ในเดือนแปดเป็นเดือนฤดูใบไม้ร่วงอากาศสดชื่น แต่สำหรับผู้คนมากมายในจวนตงผิงปั๋วมันช่างมืดมนเหลือเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับนายท่านรองเจียงและภรรยา
บุตรชายของตนมีโอกาสคว้าตำแหน่งจวี่เหรินมาได้ แต่มันกลับบินล่องลอยไปอย่างน่าขมขื่นใจ เขาต้องการที่จะสร้างสถานการณ์เพื่อให้บุตรชายมีชื่อเสียงขึ้นบ้างเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าจะถูกเจี่ยหยวนคนใหม่ตบหน้าอย่างไม่เกรงอกเกรงใจทำเอาเสียจนหน้าชาเช่นนี้
นี่เป็นครั้งแรกที่เซียวซื่อกล่าวต่อนายท่านรองเจียงอย่างตำหนิว่า “หากรู้เช่นนี้ ไม่ควรที่จะเผยแพร่คำตอบของชังเอ๋อร์ออกไปเลย ก็คงจะไม่ทำให้ชังเอ๋อร์ต้องได้รับบาดเจ็บทางจิตใจเช่นนี้…”
“เจ้าจะไปรู้เรื่องรู้ราวอะไร มันเป็นเพียงแค่อุบัติเหตุเท่านั้น!” เดิมทีนายท่านรองเจียงก็รู้สึกอึดอัดใจ เมื่อได้ยินเซียวซื่อกล่าวเช่นนี้ก็ยิ่งโมโหขึ้นไปอีก
เขาไม่คิดว่าตนผิดอะไรที่ช่วยสร้างชื่อเสียงให้กับลูกชายเช่นนี้ เพียงแต่ว่าโชคไม่เข้าข้าง เฮ้อ ช่างโชคร้ายเอาเหลือเกิน
ใครจะคิดถึงเล่าว่าในงานเลี้ยงลู่หมิง[1] จะมีพวกที่กินอิ่มแล้วปากว่าง นำชังเอ๋อร์ไปเปรียบเทียบเหยียบย่ำเจี่ยหยวนคนใหม่? แล้วใครจะคิดถึงกันเล่าว่าเจี่ยหยวนคนใหม่ไม่อาจอดทนได้แม้แต่ประโยคเสียดสีเช่นนี้ เขาจึงได้ทำการเขียนคำตอบของตนออกมา ณ บัดนั้น ก่อนจะฟาดไปบนหน้าของพวกกลุ่มคนที่ยั่วยุตน อีกทั้งเป็นการตบหน้าจวนตงผิงปั๋วอย่างแรง
เมื่อนายท่านรองเจียงคิดถึงเรื่องเหล่านี้ ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นคร่ำเครียด แต่ก่อนหน้านี้ไม่นานจิ่งหมิงฮ่องเต้ดูเหมือนจะปกป้องเจินซื่อเฉิงอย่างเงียบๆ เขาจึงทำได้เพียงอดทนกับความน้อยเนื้อต่ำใจนี้ไว้อย่างเงียบๆ เช่นกัน
หากจะเทียบกันเรื่องตำแหน่งทางราชการ ตัวเขามีตำแหน่งไม่สูงเท่า หากจะเทียบกันในเรื่องของความสามารถทางด้านตำราคัมภีร์ต่างๆ เขาก็สู้ไม่ได้เช่นกัน หากไม่อดทนกับความคับข้องใจนี้เอาไว้ จะให้ถลกแขนเสื้อขึ้นเดินเข้าไปคิดบัญชีหรืออย่างไร อีกอย่างหนึ่ง เรื่องนี้จะให้ไปคิดบัญชีอย่างไรกัน ยิ่งสร้างความวุ่นวายขึ้นก็จะมีแต่ทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะ บัดนี้เขาทำได้เพียงรอคอยให้เรื่องเงียบสงบไปอย่างรวดเร็ว
เซียวซื่อสีหน้าหม่นหมองดุจดั่งมีเมฆหมอกปกคลุม “นายท่าน หากชังเอ๋อร์รับรู้ถึงเรื่องราวภายนอกเขาจะเป็นเช่นไร”
