หยางฟู่ได้ยินอวี้จิ่นกล่าวดังนั้นก็ได้รีบตะโกนออกมาว่า “ไม่ใช่ฝีมือของบุตรชายข้า!”
แท้จริงแล้วเขารู้จักหยางเซิ่งไฉดี เมื่อได้ยินประโยคเมื่อครู่ก็แน่ชัดว่าบุตรชายของตนนั้นเป็นคนก่อเรื่องนี้ขึ้นแน่ แต่บุตรชายของเขาก็ได้ตายจากไปแล้ว เขาจะให้เรื่องราวสกปรกเหล่านี้สาดเทมายังบุตรชายของเขาไม่ได้
อวี้จิ่นยิ้มออกมาเบาๆ แล้วกล่าวว่า “นายท่านหยางจะรีบร้อนปฏิเสธไปเพื่อสิ่งใด ข้ายังไม่ได้กล่าวว่าบุตรชายของท่านเป็นคนทำเลย”
หยางฟู่จึงได้สติกลับคืนมา เมื่อสักครู่อวี้จิ่นเพียงเอ่ยว่าเห็นมือคู่หนึ่ง แต่ไม่ได้กล่าวว่าเป็นความผิดผู้ใด
“เช่นนั้นหมายความว่า ท่านอ๋องมองไม่เห็นเขาผู้นั้นว่าเป็นใคร” เจินซื่อเฉิงคิดว่าหยางเซิ่งไฉเพียงเที่ยวเล่นอยู่กับสหายนักเลงเหล่านั้น คาดไม่ถึงว่ายังมีเรื่องราวเช่นนี้ด้วย
อวี้จิ่นยิ้มขึ้นแล้วกล่าวว่า “ข้าไม่เห็น แต่ในตอนนั้นมีเพียงไม่กี่คนที่อยู่บนเรือ แม้ว่าคุณชายหยางจะโชคไม่ดีและตกลงไปในน้ำเสียชีวิต แต่คนอื่นยังอยู่ดีไม่ใช่หรือ ใต้เท้าเจินลองไปสอบถามดูก็น่าจะรู้ว่ามือคู่นั้นคือมือของผู้ใด”
เขาพอจะมองออกว่าจวนเสนาบดีกรมพิธีการนั้นเกลียดแค้นเจียงจั้นอย่างสุดหัวใจ น่าขันสิ้นดี ทั้งๆ ที่หยางเซิ่งไฉเป็นคนที่ต้องการจะทำร้ายผู้อื่น ส่วนสหายอีกสามคนคือผู้สมรู้ร่วมคิด แต่คนที่ถูกทำร้ายกลับเป็นตนเอง
แน่นอนว่าจวนเสนาบดีกรมพิธีการนั้นเกลียดชังไม่ผิดคน เนื่องจากว่าคนที่ทำให้หยางเซิ่งไฉถึงแก่ความตายคืออาซื่อ แต่การที่ยังไม่รู้ความจริงว่าเป็นเช่นไรก็ได้แต่เกลียดแค้นเจียงจั้น มองไปแล้วดูเหมือนจะกลั่นแกล้งกันอยู่
อวี้จิ่นเป็นคนที่เข้าข้างคนสนิท แม้ว่าตามปกติแล้วเขาจะไม่ชื่นชอบ ดูเหมือนจะรังเกียจสติปัญญาของเจียงจั้นด้วยซ้ำไป แต่ก็ไม่ชอบที่เห็นใครมาทำท่าทางเก่งกาจเช่นนี้
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เขาจึงได้ลองยั่วยวนดูว่าสหายคนสนิทของหยางเซิ่งไฉทั้งสามนั้นจะทำอย่างไร
แท้จริงแล้วพวกเขาทั้งสามจะเลือกทำอย่างไร อวี้จิ่นรู้อยู่แก่ใจดี คนหนึ่งตายไปแล้วแต่อีกสามคนยังมีชีวิตอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นเดิมทีหยางเซิ่งไฉเป็นคนที่คิดจะลงมือ หากทั้งสามคนไม่ยอมกล่าวความจริงออกมา จะต่างอันใดกับการหาเหาใส่หัว
