เจียงอันเฉิงไปหยุดยืนหน้าเฝิงเหล่าฮูหยินพลางเอ่ยเรียกผู้เป็นมารดา
เฝิงเหล่าฮูหยินพยักหน้ารับแล้วหันไปมองเจียงจั้นอย่างพินิจพิเคราะห์ เมื่อเห็นว่าเขากลับมาอย่างปลอดภัย อีกทั้งเนื้อตัวยังสะอาดสะอ้านก็อดใจเต้นมิได้ จึงถามออกไปว่า “ไปเจอตัวที่ไหนกัน”
เจียงอันเฉิงหันไปมองเจียงจั้นด้วยสายตาคมปลาบก่อนจะเอ่ยเสียงแหบแห้ง “เข้าไปคุยกันข้างใน”
ทั้งกลุ่มเดินกลับเข้าไปในเรือนฉือซิน
เจียงซื่ออาศัยจังหวะเดินเข้าไปประชิดตัวเจียงจั้น น้ำตาของนางไหลลงมาก่อนที่จะอ้าปากเอ่ยบอกบางสิ่งเสียอีก “พี่รอง…”
เมื่อเห็นว่าน้องสาวร้องไห้ เจียงจั้นก็ตกใจรีบล้วงหาผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตาให้จนแห้ง
ในขณะนั้นเขาถึงได้รู้ว่าตัวเองเปลี่ยนอาภรณ์มาแล้วหนหนึ่ง
“น้องสี่ หยุดร้องเถอะนะ ข้าไม่มีทางเป็นอะไรไปหรอก” เจียงจั้นตบแขนตัวเอง “ไม่เป็นไรเลยสักนิด แรงดีเสียยิ่งกว่าวัวหนุ่ม”
เจียงซื่อจ้องเขม้นไปที่เจียงจั้นก่อนจะหันหลังกลับไป
แน่นอนว่าน้ำตานั้นเป็นการแสดง แต่ทว่าความโกรธนั้นเป็นของจริง
เมื่อได้เห็นฉากบนนาวาใหญ่แล้วถึงได้รู้ว่าเมื่อชาติที่แล้วพี่รองจบชีวิตอย่างไม่เป็นธรรมเพียงใด เขาถูกมอมเมาจากนั้นก็ถูกผลักตกน้ำ
ในชาติที่แล้ว หากในตอนท้ายไท่จื่อไม่ถูกลากเข้ามาเอี่ยวกับจวนเสนาบดีกรมพิธีการ เมื่อนางได้ทราบข่าวลือเกี่ยวกับพี่รอง นางคงไม่รู้สึกตะขิดตะขวงอะไร หากปล่อยให้เรื่องราวเป็นเช่นนั้น พี่รองของนางคงตายตาไม่หลับ ยิ่งเจียงซื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืน นางรู้สึกปวดใจและโมโหในคราวเดียว จึงปฏิญาณกับตนเองไว้ว่าคราวนี้นางจะทำให้เจียงจั้นได้รับบทเรียนเป็นจริงเป็นจังเสียที คราวหน้าคราวหลังจะได้ไม่กล้าไปมั่วสุมอยู่กับพวกคนพาลเช่นนั้นอีก
“น้องสี่…” เจียงจั้นรีบวิ่งตามไป ทว่ากลับถูกสายตาของเจียงอันเฉิงห้ามปรามไว้ก่อน ชายหนุ่มจึงสงบเสงี่ยมลงทันที
คนในจวนเดินเรียงแถวเข้าไปในเรือนฉือซิน เจียงจั้นไม่รอให้ใครพูด รีบลงไปคุกเข่าแต่โดยดี “เป็นเพราะข้าผิดเองที่ทำให้ทุกคนต้องเป็นห่วง”
แค่เจียงจั้นนึกถึงคำของอวี้จิ่นที่บอกว่าท่านพ่อของเขาพาคนออกตามหาเกือบทั้งวัน น่องขาของเขาก็สั่นสะท้านอย่างช่วยไม่ได้
คราวนี้หายนะของจริง!
