แม้ช่วงนี้จะอยู่ในช่วงกลางคิมหันตฤดู แต่สายลมที่พัดผ่านมาจากทะเลสาบกลับเย็นยะเยือก ครั้นผู้คนได้ฟังคำให้การจากปากซูชิงเสวี่ย พวกเขาก็สัมผัสได้ถึงความเย็นวาบที่แผ่ซ่านกัดกินก้นบึ้งหัวใจ
ซูชิงเสวี่ยคับแค้นใจเป็นที่สุด
ในตอนแรก ทุกอย่างดำเนินไปด้วยความราบรื่น เพราะตอนที่นางเข้าไป พี่รองของนางอยู่เพียงลำพัง นางจึงไม่ต้องเสียแรงโน้มน้าว พี่รองของนางก็ยอมตามไปที่ศาลาเฉาหยางอย่างว่าง่าย
ถัดมาครู่หนึ่ง บ่าวรับใช้ที่ท่านแม่ใหญ่ส่งไปก็พาตัวเจียงซื่อมา นางพูดเย้าแหย่ไม่กี่ประโยค พี่รองของนางก็ตามติดเจียงซื่อแจ เพียงแต่นางนึกไม่ถึงว่า สาวรับใช้ของเจียงซื่อจะสามารถคว่ำพี่รองผู้มีร่างกายบึกบึนของนางลงกับพื้นได้ นางยังไม่ทันได้ตามคนมาช่วย เจียงซื่อกลับหนีรอดไปเสียดื้อๆ สิ่งที่นางนึกไม่ถึงกว่านั้นคือ อี๋เหนียงจะไปที่นั่น นางไม่ทราบว่านางไปพูดอะไรกับพี่รอง พี่รองถึงได้ปรี่ออกไปที่ริมทะเลสาบ และก้มหน้าลงไปเช่นนั้น
ต่อมา นางเห็นว่าอี๋เหนียงออกแรงผลักพี่รองจนตกน้ำไป
เพียงแค่ซูชิงเสวี่ยหวนนึกถึงเหตุการณ์นั้น ชั่วอึดใจเดียวความกลัวก็แล่นขึ้นมาจุกอยู่ที่คอของนาง นางไม่คิดมาก่อนว่าอี๋เหนียงที่เสงี่ยมเจียมตัวในยามปกติจะกล้าทำเรื่องเช่นนั้น ในวินาทีนั้นนางเองก็กลัวแทบสิ้นลมไม่ต่างกัน หากท่านแม่ใหญ่ทราบว่าอี๋เหนียงเป็นคนทำร้ายพี่รองคงไม่มีทางปล่อยนางไปง่ายๆ!
ถึงนางอยากลงไปช่วย แต่นางว่ายน้ำไม่เป็น หรือต่อให้นางว่ายน้ำเป็นก็คงไม่มีแรงฉุดร่างพี่รองขึ้นมาได้ ทว่าในจังหวะนั้นอี๋เหนียงยืนดูเหตุการณ์อยู่ที่ริมทะเลสาบตั้งแต่ต้นจนจบ รอจนร่างของพี่รองเริ่มจมลงไป อี๋เหนียงถึงจะยอมเดินออกมาจากตรงนั้น สิ่งเดียวที่นางทำได้คือหนีออกมาจากฝันร้ายนั้นให้เร็วที่สุด แล้วแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หลังจากเจินซื่อเฉิงฟังคำให้การจากซูชิงเสวี่ยแล้วจึงถามขึ้นว่า “เหตุใดคุณหนูถึงไปอยู่กับคุณชายรองที่ศาลาเฉาหยางได้เล่า”
ซูชิงเสวี่ยเหลือบมองโหยวซื่อแวบหนึ่ง
โหยวซื่อได้ฟังซูชิงเสวี่ยเล่าว่าอี๋เหนียงฆ่าบุตรชายของตัวเองอย่างไร ใบหน้าแฉล้มของนางที่บิดเบี้ยวผิดรูปไปในตอนแรก บัดนี้กลับพลันเปลี่ยนเป็นนิ่งเรียบดังเดิม โหยวซื่อพยักหน้าให้ซูชิงเสวี่ยเล็กน้อยจนคนรอบข้างไม่ทันได้สังเกต และฝังความจงเกลียดจงชังสองแม่ลูกคู่นี้ไว้ในใจชั่วคราว
