหล่านี้ การดูแลเรื่องอาหารการกินของผู้เป็นนายนั้นสำคัญที่สุด
พื้นเรือนสกปรกชั่วครู่ไม่มีผู้ใดปัดกวาดก็หาใช่เรื่องเร่งด่วนอะไร หากเจ้านายหิวแล้วนำอาหารมาให้ไม่ทันเวลา ก็อาจจะต้องถูกขับไล่ออกไป โดยเฉพาะในยามที่เจ้านายอารมณ์มิค่อยจะสู้ดีเช่นนี้
พวกพ่อบ้านแม่บ้านย่อมรู้ความดี เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์เช่นนี้ เหลือบ่าวสองคนที่ขยันและซื่อสัตย์ไว้ในครัวเพียงสองคน โดยไม่คิดว่าเรื่องนี้จะส่งผลกระทบอันใดต่อการสอบสวน
ไม่นานนัก สตรีสองนางก็ถูกนำตัวมาที่นี่
หนึ่งในนั้นเป็นหญิงวัยกลางคน สวมชุดสีดำ ผมที่หวีมาเป็นอย่างดี หอบผ้าสีเดียวกันมา ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย ส่วนอีกคนหนึ่งคือสาวใช้อายุน้อย บนตัวเต็มไปด้วยเขม่าควัน เป็นได้มากว่าจะเป็นผู้ที่ก่อไฟที่ใช้ทำอาหาร
ทั้งสองคนถูกนำตัวไปอยู่ต่อหน้าเจินซื่อเฉิง หญิงวัยกลางคนยกมือวางไว้บนขาทั้งสองข้างอย่างเงียบๆ ส่วนสาวใช้อีกคนตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด มือทั้งของนางกุมกันแน่น ดูเหมือนคนที่กำลังจะร้องไห้อยู่ตลอดเวลา
เจินซื่อเฉิงเพียงเหลืองมองไปที่สาวใช้คนนั้นเพียงเล็กน้อย แต่กลับพุ่งความสนใจไปที่หญิงรับใช้วัยกลางคนผู้นั้น
อายุของหญิงวัยกลางคนนั้นตรงกับรูปแบบของชุดเปื้อนเลือดที่ถูกผลัดเปลี่ยน
แม้จะบอกว่าฆาตรกรอาจกระทำในสิ่งตรงข้ามโดยการจงใจสวมใส่ชุดที่ไม่ตรงกับสถานะ ดูเหมือนจะรอบคอบ แต่ความจริงแล้วเป็นการกระทำที่ไม่ฉลาด
อย่างเช่นหญิงวัยกลางคนสวมชุดของหญิงสาวอายุราวๆ สิบกว่าปีเดินไปมาอยู่ในลาน หากถูกใครพบเห็นเข้าก็เท่ากับเป็นการบอกว่านางมีความผิดปกติ
การปกปิดที่ดีที่สุดก็คือเป็นตัวของตัวเอง
เจินซื่อเฉิงไม่กล่าวสิ่งใดมองดูหญิงวัยกลางคนอย่างพินิจพิเคราะห์
ในความเงียบที่ตึงเครียดเช่นนี้ เจียงซื่อเดินอ้อมไปทางด้านหลังอย่างไร้ร่องรอย
แม้ว่าหญิงวัยกลางคนจะสวมผ้าคลุมศีรษะ แต่เจียงซื่อไม่เพียงแต่เกิดมาพร้อมกับพรรสวรรค์การรับกลิ่นที่โดดเด่นเท่านั้น แต่ยังเคยได้เรียนทักษะแปลกๆ จากผู้อาวุโสเผ่าอูเหมียวมาอีกด้วย ยิ่งทำให้ทักษะทางด้านนี้แข็งแกร่งมากขึ้น ในขณะที่นางจดจ่ออยู่กับการกลั้นลมหายใจ ไม่นานก็ได้กลิ่นหอมแปลกๆ นั่น
ดวงตาของเจียงซื่อเป็นประกาย พยักหน้ากับเจินซื่อเฉิงเบาๆ
เจินซื่อเฉิงโล่งใจขึ้นมาในทันที
เมื่อระบุตัวฆาตรกรได้แล้ว การจะบีบเค้นให้นางสารภาพออกมาย่อมจะไม่ใช่เรื่องยาก
