ริมฝั่งแม่น้ำจินสุ่ยในขณะนี้มีชีวิตชีวาเฉกเช่นเวลาเที่ยงวัน หลังจากชุยอี้และอีกสามคนถูกช่วยขึ้นจากน้ำ คนตรงนั้นจึงได้ทราบว่าเกิดเหตุเพลิงไหม้ขณะที่เหล่าคุณชายกำลังร่ำสุราบนนาวาใหญ่ และมีคณิกาชายผู้หนึ่งจงใจวางเพลิง
ทว่าบรรดาผู้ตรวจการชั้นผู้น้อยไม่ทันได้ใส่ใจเด็กหนุ่มผู้นั้น เนื่องจากชุยอี้และคุณชายอีกสองคนพร่ำบอกเพียงว่า ยังหาตัวหยางเซิ่งไฉซึ่งเป็นหลานชายเสนาบดีกรมพิธีการไม่พบ!
แม้ว่าจะผ่านจุดที่ทั้งสี่กระโดดลงน้ำมาไกลแล้ว ทว่ายังไม่เจอตัว สถานการณ์จึงเริ่มเลวร้ายลงไปทุกที
ลำพังบรรดาเจ้าหน้าที่ที่สามารถดำน้ำได้มีไม่มากนัก จึงต้องระดมผู้ที่หาเลี้ยงชีพอยู่ริมฝั่งแม่น้ำจินสุ่ยมาช่วยอีกแรง
แม่น้ำจินสุ่ยกว้างใหญ่ไพศาล ครั้นจะหาคนที่จมน้ำคงยากเสียยิ่งกว่าการได้ขึ้นสวรรค์เป็นไหนๆ
แม้เวลาจะล่วงเลยไปถึงเที่ยงคืนกลับไม่มีความคืบหน้า คนส่วนใหญ่จึงเตรียมตัวกลับที่พัก เหลือเพียงบางคนที่ยังเฝ้าดูสถานการณ์อยู่ตรงนั้น
ผู้ตรวจการชั้นผู้น้อยที่ตรวจสอบบริเวณท่าเรือเหลืออยู่เพียงสิบกว่าคน แล้วไหนเลยจะต้านฝูงชนได้ ครั้นต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มคนชนชั้นสูงที่มาล่องเรือก็ทำได้เพียงปล่อยผ่านไปดื้อๆ และไปเคร่งครัดตรวจตรากับเรือขายดอกไม้และเรือหาปลาเหล่านั้นแทน ถึงกระนั้น เรือส่วนใหญ่ก็มิได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียดนัก เนื่องด้วยกำลังพลไม่เพียงพอ
เหล่าฉินแฝงไปกับเรือเหล่านั้นและรอดจากการตรวจสอบได้อย่างราบรื่น ส่วนนาวาของอวี้จิ่นก็แล่นเข้าฝั่งได้โดยไม่มีผู้ใดขวางทางเช่นกัน
บริเวณริมฝั่งถูกความมืดเข้าปกคลุม ยามทอดสายตาไปไกลๆ จะยิ่งรู้สึกมืดมิดยิ่งขึ้น
เวลาในขณะนั้นเลยช่วงเที่ยงคืนมาแล้ว แสงไฟตามบ้านเรือนต่างหลับใหล เหลือเพียงดวงดาราส่องแสงระยิบระยับบนนภาสีเข้ม
“ให้เหลิงอิ่งไปส่งพวกเจ้าแล้วกัน” ครั้นมองดูภาพหญิงสาวในคราบชุดชายหนุ่มในค่ำคืนมืดมิด อวี้จิ่นได้แต่กลืนถ้อยคำที่จะขอไปส่งเองลงคอไป
เพราะรู้ว่าคงถูกอาซื่อปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย
“ไม่ต้องหรอก คนเยอะไปก็ไม่ดี แค่เหล่าฉินก็เพียงพอแล้ว” เจียงซื่อปฏิเสธอย่างเคย ทว่าน้ำเสียงกลับอ่อนโยน “ฝากดูแลพี่รองของข้าด้วยนะ”
อวี้จิ่นยิ้มบาง “วางใจได้ ข้าจะดูแลเขาอย่างดี”