“จั้นเอ๋อร์ สรุปเมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้น” เฝิงเหล่าฮูหยินนั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือ[1]
เจียงจั้นยังคงคุกเข่าอยู่อย่างนั้น “เมื่อคืนหยางเซิ่งไฉชวนข้าไปเที่ยวที่แม่น้ำจินสุ่ย ข้าดื่มไปมาก ครั้นตื่นขึ้นก็พบว่ามีคนช่วยชีวิตข้าไว้ สุดท้ายถึงได้รู้ว่านาวาใหญ่นั่นเกิดเหตุเพลิงไหม้ ผู้คนบนนั้นจึงต้องกระโดดน้ำหนีตาย…”
เจียงจั้นจะจำได้แม่นว่าหยางเซิ่งไฉเป็นคนผลักเขาลงน้ำ ส่วนเรื่องเหตุเพลิงไหม้ อวี้จิ่นเป็นคนเล่าให้ฟังหลังจากที่เขาฟื้น แต่อวี้จิ่นเตือนไว้ว่าไม่ควรบอกความจริงทั้งหมดออกไป ในเมื่อหยางเซิ่งไฉตายไปแล้ว หากเขาบอกว่าตนเองถูกหยางเซิ่งไฉทำร้ายก็รังแต่จะเกิดความยุ่งยากตามมาในภายหลัง แม้ว่าเจียงจั้นจะมีนิสัยหุนหันพลันแล่น แต่หากคำเตือนของสหายฟังดูมีเหตุผล เขาก็ยังรับฟังอยู่บ้าง
“เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว พวกเจ้าไปจัดการอะไรให้เรียบร้อยแล้วเตรียมตัวทานอาหารเถอะ” เฝิงเหล่าฮูหยินฟังคำอธิบายของเจียงจั้นก็รู้สึกว่าหลานชายคนนี้ช่วงดวงดีเสียจริง แต่ถึงกระนั้นในใจนางลึกๆ ก็ยังกลัวว่าจะเกิดความวุ่นวายกับจวนเสนาบดีกรมพิธีการในภายหลัง
เฝิงเหล่าฮูหยินรู้ดีว่าจิตใจของมนุษย์เลวทรามเพียงใด
จากที่นางคิด หากเจียงจั้นถูกช่วยขึ้นไปพร้อมๆ กับอีกสามคนก็ว่าไปอย่าง แต่เรื่องราวกลับกลายเป็นว่ามีเพียงเจียงจั้นและหยางเซิ่งไฉเท่านั้นที่หาตัวไม่พบ หนำซ้ำท้ายที่สุดแล้ว เจียงจั้นกลับมาถึงจวนอย่างปลอดภัย แต่ร่างของหยางเซิ่งไฉกลับถูกพบอยู่ใต้น้ำ แม้จวนเสนาบดีกรมพิธีการจะรู้ว่าไม่ใช่ความผิดของเจียงจั้น ทว่าก็คงรู้สึกไม่ยินดีนัก
เรื่องนี้คงเดาได้ไม่ยาก จมน้ำหายไปเหมือนๆ กัน แล้วไฉนลูกข้าต้องตาย แต่ลูกเจ้ากับไม่เป็นอะไรเลย
เมื่อคิดได้ดังนั้น เฝิงเหล่าฮูหยินจึงกำชับว่า “เหล่าต้า หากกินอาหารเสร็จแล้ว เจ้าช่วยไปที่จวนเสนาบดีกรมพิธีการ แล้วอย่าลืมนำของขวัญติดมือไปด้วย”
ตัดภาพมาที่เจียงอันเฉิง ลูกเหนื่อยจะแย่แล้วท่านแม่