เจินซื่อเฉิงขยิบตาให้ลูกน้องเล็กน้อย และลูกน้องผู้นั้นก็เดินเข้ามาหาในทันที
“ให้คนนำทางเจ้าไปยังที่พักของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ไปตรวจสอบดูว่ามีสิ่งผิดปกติหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้ความสนใจกับวัตถุที่มีกลิ่นหอมและรองเท้าที่ถูกสับเปลี่ยน”
“ขอรับ” ลูกน้องตอบรับเสียงค่อย ถอยออกไปอย่างเงียบๆ
ในลานรายล้อมไปด้วยคนจำนวนมาก หลังจากที่คนจากทางศาลาว่าการจากไป ไม่ช้าก็ถูกคนกีดขวาง แต่ไม่ใครสนใจทางที่เขาจะไป
“พวกเจ้ากำลังทำสิ่งใดอยู่ในครัว” เจินซื่อเฉิงกล่าวถาม
“บ่าวทำของหวานเจ้าค่ะ” หญิงรับใช้วัยกลางคนเปิดปากพูด
“บ่าว บ่าวเป็นคนก่อไฟอยู่ในครัวเจ้าค่ะ” สาวใช้กล่าวเสียงสั่น
เจินซื่อเฉิงรับจากกระบอกใส่น้ำจากเจ้าหน้าที่จากศาลาว่าการมาดื่มไปอึกนึงจนชุ่มคอแล้วจึงกล่าวถาม “ทำไมถึงเป็นพวกเจ้าที่ต้องอยู่ที่นั่น”
ครั้งนี้สาวใช้เป็นคนตอบขึ้นมาก่อน “บ่าวต้องเป็นคนก่อไฟเจ้าค่ะ”
ในสายตาของสาวใช้ การเหลือคนเอาไว้ในครัวเพื่อก่อไฟถือเป็นเรื่องที่เหมาะสมถูกต้อง
สายตาของเจินซื่อเฉิงไปหยุดลงที่ใบหน้าของหญิงวัยกลางคน “แล้วเจ้าเล่า คนที่อยู่ในครัวมีหกคน ทำไมถึงเหลือคนที่มีหน้าที่ทำของหวานเอาไว้”
ของหวานเป็นเพียงของที่ทานเพิ่มเติมหลังจากที่ทานอาหารคาวแล้ว เหลือผู้ที่ทำของหวานเอาไว้ในครัวดูมิค่อยจะสมเหตุสมผลสักเท่าใดนัก
หญิงวัยกลางคนตอบ “พวกเจ้านายชอบของหวานที่บ่าวทำ คุณหนูใหญ่มักจะสั่งให้คนมาเอาขนมเกล็ดหิมะไป”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘ขนมเกล็ดหิมะ’ คำนี้สีหน้าของเจียงซื่อก็แปรเปลี่ยนไปในทันที
เมื่อวานนี้ นางมาเป็นแขกที่จวนหย่งชังปั๋ว เซี่ยชิงเหยาเชิญนางมาทาน ‘ขนมเกล็ดหิมะ’ โดยเฉพาะ และยกยอแม่ครัวเสียยกใหญ่
นึกถึงจุดนี้ เจียงซื่อเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้ จึงถามอีกคำถามหนึ่ง “เจ้าเป็นคนที่มาอยู่ใหม่ใช่หรือไม่”
ในฤดูใบไม้ผลิทางจวนหย่งชังปั๋วเป็นผู้ที่จัดงานชมดอกไม้ ขณะนั้นนางยังไม่ได้กลับชาติมาเกิด ก่อนหน้านี้ที่เคยร่วมงานนี้นางไม่เคยได้ลิ้มรสขนมเกล็ดหิมะที่อ่อนนุ่มและหอมหวานเลย
นางรู้จักสหายสนิทของนางดี ถ้ามีของอะไรดีๆ เซี่ยชิงเหยาก็ยินดีจะแบ่งปันให้คนอื่นด้วย หากแม่ครัวคนนี้อยู่ในเวลานั้นด้วย ไม่มีเหตุผลที่จะไม่นำขนมเกล็ดหิมะมามอบให้แขกได้ทานกันอย่างอิ่มหนำสำราญใจ
พ่อบ้านมองท่าทางของเจียงซื่อด้วยความประหลาดใจ “โต้วเหนียงเพิ่งจะเข้ามาในจวนนี้ได้สามเดือนขอรับ”