เขาเน้นคำว่าอย่างดี เพราะทั้งคู่ตกลงกันเรียบร้อยแล้วว่า ให้แสร้งว่าอวี้จิ่นเป็นคนช่วยชีวิตเจียงจั้น ทว่าเจียงซื่อมีคำขออีกอย่างคือให้อวี้จิ่นสั่งสอนเจียงจั้นให้รู้จักเข็ดหลาบเสียบ้าง
เมื่อได้รับคำสั่งมอบหมายจากนางในดวงใจ อวี้จิ่นก็ตกปากรับคำอย่างไม่รอช้า
ส่วนเรื่องมิตรภาพระหว่างเขาและเจียงจั้นน่ะหรือ หึๆ ไม่มีตั้งแต่แรกแล้ว
“เช่นนั้นก็ดีเจ้าค่ะ” เจียงซื่อยิ้มและจากไปพร้อมอาหมาน
ในคืนนี้ พื้นที่ส่วนใหญ่ในเมืองหลวงคึกคักไม่น้อย
เมื่อจวนท่านแม่ทัพ จวนซื่อหลางและจวนไท่ผิงปั๋วได้ทราบข่าวจากศาลาว่าการพระนคร ผู้คนในจวนต่างก็ตื่นตระหนกตกใจกันเป็นแถว รีบส่งคนไปรับคุณชายที่ศาลาว่าการทันที
ส่วนจวนเสนาบดีกรมพิธีการทราบข่าวที่หยางเซิ่งไฉตกน้ำและบัดนี้ยังหาตัวไม่พบก็วุ่นวายยิ่งกว่า จึงมีคำสั่งเกณฑ์คนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ให้ไปค้นหาคุณชายที่แม่น้ำจินสุ่ย
เจินซื่อเฉิง ผู้ตรวจการศาลาว่าการพระนครนอนหลับไม่ลงเช่นเดียวกัน ในขณะนั้นกำลังสอบสวนชุยอี้และคุณชายอีกสองคน
“เกิดเพลิงไหม้บนนาวาใหญ่ได้อย่างไรหรือ”
เมื่อถูกถามถึงเรื่องนี้ ทั้งสามก็รีบตอบด้วยความกระตือรือร้น “มีคณิกาชายผู้หนึ่งจงใจวางเพลิง!”
“คุณชายชุย ไหนเจ้าลองว่ามา”
ครั้นได้ฟังคำอธิบายสาเหตุการเกิดและสถานการณ์หลังเหตุเพลิงไหม้แล้ว เขาเพียงแต่ลูบเคราทว่ามิได้เอ่ยตอบสิ่งใด ความเงียบงันชั่วอึดใจทำให้ทั้งสามรู้สึกอัดอั้น ชุยอี้จึงตะคอกเสียงแข็ง “ใต้เท้าเจิน พวกท่านต้องหาตัวไอ้คนนั้นมาให้ได้ และตัดหัวมันอย่าเหลือ!”
“ศาลาว่าการพระนครจะทำอย่างสุดความสามารถ” เจินซื่อเฉิงไม่กล้ารับรอง
ไม่รู้ว่าไอ้ลูกผู้ลากมากดีพวกนี้ไปก่อกรรมทำเข็ญกับผู้คนตั้งเท่าไหร่ หากใคร่จะไล่หาเบาะแสจากกลุ่มคนที่อาฆาตพยาบาทคงไม่ต่างอะไรกับงมเข็มในมหาสมุทร
“พวกเจ้ามิได้สังสรรค์กันแค่สี่คนใช่หรือไม่”
สิ้นคำถามของเจินซื่อเฉิง ใบหน้าของทั้งสามก็พลันเปลี่ยนสี
เจินซื่อเฉิงเคาะนิ้วลงบนโต๊ะสอบสวนเบาๆ และเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “ข้าได้ยินมาจากคณิกาชายที่รอดชีวิตว่าพวกเจ้ามีกันทั้งหมดห้าคน”
ชุยอี้รีบเอามือตบศีรษะตนเอง “จริงสิ ยังมีเจียงจั้น คุณชายรองแห่งจวนตงผิงปั๋วอีกคน แต่เขาก็ตกน้ำด้วยเหมือนกัน!”
