เยี่ยอิงไร้หนทางจะป้องกัน ได้แต่หลบลงไปอยู่หลังหัวมังกรอย่างรวดเร็ว
ดาบโค้งทั้งสิบสองเล่มนั้นพุ่งเข้ามาตัดเขามังกรขาดสะบั้นลงไปในทันที ทั้งยังเลี้ยวเข้ามาหานาง ด้วยแง่มุมพิศดาร
เยี่ยอิงพึ่งจะทุ่มเทพลังทั้งหมดในร่างของไป ตอนนี้เรี่ยวแรงไม่ทันฟื้นคืน
นางที่เป็นดั่งป้ายเกียรติยศของเผ่ามังกรทมิฬ กลับต้องดิ้นรนหลบหลีกอาวุธของตนเอง
หัวของมังกรดำตัวนั้นถูกใบดาบเฉือนเข้าไปทั้งซ้ายและขวา จนเลือดไหลนองออกมา เพียงพริบตาเดียวก็ลึกจนสามารถมองเห็นได้ถึงกระโหลก ทำให้เยี่ยอิงไร้ที่กำบังอีกต่อไป
ดาบสุดท้ายยังคงพุ่งเข้ามาฟันมือซ้ายของนางขาดไปจนมองเห็นกระดูก เลือดไหลท่วมร่าง!
หากมิใช่เพราะว่าเยี่ยเฉินเข้ามาอย่างทันเวลา ที่ดาบนั้นฟันทิ้งไปจะต้องเป็นคอของนางอย่างแน่นอน
ในมือของเยี่ยเฉินมีง้าวมังกร เพียงกวาดออกไปเบาๆก็สะบั้นดาบโค้งจนหักเป็นชิ้นๆ!
เขาใช้มือข้างหนึ่งกอดเยี่ยอิงเอาไว้ แผ่พลังของจิตมังกรในร่างออกมา ร่างพุ่งออกไปเพียงครั้งเดียว ก็กระโดดลงไปบนหัวของมังกรดำอีกตัว ดวงตาทั้งสองของเขายังคงจับจ้องอยู่ที่ตู๋กูซิงหลัน
เมื่อครู่ทั้งๆที่เห็นอยู่ว่า ดาบโซ่ที่เสี่ยวอิงเขวี้ยงออกไปกำลังจะคว้านลงไปในร่างของตู๋กูซิงหลัน แต่ที่จริงเพียงกระทบถูกพลังของจิตมังกรบนร่างของนางเท่านั้น
แม้แต่เสื้อผ้าของนางก็ยังไม่โดนสัมผัสเลยด้วยซ้ำ!
ดาบโค้งทั้งสิบสองเล่มนี้ ถูกพลังในร่างของนางสะท้อนกลับออกมา ทั้งยังเกือบจะตัดศีรษะของเสี่ยวอิงเข้าแล้ว!
เยี่ยอิงอยู่ในอ้อมอกของเขาตระหนกจนวิญญาณแทบหลุดลอย
นางไม่ทันได้เห็นเลยว่า เมื่อครู่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่…..
เห็นอยู่ชัดๆว่าดาบโซ่ของนาง…..
นางไอออกมาเบาๆ มุมปากมีแต่เลือด จับจ้องตู๋กูซิงหลันด้วยความเคียดแค้น เอ่ยว่า “พี่ชาย ท่านต้องล้างแทนให้กับข้า ฆ่านังแพศยาน้อยนั่นเสีย! แม่ของนางที่เป็นนังแพศยาก็คือคนที่แย่งชิงพระบิดาของพวกเราไป ตอนนี้นังแพศยาน้อยยังคิดจะมาแย่งชิงท่านไปอีก!”