ถึงแม้นางไม่อยากยอมรับ แต่ก็รู้แจ้งแก่ใจตัวเองเป็นอย่างดีว่า ในวันนี้คนที่จบชีวิตเป็นเพียงลูกชายคนรองที่แสนจะโง่เขลา ต่อให้ปวดใจก็มิได้ถึงขั้นทุกข์ระทม แต่หากเปลี่ยนเป็นบุตรชายคนโตแล้วไซร้ เกรงว่านางคงเสียสติไปตั้งนานแล้ว
ซูชิงเสวี่ยสงบสติอารมณ์พลางตอบ “บังเอิญเจอเท่านั้นเจ้าค่ะ พี่รองบอกว่าไม่มีใครเล่นเป็นเพื่อนถึงได้ลากข้าไปเล่นเตะขนไก่ด้วย แต่ข้าเกรงว่าคนผ่านไปผ่านมาจะมองไม่ดี จึงได้ชวนพี่รองไปเล่นในศาลาเฉาหยาง ผ่านไปครู่หนึ่งพี่เจียงซื่อก็มา ครั้นพี่รองเห็นนางก็ดีใจรีบวิ่งออกไป ทีแรกข้าก็คิดว่าจะตามไป แต่ยังมิทันไร พี่เจียงซื่อก็รีบไปเสียก่อน หลังจากนั้น…”
ไม่ว่าจะอย่างไร นางก็มิอาจปริปากบอกเรื่องที่ท่านแม่ใหญ่กำชับนางให้แพร่งพรายออกไปได้ เพราะมิฉะนั้นแล้ว หนทางเหลือรอดของนางคงมีเพียงความตายเท่านั้น
แท้จริงแล้วซูชิงเสวี่ยรู้อยู่แก่ใจว่า การที่มารดาบังเกิดเกล้าของนางเป็นคนฆ่าลูกชายของท่านแม่ใหญ่ ต่อให้ตอนนี้นางไม่พูดเรื่องนั้นออกไป ชีวิตในภายภาคหน้าของนางก็มิอาจราบรื่นอยู่ดี แต่นั่นก็คงดีกว่าการต้องจบชีวิตลงเป็นไหนๆ ในขณะนั้นซูชิงเสวี่ยได้แต่รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป หากนางไม่บอกเรื่องเจียงซื่อให้ท่านแม่ใหญ่ทราบ เรื่องทั้งหมดก็คงไม่เกิดขึ้น
ครั้นคิดได้เช่นนั้น นางจึงหันไปมองเจียงซื่ออย่างเสียมิได้
เจียงซื่อที่ยืนอยู่ข้างเจียงจั้นสังเกตเห็นว่าสายตาของซูชิงเสวี่ยที่มองมาดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นในนัยน์ตาของนางก็มิได้บ่งบอกความหมายใด ติดหนี้ย่อมต้องใช้หนี้ ในเมื่อซูชิงเสวี่ยหมายจะทำร้าย ย่อมต้องชดใช้ในสิ่งที่ก่อ แต่เรื่องนี้ก็ต้องดูว่ามีผู้ใดคอยบงการอยู่เบื้องหลังหรือไม่ เจียงซื่อเบนสายตาเหลือบมองไปที่โหยวซื่อเล็กน้อย การทำให้ผู้อื่นต้องสูญเสียเลือดเนื้อเชื้อไขถือเป็นกรรมหนัก
เจียงซื่อใคร่ครวญ ในชาติที่แล้วสาเหตุ ‘ป่วยตาย’ ของซูชิงอี้ก็มิได้จบลงง่ายๆ เช่นนี้ เพราะหลังจากที่ซูชิงอี้ ‘ป่วยตาย’ ไม่นาน นางก็ได้ยินว่ามารดาบังเกิดเกล้าของซูชิงเสวี่ยเสียชีวิต