สีหน้าของเจิงซื่อเฉิงหม่นลง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไฉนพวกเจ้าถึงไม่รีบบอกแต่แรก”
ชุยอี้บุ้ยปากพลางบอกอย่างไม่เต็มใจนัก “พวกเราเองก็ตกใจไม่แพ้กันถึงได้ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท”
“คนที่นั่งดื่มด้วยกันยังลืมกันได้ลงงั้นหรือ” จากประสบการณ์เจินซื่อเฉิงสัมผัสได้ว่าพวกเขามีเรื่องบางอย่างปิดบัง
“พวกเรามิได้สนิทกันเสียหน่อย นั่นเป็นคนที่หยางเซิ่งไฉเรียกมา ฉะนั้นยามเกิดเหตุเพลิงไหม้น่าสะพรึงกลัวเช่นนั้นจึงรีบกระโดดน้ำหนีจนไม่ทันได้นึกถึงใครอื่น” อีกสองคนเอ่ยเสริม
ใบหน้าชุยอี้ไม่สบอารมณ์อย่างยิ่งยวด “ใต้เท้าเจิน พวกเราเป็นเหยื่อ พวกท่านไม่รีบหาตัวเด็กหนุ่มนั่นมา แล้วยังมาสอบสวนพวกเราราวกับเป็นผู้ร้ายเช่นนี้ มันหมายความอย่างไรกันแน่”
เจินซื่อเฉิงเคาะไม้ปลุกสติ[1]ลงบนโต๊ะ เหล่าผู้ตรวจการชั้นผู้น้อยที่ถือไม้กระบองแม้จะไม่ได้ยืนอยู่ในโถงนั้นยังขานตอบเสียงดังฟังชัดอย่างพร้อมเพียงว่า “เวยอู่” ทั้งสามจึงสะดุ้งโหยงไปตามๆ กัน
“นี่ท่านหมายความว่าอย่างไร” แม้ภายนอกทั้งสามแลดูแข็งกร้าว แต่สภาพจิตใจภายในฝ่อไม่มีชิ้นดี
เจินซื่อเฉิงค่อยๆ วางไม้ปลุกสติลง “ก็แค่จะบอกคุณชายทั้งสามว่า อย่างนี้ต่างหากถึงจะเรียกว่าสอบสวน เมื่อครู่ข้าเพียงแต่สอบถามสถานการณ์เบื้องต้นเท่านั้น แต่พวกเจ้ากลับคิดว่าเป็นการสอบสวนผู้ร้าย หรือว่าพวกเจ้าไปก่อเรื่องใดไว้”
“พวกเราไม่ได้ทำ!” ทั้งสามคนปฏิเสธเสียงแข็ง
“ไม่ได้ทำก็ดี ลำบากเหล่าคุณชายแล้ว ตอนนี้กลับจวนได้ เพียงแต่ว่าหากข้าใคร่อยากรู้สิ่งใดเพิ่มเติม อาจจะต้องเชิญคุณชายทั้งหลายกลับมาอีกครั้ง” เจินซื่อเฉิงหรี่ตาพลางบอก
พวกเด็กเหลือขอพวกนี้ยังไม่ได้เรื่องเท่ากับลูกชายของเขา ยังริอาจมาเอ่ยวาจาไร้สาระกับเขาอีก
ครั้นคิดถึงลูกชายที่แสนจะเฉื่อยชาในช่วงนี้แล้ว ใจของเจินซื่อฉิงก็ยิ่งไม่เป็นสุข
รอจนชุยอี้และอีกสองคนจากไปแล้ว เจินซื่อเฉิงก็รีบสั่งให้คนไปแจ้งข่าวกับจวนตงผิงปั๋วทันที
เมื่อนึกถึงความเป็นความตายของเจียงจั้น เขาก็เริ่มใจคอไม่ดี
แม้ว่าเขาจะเห็นความตายมานับครั้งไม่ถ้วน แต่คนเหล่านั้นมิได้เป็นคนรู้จักแต่อย่างใด
หรือว่าเด็กหนุ่มนั่นจะต้องจบชีวิตลงเช่นนี้งั้นหรือ
แล้วยังมีเด็กสาวนั่นอีก หากรู้ว่าพี่ชายเป็นอะไรไปคงปวดใจเป็นแน่
ครั้นจวนตงผิงปั๋วได้ทราบข่าวทั้งจวนก็ตกสู่วังวนอลหม่าน เจียงอันเฉินเรียกรวมพลบ่าวรับใช้ในจวนไปยังแม่น้ำจินสุ่ย เขาส่งเสียงปริภาษสาปส่งลูกชายไปตลอดทาง “ไอ้ลูกเวร ถ้าหาตัวเจอเมื่อไหร่จะจับถลกหนังออกให้หมดเลยคอยดู!”