สำหรับจวนเสนาบดีกรมพิธีการที่โกรธแค้นแม้กระทั่งเหยื่อเช่นนี้ ในอนาคตหากว่าอีกสามคนซึ่งชี้ว่าหยางเซิ่งไฉเป็นผู้ก่อเหตุ พวกเขาไม่รู้สึกเกลียดแค้นคงจะแปลก เมื่อถึงเวลานั้น เจียงจั้นก็คงจะถูกเฉยเมยไปเองตามธรรมชาติ ส่วนเรื่องที่เจินซื่อเฉิงจะสงสัยเรื่องระหว่างหยางเซิ่งไฉและเจียงจั้นหรือไม่ เจียงซื่อจะถูกเปิดเผยหรือไม่นั้น อวี้จิ่นมั่นใจว่าคงไม่
การที่เจียงจั้นถูกหลอกให้ขึ้นเรือ ดูจากมุมมองของเขาแล้วคิดว่าในตอนนั้นคงมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับหยางเซิ่งไฉ ดังนั้นฆาตกรจึงไม่น่าจะใช่เขาเป็นผู้ลงมือจัดหา แต่เหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนั้นก็ได้เผาไหม้ร่องรอยของทุกคนไปจนสิ้น
เจินซื่อเฉิงได้ออกคำสั่งให้ชุยอี้และคนอื่นๆ เดินทางมา
ชุยอี้เป็นคนแรกที่เดินทางมาถึง
เจินซื่อเฉิงกล่าวกับหยางฟู่และอวี้จิ่นว่า “ทั้งสองท่านรออยู่ที่นี่ก่อน ข้าจะออกไปสอบปากคำสักหน่อย”
หยางฟู่กล่าวว่าจะออกไปร่วมรับฟังด้วย แต่อวี้จิ่นกลับกล่าวออกมาว่า “ดูเหมือนจะไม่เหมาะสมนัก หากว่าพวกเขาเห็นนายท่านหยางแล้วอาจรู้สึกตื่นตระหนกจนมีผลกระทบต่อคำให้การ”
หยางฟู่ยังคงยืนกรานว่า “เรื่องนี้เกี่ยวกับบุตรชายของข้า ข้ามีสิทธิ์ที่จะรับรู้ถึงสถานการณ์เหล่านั้น”
“เอาอย่างนี้เถิด เช่นนั้นทั้งสองท่านจงออกไปฟังพร้อมๆ กันที่ด้านหลังประตูกั้นเมื่อถึงเวลา” เจินซื่อเฉิงเสนอวิธีการประนีประนอมออกมา
ความดื้อดึงของหยางฟู่นั้นก็มีการเลือกปฏิบัติ บัดนี้คนหนึ่งเปรียบดั่งผู้ยิ่งใหญ่แห่งศาลาว่าการ ส่วนอีกคนหนึ่งก็เป็นเยี่ยนอ๋อง แน่นอนว่าเขาไม่ควรจะเอาแต่ใจตนเองโดยไร้เหตุผล ดังนั้นจึงทำได้เพียงฝืนยินยอม
เจินซื่อเฉิงกะพริบตาเป็นความหมายว่าให้จับตามองให้ดี
อวี้จิ่นเข้าใจถึงความหมายและพยักหน้าเบาๆ
ในไม่ช้าทั้งสองคนก็ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังฉาก และฟังบทสนทนาของเจินซื่อเฉิงกับชุยอี้
ชุยอี้ไม่หวาดกลัวเจินซื่อเฉิงแต่อย่างใด สำหรับเขาแล้วนั่นเป็นเพียงผู้ตรวจการศาลาว่าการพระนคร ซึ่งเทียบไม่ได้กับบิดามารดาของเขาเลย
“ใต้เท้าเจินเรียกข้ามาเพื่อสิ่งใดหรือ”