ในชาติที่แล้ว สำหรับสายตาคนนอกเรื่องที่ซูชิงอี้และมารดาของซูชิงเสวี่ยเสียชีวิตก็ดูไม่เกี่ยวข้องกัน แต่ครั้นมาถึงตอนนี้ที่ได้ทราบว่ามารดาของซูชิงเสวี่ยเกลียดชังซูชิงอี้อย่างไร ก็เป็นเครื่องยืนยันได้ว่า เมื่อชาติก่อนจวนอี๋หนิงโหวพยายามปกปิดความจริงทั้งหมดเอาไว้ เพราะหากข่าวเรื่องคุณชายแห่งจวนโหวถูกอนุภรรยาของบิดาฆ่าตายแพร่งพรายออกไปจะดูไม่ดี ยิ่งไปกว่านั้นคือจะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของจวนอี๋หนิงโหวอย่างมหาศาล ฉะนั้นการให้เหตุผลว่า ‘ป่วยตาย’ จึงเหมาะสมที่สุด
“ซูซื่อจื่อ อยากถามอะไรเพิ่มเติมหรือไม่” เมื่อได้ข้อสรุปของคดีนี้แล้ว เจินซื่อเฉิงจึงหันไปถามนายท่านซู
นายท่านซูไม่แม้แต่จะหันไปมองหญิงสาว เพียงแต่โบกไม้โบกมือเท่านั้น
“เอาตัวไป!”
เจินซื่อเฉิงออกคำสั่ง และผู้ตรวจการชั้นผู้น้อยก็เข้ามาพาตัวหญิงสาวไปทันที
“เช่นนั้นข้าขอตัวลา” เจินซื่อเฉิงหันไปคารวะให้นายท่านซูแล้วหันไปมองเจียงซื่อพลางครุ่นคิดบางอย่าง เหตุการณ์ในวันนี้เขามองออกว่ามีคนคอยจ้องจะระรานเด็กสาว หวังเพียงแต่ว่าเด็กสาวจะไหวตัวได้ทัน จะได้มิต้องมาทนทุกข์ทรมาน
เจียงซื่อค้อมตัวให้เจินซื่อเฉิงเพื่อเป็นการกล่าวลา
เจินซื่อเฉิงที่เห็นท่าที่อ่อนโยนและสงบนิ่งของนางก็รู้สึกวางใจ ดูเหมือนว่าเขาจะกังวลเรื่องนี้มากเกินไป เพราะเด็กสาวผู้นี้มีความสามารถในการพลิกแพลงเรื่องร้ายให้กลายเป็นดี
เจินซื่อเฉิงเดินไปได้เพียงสองก้าวก็หันกลับไปถาม “เสี่ยวอวี๋ เหตุใดถึงยังไม่ไปอีกเล่า”
อวี้จิ่นหัวเราะ “บังเอิญเจอสหายเก่าเลยว่าจะระลึกความหลังเสียหน่อยขอรับ”
เหอะ เจินซื่อเฉิงลูบเคราตนเอง
องค์ชายใคร่จะระลึกความหลัง ตัวเขาก็มิอาจขวางได้
เขาทำได้เพียงมองอวี้จิ่นเดินมุ่งหน้าไปทางเจียงซื่อ มือที่กำลังลูบเคราเมื่อครู่หยุดลูบไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ โชคดีที่เรื่องไม่เป็นไปตามที่เขาคิด อวี้จิ่นเดินไปข้างๆ เจียงซื่อ พลางเอื้อมมือไปตบบ่าเจียงจั้น “น้องเจียงเอ้อร์ ช่างบังเอิญเสียจริง”
เจียงจั้นขยี้จมูก “บังเอิญจริงด้วย ไฉนพี่อวี๋ชีถึงมาอยู่กับใต้เท้าเจินได้เล่า”
อวี้จิ่นชี้ไปที่ประตูใหญ่พลางบอก “เดินไปคุยไปแล้วกัน”