สีหน้าของเยี่ยเฉินอึมครึมอย่างยิ่ง สายตาของเขาที่มองดูตู๋กูซิงหลันเปี่ยมไปด้วยความสับสน
พลังในร่างของนาง…..ช่างแข็งแกร่งอย่างยิ่ง
เฉพาะที่สามารถทำลายกระบี่ผงาดฟ้าของเขาได้ในการลงดาบเพียงแค่ครั้งเดียว ก็นับว่ามิใช่เรื่องเล็กๆแล้ว
ขณะที่เขามองไปนั้น ตู๋กูซิงหลันก็หันร่างกลับมาพอดี กวาดตามองดูพวกเขาด้วยความเย็นชาอย่างที่สุด
นางสะกิดปลายเท้าเพียงเล็กน้อย ในมือปรากฏพลังขุมหนึ่ง ทันใดนั้นก็ยื่นไปคว้าดาบยักษ์ที่ลอยขึ้นมาจากใต้เท้าเอาไว้
กุมด้ามดาบเอาไว้พาดลงไปบนบ่า
ริมฝีปากแดงแย้มเยื้อน เส้นผมสีดำมีละอองแสงสีเงินพลิ้ววราวโบยบิน ดวงตาดอกท้อที่เย็นยะเยือกนั้นกวาดมองดูชาวเผ่ามังกรทมิฬที่ออกันอยู่อย่างแน่นขนัด “ให้เวลาพวกเจ้านับถึงสาม หากไม่คิดจะพัวพันกับเรื่องนี้ ก็ไสหัวไป!”
“หากอยากจะมีเอี่ยวกับเรื่องนี้….”
นางหยุดครู่หนึ่ง ก็เอ่ยออกมาสามคำอย่างเย็นชา “ฆ่าไม่เว้น!”
ท่าทางที่อหังการเช่นนั้น ดูราวกับว่ามีแต่นางจึงจะเป็นเทพผู้สูงส่ง ส่วนพวกเขาก็เป็นเพียงแค่เผ่าพันธุ์หนึ่ง หากคิดจะไปต่อต้านกับเทพเจ้า ก็จะเป็นเหมือนกับเหล่ามดที่มีแต่จะโดนเหยียบย่ำเท่านั้น?
รู้หรือไม่ว่า ที่จริงแล้วลูกสาวนอกสมรสผู้นี้ต่างหาก ที่เป็นตัวต่ำต้อยที่สุดที่แท้จริง?
“ท่านดูนังแพศยาน้อยนั่น มันโอหังถึงขนาดนี้?” เยี่ยอิงโกรธจนถึงกับกระอักเลือดแล้ว นางเป็นถึงองค์หญิงของเผ่ามังกรทมิฬแท้ๆ ก็ยังไม่เคยโอหังถึงเพียงนี้มาก่อน นังแพศยาน้อยชั้นต่ำผู้หนึ่งมีสิทธิ์อะไร?
ชาวเผ่ามังกรทมิฬน้อยนักที่จะเคยถูกกดลงมาจนถึงเพียงนี้ แต่ละคนจับจ้องไปที่ตู๋กูซิงหลัน ต่างก็คิดจะหาทางสั่งสอนนังตุ๊กตาน้อยที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำให้หนักๆสักครั้ง
“สาม…..”
ตู๋กูซิงหลันคร้านจะไปสนใจว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ ริมฝีปากของนางเอ่ยเสียงเย็นยะเยือกออกมา
“สอง…..”
บนหอสูง สีหน้าของหวาชางสุ่ยย่ำแย่อย่างยิ่ง ทั้งที่อยู่ในในพื้นที่ของนาง หากยังถูกลูกนอกสมรสทั้งสองของนังคนนั้นบีบคั้นต่อไป แล้วจะให้เผ่ามังกรทมิฬของนางอยู่ต่อไปได้อย่างไร?