“มีเรื่องบางเรื่องอยากให้เจ้าช่วยให้การสักหน่อย”
ชุยอี้ดูไร้ความอดทนแล้วต่อว่า “ใต้เท้าเจิน เหตุใดพวกท่านจึงไม่รีบหาคนลอบวางเพลิงให้ได้โดยเร็ว วันๆ เอาแต่จับจ้องข้าอยู่ได้” หรือเป็นเพราะเห็นว่ามารดาของตนไปพักผ่อนในช่วงฤดูร้อน ซึ่งบัดนี้ไม่อยู่ในเมืองหลวงจึงได้ทำตัวสาวหาวกับเขานัก
ชุยอี้รู้จักนิสัย องค์หญิงใหญ่หยางหรงมารดาของตนอย่างเป็นอย่างดี หากว่ามารดาของตนอยู่ในจวนล่ะก็ และรู้ว่าเขาไปเที่ยวเล่นบนแม่น้ำซ้ำยังพลัดตกลงไปในน้ำ ก็คงจะเอาแส้ตีเขายกใหญ่ แต่ต่อให้ทางศาลาว่าการพระนครต้องการจะเรียกเขามาก็คงไม่มีทางยินยอม ไม่เหมือนกับท่านพ่อ
เมื่อชุยอี้นึกถึงแม่ทัพชุย ริมฝีปากของเขาก็เผยอขึ้นเล็กน้อย
การที่เขาเดินทางมาในครั้งนี้ก็เพราะถูกบิดาบังคับ จากคำพูดของบิดาแล้วมีความหมายว่าหากตนสร้างเรื่องเอง ก็จงไปจัดการเอง อย่าได้ทำให้เขาต้องรำคาญใจ
“เจียงจั้นคุณชายรองแห่งจวนตงผิงปั๋วถูกคนผลักตกน้ำจริงหรือไม่” เจินซื่อเฉิงเอ่ยถามโดยไม่สนใจท่าทีของชุยอี้
เนื่องจากคำถามนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ชุยอี้จึงยังไม่ได้เตรียมใจมา ทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปในทันที
เจินซื่อเฉิงจ้องไปที่ท่าทางของชุยอี้ด้วยตาไม่กะพริบ ก่อนที่จะเอ่ยถามประโยคอันน่าตื่นเต้นออกมาอีกหนึ่งประโยคว่า “มีคนเห็นเจ้าผลักเจียงจั้นลงไป!”
“ไร้สาระ!” ชุยอี้แทบจะกระโดดขึ้นมา เขารีบปฏิเสธว่า “หยางเซิ่งไฉต่างหากที่เป็นคนผลัก ไอ้คนที่เห็นนั่นตาบอดหรือไร”
หยางฟู่ที่แอบฟังอยู่ได้ยินดังนั้นก็แทบอดทนไม่ไหว เขาอ้าปากต้องการจะตำหนิว่าชุยอี้กล่าววาจาไร้สาระ แต่อวี้จิ่นที่อยู่ด้านข้างมือไวและรีบเข้าไปปิดปากเขาเอาไว้ หยางฟู่ถูกปิดปากเอาไว้จนไม่อาจส่งเสียงออกมาได้ แต่ดวงตาของเขาก็ยังจ้องไปทางอวี้จิ่นอย่างเคียดแค้น
อวี้จิ่นกระซิบที่ข้างหูเขาเบาๆ ว่า “ท่านหยาง ควรจะอดทนฟังต่อไป ไม่เช่นนั้นข้าจะทำให้ท่านสลบบัดเดี๋ยวนี้”
หยางฟู่เบิกตากว้าง เขาโมโหเสียจนใบหน้ากระตุก เยี่ยนอ๋องกล้าทำเช่นนี้กับเขาได้อย่างไร เขาเป็นถึงบิดาของพระชายาองค์รัชทายาท ต่อให้เป็นฮ่องเต้ เมื่อพบเขาก็ยังต้องไว้หน้าเขา
หลังจากกลับไปแล้วเขาจะไปกราบทูลฮ่องเต้!