เพราะพฤติการณ์เลวร้ายของโหยวซื่อที่มีต่อเจียงซื่อ เจียงจั้นก็คร้านจะอยู่ต่อเต็มทน เมื่อได้ยินอวี้จิ่นเชิญชวนจึงรีบตอบตกลงทันที เขาเดินไปบอกเจียงอันเฉิงและจากไปพร้อมอวี้จิ่น
เมื่อเจียงซื่อเห็นว่าอวี้จิ่นมิได้เข้ามาข้องแวะกับนางก็พลันโล่งใจ
เป็นเช่นนี้ก็ดี เมื่อไม่ได้อยู่ด้วยกันนานๆ พฤติกรรมที่เหนือการควบคุมทั้งหลายก็จะค่อยๆ จางไป แล้ววันหนึ่งก็คงจะเลือนหายไปเอง
อวี้จิ่นเดินออกไปเพียงสิบจั้ง แต่แล้วจู่ๆ ก็หันกลับมา สายตาคู่งามโฉบผ่านใบหน้าของเจียงซื่อไปประดุจแมลงปอแล้วไปหยุดอยู่ที่เอ้อร์หนิวที่นอนหมอบอยู่ที่พื้น “มานี่!”
เอ้อร์หนิวเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ลมจากหางที่ส่ายไปมากระพือให้ฝุ่นรอบๆ ฟุ้งขึ้น มันยังไม่อยากไป นายหญิงยังไม่ลูบหัวมันเลยนี่หน่า
อวี้จิ่นไม่คิดว่าเอ้อร์หนิวที่รู้เรื่องรู้ราวจะแสดงพฤติกรรมสุนัขเอาป่านนี้ ใบหน้าของชายหนุ่มพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมพลางเอ่ยเสียงต่ำ “มานี่”
เอ้อร์หนิวค่อยๆ เหยียดตัวขึ้นอย่างไม่เต็มใจนัก พลางหันไปครางหงิงกับเจียงซื่ออย่างน่าสงสาร
เจียงอันเฉิงรีบเข้าไปขวางข้างหน้าเจียงซื่อ แล้วหันไปตะโกนเรียกอวี้จิ่น “หน่วยลาดตระเวนรีบพาสุนัขตัวนี้ไปเสียที เดี๋ยวคนอื่นจะพลอยตกใจกันหมด”
หน่วยลาดตระเวน?
ในชั่วพริบตาใบหน้าหล่อเหลาขององค์ชายอวี้ชีก็บิดเบี้ยวไป สายตาจับจ้องไปที่เจียงอันเฉิง
ครั้นได้ยินว่าที่พ่อตาเรียกตนเองว่า ‘หน่วยลาดตระเวน’ กลับรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ทั้งหมดทั้งมวลก็ต้องโทษเอ้อร์หนิวที่หาเรื่อง!
อวี้จิ่นโยนความผิดให้เอ้อร์หนิวอย่างไม่ลังเล เขาชูสัญญาณมือให้เอ้อร์หนิว
เอ้อร์หนิวตาลุกวาว
เจ้านายจะให้กระดูกหนึ่งกะละมังเป็นรางวัล!
ทว่าเจ้าสุนัขหันหน้ากลับไปมองเจียงซื่อและเกิดอาการลังเล
สุดท้ายแล้วจะเลือกกระดูกหรือนายหญิง?
ช่างเถอะ กระดูกมีเยอะแล้ว แต่นายหญิงมีอยู่คนเดียว
เอ้อร์หนิวยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง
อวี้จิ่นอยากจะกลับเข้าเตะเอ้อร์หนิวสักที แต่เพราะอยู่ต่อหน้าเจียงซื่อถึงได้อดทนไว้ เขาจึงทำได้เพียงส่งสัญญาณมือไปให้เอ้อร์หนิวเป็นครั้งที่สอง
กระดูกสามกะละมัง!
เอ้อร์หนิวกระเด้งตัวรีบวิ่งไปและไม่หันกลับมามองเจียงซื่ออีกเลย
เจียงซื่อ “…”