“องค์ราชินีเพคะ….ตอนนี้พระองค์จะทรงลงมือสั่งสอนตัวที่สร้างความวุ่นวายทั้งสอง ให้รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเลยหรือไม่เพคะ?” นางกำนัลที่อยู่ข้างตัวนางก็โกรธแค้นอย่างยิ่งเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ตอนที่นางนำพาคนจะไป ‘แล่เนื้อ’ ที่คุกนั้น เกือบจะถูกไอ้เด็กน้อยตู๋กูเจวี๋ยผู้นั้นคว้าไปดูดเลือดแล้ว บนลำคอยังเหลือรอยเล็บที่น่าเกลียดอยู่หลายรอย
ตัวเลวร้ายเช่นนี้หากปล่อยทิ้งเอาไว้ ก็มีแต่จะกลายเป็นเภทภัยเท่านั้น
เมื่อเรื่องมาถึงตอนนี้ หวาชางสุ่ยกลับสามารถรักษาความสงบนิ่งเอาไว้ได้
นางหรี่ดวงตาทั้งสอง เส้นผมสีขาวใต้แสงเทียนกรุ่นไปด้วยกลิ่นอายที่เย็นยะเยือก
“ไม่…..ไม่ต้องรีบร้อน” นางโบกมือเบาๆ….ตลอดหลายปีมานี้ ไม่เคยมีใครที่รอดกลับขึ้นมาจากใต้หุบเหวไร้ก้นมาก่อน แต่ว่านังแพศยาน้อยนั่นกลับสามารถกลับมาได้ ไยจึงมีเรื่องที่บังเอิญขนาดนี้?
ไม่เพียงแต่กลับขึ้นมาได้ แต่ว่าบนร่างของนางก็มีพลังของจิตมังกรสายหนึ่งอยู่ด้วย
พลังของจิตมังกร คือขุมพลังพิเศษเฉพาะของเผ่ามังกรทมิฬ
มังกรแต่ละตัวมีขุมพลังที่แตกต่างกัน ….มีแต่มังกรที่ผ่านการบำเพ็ญเพียรมาอย่างยาวนานเท่านั้นจึงจะสามารถกำหนดจิตให้เกิดเป็นจิตมังกรได้
เศษสวะน้อยทั้งสองนั่น เป็นเพียงแค่มนุษย์ธรรมดา …..ไม่เคยผ่านการฝึกฝน แล้วจะสามารถสร้างจิตมังกรขึ้นมาได้อย่างไร?
หวาชางสุ่ยคิดกลับไปกลับมา ก็ได้คำตอบเพียงข้อเดียวเท่านั้น
เยี่ยจ้านยังไม่ตาย!
เขาอยู่ที่ใต้หุบเหวไร้ก้นนั่น!
ใช่แล้ว……จะต้องเป็นเขาอย่างแน่นอน นังสวะน้อยนั่นถึงได้สามารถออกมาจากหุบเหวไร้ก้นได้
มิเช่นนั้น นางก็คิดไม่ออกเลยว่า ใต้หล้านี้จะยังมีใครที่มีพลังที่จะสามารถส่งคนกลับมาจากดินแดนแห่งความตายได้
นางกำนัลผู้นั้นไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่กล้าสอบถาม
นางลูบคลำบาดแผลบนลำคอ ในใจก็เอาแต่ด่าทอไม่ยอมหยุด
หวาชางสุ่ยสงบนิ่งดุจภูเขาไท่ซาน มองดูตู๋กูซิงหลันที่กำลังแสดงความโอหังต่อไป
แต่ว่ามือของนางเองก็กุมพัดวายุเอาไว้อย่างแนบแน่น….นางต้องการจะดูว่า นังแพศยาน้อยนั่นจะสามารถโอหังไปได้ถึงเมื่อไหร่ รอให้มันลำพองจนขยับไม่ไหวอีกต่อไป นางค่อยๆจัดการกับมันเอง!