ถึงปากจะพร่ำด่าลูกชาย แต่นัยน์ตาเป็นประกายด้วยน้ำหยดใส มือทั้งสองข้างกำแน่นจนทั้งร่างสั่นสะท้าน
นายท่านเจียงรองและนายท่านเจียงสามเอ่ยวาจาปลอบประโลม สีหน้าของทั้งคู่ดูหม่นลงอย่างชัดเจน เพียงแต่ว่าความสบายอกสบายใจของนายท่านเจียงรองถูกความมืดยามค่ำคืนซ่อนเร้นเอาไว้ จึงไม่มีผู้ใดทันสังเกตเห็น
ภายในเรือนหยาซิน เอ้อร์ไท่ไท่เซียวซื่อแอบหัวเราะชอบใจอยู่ใต้ผ้าไหมอยู่สักพักก่อนจะปรับอาการให้เป็นปกติ หลังจากจัดการกับอารมณ์เรียบร้อยแล้ว นางก็เข้าไปในเรือนฉืนซินเพื่อปลอบใจเฝิงเหล่าฮูหยิน
หากไม่มีเจียงจั้น เรือนหลักก็ไร้ผู้สืบทอด เฝ้ารอวันที่นายท่านเจียงรองสร้างคุณความดีเหมือนหย่งชังปั๋วผู้อยู่เรือนติดกัน ไม่ช้าไม่นานตำแหน่งผู้สืบทอดก็จะตกมาถึงเขาอย่างแน่นอน
ในเรือนไห่ถัง อาหมานอดทนดูเจียงซื่อที่ค่อยๆ เปลี่ยนอาภรณ์อย่างไม่รีบร้อนไม่ได้อีกต่อไปจึงเตือนขึ้นว่า “คุณหนู เรือนหน้าวุ่นวายยิ่งนักจนนายท่านออกไปตามหาคุณชายรองแล้วนะเจ้าคะ”
เจียงอันเฉินกลัวว่าลูกสาวจะเป็นกังวลจึงมิได้เรียกให้บ่าวรับใช้นำข่าวไปแจ้งที่เรือนไห่ถัง ในสายตาผู้คนรอบข้าง เจียงซื่อยังคงหลับใหลไม่รู้เรื่องรู้ราว หารู้ไม่ว่าที่แท้แล้วเจียงซื่อเพิ่งกลับมาจากการวางเพลิงฆาตกรรม
เจียงซื่อที่เปลี่ยนอาภรณ์เรียบร้อยแล้วเดินไปนอนอยู่บนเตียง “อย่ากังวลไป ไปนอนเถอะ”
ในจวนวุ่นวายก็ดี พี่รองของนางจะได้เห็น หากเขาไม่รู้จักหลาบจำก็คงนำพาความเจ็บปวดมาสู่คนในครอบครัว!
——————
[1]ไม้ปลุกสติ คือ ไม้ท่อนสี่เหลี่ยมใช้สำหรับเคาะโต๊ะให้คนในโถงเงียบเสียง