ที่ด้านนอกฉากนั้น เจินซื่อเฉิงยกมือขึ้นลูบเคราของตนเองแล้วพยักหน้าอย่างพอพอใจ
เขาว่าแล้วว่าเจ้าอันธพาลเหล่านี้ห่างไกลจากบุตรชายเขามากเหลือเกิน เพียงแค่ประโยคหนึ่งก็สามารถทำให้กล่าวความจริงออกมาได้
เหอะๆ ไม่มีความคิดอ่านเลยเสียจริง
แม้ว่าเจินซื่อเฉิงจะค่อนข้างพอใจกับการแสดงออกของชุยอี้ แต่สีหน้าของเขาก็ไม่ได้เคลื่อนไหวแต่อย่างใด “มองดูแล้วคนผู้นั้นคงจะตาฝาดไป เช่นนั้นเชิญคุณชายชุยเล่าถึงเรื่องราวที่ปิดบังไว้ก่อนล่วงหน้าออกมาเถิด อีกทั้งยังเป็นการยืนยันและลบล้างความสงสัยของตนเองด้วย”
ชุยอี้รู้สึกลังเล สายตาของเขามองไปรอบด้าน
เจินซื่อเฉิงเข้าใจดีถึงความคิดเขาจึงกล่าวว่า “คุณชายชุยวางใจเถิด ที่นี่ไม่ใช่ห้องโถงสอบสวน ไม่มีผู้ใดหรอก อีกอย่างข้านั้นได้สอบถามสหายของท่านอีกสองคนเรียบร้อยแล้ว”
อวี้จิ่นที่อยู่ด้านหลังฉากนั้น อดไม่ได้ที่จะเผยอริมฝีปากขึ้น แต่หยางฟู่กลับโมโหเสียจนหน้าเขียวหน้าเหลือง
เขาจะต้องไปทูลต่อฮ่องเต้ให้ได้ ไม่เพียงจะฟ้องว่าเยี่ยนอ๋องทำตัวไร้มารยาท แต่ยังจะต้องฟ้องว่าผู้ว่าการศาลาพระนครแห่งนี้กล่าววาจาเท็จ
จิตใจของคนเรานั้นก็ช่างประหลาดจริง เดิมทียังมีท่าทางลังเล แต่เมื่อได้ยินว่าคนอื่นยอมรับสารภาพแล้ว อีกทั้งที่นี่ไม่มีผู้อื่นแอบฟังอยู่ เขาจึงได้ถอดใจที่จะปิดบัง
ในไม่ช้าชุยอี้ก็ได้กล่าวขึ้นว่า “หยางเซิ่งไฉมุ่งเป้าหมายไปที่เจียงจั้น เดิมทีข้ากับเจียงจั้นไม่ได้มีเรื่องราวอันใดต่อกัน ดังนั้นเขาจึงได้ยืมชื่อเสียงของอันดีงามของข้า เชิญเจียงจั้นขึ้นเรือไปดื่มสุราด้วย พวกเราจึงได้พากันมอมสุราเจียงจั้น เมื่อเขาดื่มจนเมามายแล้วจึงได้รีบลงมือ คาดไม่ถึงว่าเขายังมีแรงขัดขืนอยู่ ดังนั้นเมื่อหยางเซิ่งไฉโมโหจึงได้ผลักเขาลงไปในแม่น้ำ…”
เจินซื่อเฉิงนั่งฟังด้วยใบหน้าอันไร้ความรู้สึกได้ แต่แววตานั้นกลับโมโหนัก
คนเลวช่างไม่แบ่งแยกอายุจริงๆ ดูเหมือนกับว่ายิ่งอายุน้อยยิ่งแสดงความดุเดือดโหดร้ายออกมาได้มากกว่า
การที่คนเช่นนี้จะถูกแก้แค้นเป็นเรื่องที่ธรรมดาเสียเหลือเกิน
หลังจากที่ชุยอี้ถูกส่งตัวกลับไปแล้ว ชายหนุ่มอีกสองคนก็ถูกนำตัวเข้ามาไต่ถาม
เจินซื่อเฉิงใช้วิธีการคล้ายคลึงกันในการหว่านล้อมชายหนุ่มทั้งสองคนให้กล่าวความจริงออกมา และพบว่าทั้งสองให้การสารภาพคล้ายคลึงกับชุยอี้
ด้วยเหตุนี้เอง เรื่องที่หยางเซิ่งไฉผลักเจียงจั้นลงไปในน้ำจึงไม่มีสิ่งใดจะต้องโต้เถียงอีก