เฝิงเหล่าฮูหยินขมวดคิ้วไม่พอใจ ครั้นมองดูสภาพหมองคล้ำของลูกชายคนโตก็ได้แต่ถอนใจ จึงหันไปสั่งลูกชายคนรอง “เช่นนั้นเจ้าไปแล้วกัน แล้วอย่าลืมกล่าวแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งด้วย”
“ท่านแม่วางใจ ลูกรู้ว่าควรทำอย่างไรขอรับ” ในใจของนายท่านเจียงรองสัมผัสได้ถึงหายนะที่กำลังรุกคืบเข้าใกล้… ตกน้ำหายตัวไปด้วยกัน หลานชายของเสนาบดีกรมพิธีการเสียชีวิต แต่เจียงจั้นกลับรอดตาย ต่อให้คนตระกูลหยางไม่พูด ทว่าในใจคงโกรธเคืองจวนตงผิงปั๋วอย่างแน่นอน หากเป็นเช่นนี้แล้วคงส่งผลกระทบกับการก้าวหน้าในตำแหน่งการงานของเขาอย่างมิต้องสงสัย
นอกจากนี้เฝิงเหล่าฮูหยินยังสั่งให้เอ้อร์ไท่ไท่เซียวซื่อตระเตรียมเงินเล็กน้อยไปให้คนที่ช่วยชีวิตเจียงจั้นเป็นการตอบแทน “อย่าทำให้ผู้อื่นมองว่าจวนปั๋วไม่รู้จักบุญคุณคน แต่ก็ต้องรักษาระห่างไว้ให้ดี อย่าปล่อยให้คนผู้นั้นเกิดความคิดที่ไม่พึงจะมี”
เจียงอันเฉิงคร้านจะฟังจึงบอกเสียงเรียบว่า “ท่านแม่ ข้าขอตัวไปเปลี่ยนอาภรณ์ก่อน”
บริเวณด้านนอกดวงอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้า เจียงอันเฉิงจึงหรี่ตาหยี เขารู้สึกราวกับว่าตนเองกำลังอยู่ในห้วงแห่งความฝัน
จนถึงตอนนี้เจียงอันเฉิงยังไม่อยากเชื่อว่าลูกชายตัวดีจะกลับมาวิ่งลิงโลดอย่างที่เคยเป็น
เจียงอันเฉินยังคงตะลึงกับเหตุการณ์ทั้งหมด ทว่ากลับเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
เจียงจั้นคุกเข่าคำนับเฝิงเหล่าฮูหยินสองครั้งก่อนจะลุกขึ้นรีบตามออกไป
เจียงซื่อที่เงียบอยู่นานเอ่ยขึ้นว่า “ท่านย่า หลานขอตัวไปดูท่านพ่อและพี่รองก่อนนะเจ้าคะ”
“ไปเถอะ” เฝิงเหล่าฮูหยินกล่าวอย่างหมดความอดทน
ครั้นคิดว่าทำผิดต่อจวนท่านเสนาบดี เฝิงเหล่าฮูหยินก็ยิ่งไม่ถูกใจเรือนใหญ่มากกว่าเก่า
ในความคิดของนาง การที่เรือนใหญ่ไม่สร้างปัญหาก็นับว่าเป็นเรื่องดีแล้ว แต่หากจะไปหวังว่าจะประสบความสำเร็จนั้นถือเป็นเรื่องเพ้อฝันสิ้นดี
เจียงจั้นวิ่งตามเจียงอันเฉิงไป แล้วไปคุกเข่าอยู่ข้างหน้าผู้เป็นบิดา “ท่านพ่อ ตีลูกเถอะขอรับ ทั้งหมดเป็นความผิดของลูกเอง!”