จากนั้น ก็จะจับมันลากลงไปใต้หุบเหวไร้ก้นตามหาเยี่ยจ้าน
…………………
“หนึ่ง”
ยามที่ตู๋กูซิงหลันเอ่ยคำสุดท้ายออกมา ก็เห็นว่าชาวมังกรทมิฬเพียงถอยออกไปไม่กี่คนเท่านั้น
พวกที่อยู่ที่เดิมทั้งหมดล้วนจับตามองดูนางด้วยสายตาอึมครึม
นางเองก็ไม่ได้แสดงสีหน้าขุ่นเคืองออกมา ใบหน้าราบเรียบไร้อารมณ์ พอขยับมือสะบัดดาบยักษ์ ก็แผ่รังสีกดดันที่แข็งแกร่งออกมา
“ซวบ……” เพียงแค่รังสีที่กดดันนั้นกำจายออกไป มังกรดำหลายตัวในฝั่งของเยี่ยเฉินก็ถูกฟันขาดไป
อย่างโหดเ**้ยมเฉียบขาด! ไร้ซึ่งหนทางหลบหนี!
มังกรดำเหล่านั้นไม่ทันจะได้โต้ตอบ ร่างกายก็ขาดเป็นสองท่อนไปแล้ว
จากนั้นก็ร่วงลงสู่พื้นอย่างรุนแรง กระแทกใส่ตำหนักแต่ละหลังจนแหลกย่อยยับ
“พี่รอง ด้านหลังของข้า มอบให้กับท่านแล้ว!” ตู๋กูซิงหลันเอ่ยพลางเหลือบตาไปมองดูตู๋กูเจวี๋ยที่อยู่ด้านหลัง
ตู๋กูเจวี๋ยกุมดาบกระดูกมังกรของชือหลีอย่างแนบแน่น พอสะบัดดาบออกไปครั้งหนึ่งก็สังหารพวกที่คิดจะฉกฉวยโอกาสทิ้งไป
สติสัมปชัญญะของเขาเหลืออยู่เพียงหนึ่งหรือสองส่วน อีกไม่นานก็อาจจะถูกพลังที่กระหายเลือดดูดกลืนลงไปอีกครั้งแล้ว ในสมองของเขาจดจำได้แต่ประโยคของตู๋กูซิงหลันที่ว่า “ด้านหลังของข้า มอบให้ท่านแล้ว!”
ดังนั้นเขาจึงกลับเป็นเครื่องจักรสังหารที่ไร้ชีวิตจิตใจอีกครั้ง ติดตามตู๋กูซิงหลันฆ่าล้างไปตลอดทาง
ส่วนตู๋กูซิงหลันก็ทะยานไปข้างหน้าพุ่งไปยังด้านหน้าของเยี่ยเฉิน
เยี่ยเฉินยังคงโอบกอดเยี่ยอิงเอาไว้ ยืนอยู่บนหลังคาของตำหนักหลังหนึ่ง
ณ ก้นทะเลลึกของเผ่ามังกรทมิฬมีแต่ราตรีอันมืดมิดอยู่ตลอดเวลา
สายลมเย็นพัดโหม พลิ้วผ่านเสื้อผ้าและเส้นผมของนาง แววตาของนางมีแต่ความเย็นชาสุดหยั่ง จับจ้องไปยังเยี่ยอิงที่อยู่ในอ้อมกอดของเขา
ไม่ต้องรีบร้อน ค่อยๆไล่ไปทีละคน!
เริ่มจากเยี่ยอิง….ไปจนถึงหวาชางสุ่ยที่คอยจับตาดูอยู่ นางจะไม่ละเว้นแม้แต่คนเดียว!
เยี่ยเฉินใช้ง้าวมังกรเข้าต้านรับ พอปะทะกันรอบนี้ เขาถึงกับชาวาบตลอดร่าง ง่ามมือที่กุมด้ามง้าวมังกรเอาไว้ถึงกับฉีกขาด รอยแผลลากเป็นเส้นยาว
………………………………..
ตอนต่อไป ที่ว่าเกินไปนั้น มันพึ่งจะเริ่มขึ้นต่างหาก