เจียงอันเฉิงมองลูกชายที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นแต่ไม่ยอมเอ่ยตอบ
ทุกๆ ครั้งที่ลูกชายก่อเรื่องเขาจะตีเพื่อระบายความโกรธ แต่มาคราวนี้กลับไม่แม้แต่อยากขยับมือเสียด้วยซ้ำ ไอ้ลูกไม่เอาไหน แค่ดูก็รู้ว่าทำได้แค่ออกเรือนและมีทายาทสืบสกุล แต่หากเจ้าตัวยังไร้หัวคิดเช่นนี้สงสัยคงต้องพึ่งพาไม้เสียบ้างถึงจะเป็นคนใช้การได้
ไม่ใช่สิ เขามิได้คาดหวังว่าลูกชายจะต้องเป็นคนใช้การได้ ขอเพียงแค่ลูกตัวดีไม่ก่อเรื่อง และใช้ชีวิตสงบเสงี่ยมอยู่รอดปลอดภัย แค่นี้เขาก็แทบจะก้มกราบกรานคารวะฟ้าดินแล้ว
เจียงอันเฉิงรู้สึกผิดหวังยิ่งนัก
เจียงจั้นเงยหน้าขึ้นและมองเข้าไปในดวงตาที่ฉายแววสิ้นหวังคู่นั้น
“ท่านพ่อ…” เจียงจั้นเริ่มทำตัวไม่ถูก
เขาไม่เคยเห็นบิดาเป็นเช่นนี้มาก่อน นั่นทำให้เขายิ่งรู้สึกกลัว
“เจ้าไปกินข้าวเถอะ” เจียงอันเฉิงตอบเสียงเรียบ
เจียงจั้นยังคงอยู่ในท่าเดิมไม่ขยับไปไหน “ท่านพ่อ…”
เขายังคงจ้องหน้าผู้เป็นบิดา เว้าวอนให้อีกฝ่ายลงมือกับเขาอย่างที่เคยทำ
ทำแล้วจะได้รู้สึกสบายใจด้วยกันทั้งคู่
แต่ทว่าเจียงอันเฉิงกลับไม่ยอมทำเช่นนั้น เขาเดินเอามือไขว้หลังกลับเข้าไปในห้อง
เจียงจั้นจ้องมองแผ่นหลังของบิดาด้วยสายตาว่างเปล่า และตระหนักได้ว่า ท่านพ่อที่เคยรูปร่างสูงใหญ่ประดุจภูเขาแข็งแกร่งในความทรงจำของเขา บัดนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว รูปร่างในตอนนี้ซูบลงถนัดตา
ในชั่วขณะนั้นเจียงจั้นรู้สึกราวกับเพิ่งตื่นจากความฝัน
บิดาแก่ตัวลงแล้ว เขาเองก็ไม่อาจดึงดันไม่รู้จักโตได้อีกแล้ว เพราะมิฉะนั้นรังแต่จะทำให้ทุกคนต้องพลอยผิดหวังไปด้วย
เจียงจั้นยกมือขึ้นและฟาดลงที่แก้มตัวเองอย่างแรง ไฉนเขาถึงได้เลินเล่อเช่นนี้ แม้ว่าจะไม่ใช่คนที่เพียบพร้อมด้วยพรสวรรค์ หรือมีความอุตสาหะเหนือผู้อื่น แต่การเป็นลูกที่บิดาสามารถวางใจได้ และการเป็นที่พึ่งให้กับน้องสาวก็มิได้เป็นเรื่องยากเลยสักนิด
แต่เขากลับไม่เคยทำ
เขาช่างไม่เอาไหนเสียจริง!
เจียงจั้นยกมือขึ้นเตรียมจะตบหน้าตัวเองอีกครั้ง แต่ถูกเจียงซื่อคว้ามือเอาไว้เสียก่อน
“น้องสี่?”
เจียงซื่อถอนหายใจเฮือกใหญ่
“พี่รอง นับตั้งแต่นี้ไปพี่เลิกคบกับพวกสหายชั่วพวกนั้นเถิดเจ้าค่ะ”
นางไม่ได้อ้อนวอนขอให้พี่ชายประสบความสำเร็จ ขอเพียงแค่มีชีวิตอยู่รอดปลอดภัยก็เพียงพอแล้ว
เจียงจั้นพยักหน้าหงึกๆ
เขาช่างโง่เขลาเหลือเกินที่ให้ความสำคัญกับสัตย์ของลูกผู้ชายยิ่งกว่าสิ่งใด มาถึงตอนนี้จึงได้รู้ว่า มิใช่ทุกคนที่จะสามารถเรียกว่า ‘สหาย’ คนบางประเภทควรหลีกเลี่ยง ถึงแม้ตนเองจะเรียกเขาผู้นั้นว่า ‘พี่น้อง’ แต่ก็ใช่ว่าเขาจะดูดำดูดี
หากเกิดเรื่องขึ้นกับเขา คนที่จะเสียใจก็คือคนในครอบครัว หาใช่คนที่เขาเรียกว่า ‘สหาย’ ไม่
—————-
[1]เก้าอี้ไท่ซือ คือ เก้าอี้ที่มีพนักพิง ที่วางแขนและมีฐานรองนั่งกว้าง