บัดนี้สุขภาพร่างกายของชังเอ๋อร์ฟื้นฟูดีขึ้นมากแล้ว แต่สภาพทางจิตใจกลับถูกทำร้ายอย่างหนัก หลายวันมานี้เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีความสุขเลย และแทบจะไม่ก้าวขาออกไปจากเรือนแม้แต่ก้าวเดียว ด้วยเหตุนี้จึงไม่รับรู้ข่าวลือเรื่องที่ว่าตัวเขามีความสามารถที่จะได้รับตำแหน่งเจี่ยหยวน แน่นอนว่าเรื่องที่ถูกเจี่ยหยวนคนใหม่ตบหน้าเข้าอย่างจัง เขาเองก็ไม่รับรู้
เซียวซื่อไม่กล้าจินตนาการเอาเสียเลยว่าหากบุตรชายรู้แล้วเข้าจะรู้สึกเช่นไร
นางอดไม่ได้ที่จะโทษและโกรธเคืองนายท่านรองเจียงที่เข้าไปยุ่งเรื่องวุ่นวายนี้ แต่เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายหนึ่งแล้วก็ไม่กล้าที่จะกล่าวขึ้นมาอีก
“ให้เวลาผ่านไปสักพักค่อยบอกเรื่องนี้กับชังเอ๋อร์” เมื่อนายท่านรองเจียงนึกถึงบุตรชายคนโต เขาก็ทำได้เพียงถอนหายใจออกมา
เห็นได้ชัดว่าในสอบระดับท้องถิ่นในครั้งนี้ เขาถูกกำหนดมาแล้วว่าจะต้องได้รับคัดเลือก แต่กลับกลายเป็นเช่นนี้ได้เพราะโชคไม่ดี และเมื่อนึกถึงก่อนสอบชิวเหวย บรรดามิตรสหายอีกทั้งเพื่อร่วมงานมากมายได้มาเอ่ยแสดงความยินดีกับเขาล่วงหน้า นายท่านรองเจียงก็อยากจะเอาหน้ามุดดินเหลือเกิน
บัดนี้สีหน้าของเซียวซื่อดูย่ำแย่กว่านายท่านรองเจียงเสียอีก ก่อนหน้านี้นางยังหัวเราะเยาะเย้ยเจียงจั้นว่าเป็นคนไม่เอาไหน แต่ท้ายที่สุดแล้วกลับกลายว่าเจียงจั้นได้เป็นองครักษ์จินอู๋ ส่วนบุตรชายคนโตของนางที่ฝากความหวังเอาไว้กลับออกจากสนามสอบกลางคัน
“นายท่าน ข้าว่าข้าควรหาเวลาไปกราบไหว้พระที่วัดไป๋อวิ๋นสักหน่อยดีหรือไม่ ข้ารู้สึกว่าช่วงนี้เรื่องราวไม่ราบรื่นเอาเสียเลย”
วัดไป๋อวิ๋นคือวัดที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในเมืองหลวงซึ่งตั้งอยู่นอกเมือง มีผู้แสวงบุญเดินทางไปนมัสการธูปเทียนมากมาย
นายท่านรองเฉียงเป็นผู้ศึกษาตำราคัมภีร์ เขาไม่ค่อยจะเชื่อเรื่องพระเรื่องเจ้าเท่าไรนัก แต่ในหลายๆ ครั้งเขาก็เลือกที่จะเชื่อว่ามีอยู่จริงแทนที่จะลบหลู่ ด้วยเหตุนี้การที่เซียวซื่ออยากจะเดินทางไปนมัสการธูปเทียนแก่พระพุทธเจ้า เขาจึงไม่ได้ขัดแต่กลับกล่าวว่า “ไปเถิด ถวายธูปเทียนและตะเกียงน้ำมันให้มากหน่อย”
หลังจากที่สองสามีภรรยาสนทนากันถึงเรื่องราวจิปาถะอยู่สักพัก ก็มีบ่าวรับใช้เข้ามารายงานว่า “นายท่าน ฮูหยิน นายท่านใหญ่ให้คนมารายงานว่าได้รับจดหมายขอเข้าพบของตระกูลเจินขอรับ”
“ตระกูลเจินอย่างงั้นหรือ” เซียวซื่อชะงักและอดไม่ได้ที่จะหันไปมองนายท่านรองเจียง
นายท่านรองเจียงมีปฏิกิริยาตอบกลับไปทันควัน เขาเอ่ยถามบ่าวรับใช้ว่า “ผู้ตรวจการศาลาว่าการพระนครหรือ”
บ่าวรับใช้ตอบกลับว่า “นายท่านใหญ่ไม่ได้กำชับขอรับ บอกเพียงว่าใต้เท้าเจินจะพาคุณชายเจินมาด้วย ให้บ่าวมาถามว่าเมื่อถึงเวลาแล้วท่านว่างหรือไม่”
“เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว” นายท่านรองเจียงบอกแก่บ่าวรับใช้
“ท่านพี่ เจียงอันเฉิงจะพาบุตรชายของเขามาหาเราเพื่อสิ่งใด”
นายท่านรองเจียงนึกถึงเรื่องที่ได้รับความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเพราะเจียงอันเฉิงในตอนนั้น ครั้งนี้เขาตั้งใจเดินทางเข้ามาพบด้วยตนเอง จึงได้คิดขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “บางทีอาจจะเป็นเพราะเรื่องที่งานเลี้ยงลู่หมิง”
สีหน้าของเซียวซื่อเปลี่ยนไปเป็นตกตะลึง นางโมโหแล้วกล่าวว่า “เขาจะตามรังควานมาถึงที่จวนเราเลยหรือ”
นายท่านรองเจียงเบิกตากว้างจ้องมองเซียวซื่อ “สิ่งใดที่เจ้าเรียกว่าตามรังควาน? เจ้าคิดว่าขุนนางขั้นเอกระดับสามเช่นเขา จะมีเวลาว่างเช่นเดียวกับสตรีอย่างเจ้าหรือ”
“แต่ปกติแล้วนายท่านไม่เคยติดต่อกับพวกเรา ในเวลานี้เขากลับพาบุตรชายมาที่จวนเพื่อสิ่งใด”
นายท่านรองเจียงรู้สึกใจสั่นขึ้นมา
บางทีนี่อาจเป็นโอกาสดีที่ตนจะสานความสัมพันธ์กับเจินซื่อเฉิง ส่วนเรื่องที่บุตรชายของตนถูกตบหน้าโดยบุตรชายของเขานั้น ถึงอย่างไรเรื่องเหล่านี้ก็เป็นเรื่องของเด็กๆ จะมีความสำคัญเท่ากับความสัมพันธ์ของขุนนางได้อย่างไร
“ไปเตรียมเสื้อผ้าสำหรับพบแขกให้แก่ข้า” นายท่านรองเจียงตั้งตารอคอยการเดินทางมาถึงของสองพ่อลูกตระกูลเจิน
หลังจากที่เจินซื่อเฉิงส่งจดหมายขอเข้าพบไปได้ไม่นานก็ได้รับจดหมายตอบกลับมา ด้วยเหตุนี้เขาจึงพาเจินเหิงมุ่งหน้าไปที่จวนตงผิงปั๋วอย่างรวดเร็ว
เจินเหิงที่ได้ก้าวเข้าไปสู่ทางที่ปูด้วยหินของจวนตงผิงปั๋วอีกครั้งรู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก
ไม่รู้ว่าจะได้พบนางหรือไม่
แต่สถานการณ์เช่นนี้ ต่อให้เขาจะเป็นถึงเจี่ยหยวน แต่ก็ทำได้เพียงฝากความหวังที่จะได้พบกับนางในดวงใจไว้ที่บิดา
ดวงใจของชายหนุ่มเริ่มเป็นกังวลขึ้นมา
หากแผนการของเขาล้มเหลวแล้วเล่า ก่อนหน้านี้เขาเอาแต่ตื่นเต้นดีใจ จนลืมเอ่ยถามบิดาไปว่าทำเช่นไรถึงจะได้พบนาง
เมื่อได้ยินเจินซื่อเฉิงเอ่ยทักทายกับเจียงอันเฉิง เจินเหิงยังรู้สึกเหมือนตกอยู่ในภวังค์ กระทั่งบทสนทนาโยกย้ายมาเรื่องเขา
“ท่านเจียง เจียงเส้าชิง นี่คือบุตรชายของข้าเอง ในวันนี้ข้าพาเขาเดินทางมาเอ่ยขอขมาลาโทษ บุตรชายของข้าอายุน้อยไม่รู้จักกาลเทศะ หลังจากที่ดื่มสุราเข้าไปมากมายจึงเอ่ยวาจาโดยไม่ยั้งคิด ทำให้จวนปั๋วของท่านต้องพบกับความวุ่นวาย…”
นายท่านรองเจียงรีบกล่าวขึ้นว่า “ใต้เท้าเจิน คำพูดของท่านนี้ทำให้ข้ารู้สึกละอายใจยิ่งนัก บุตรชายข้ากับคุณชายเจิน เดิมทีก็ไม่อาจจะเปรียบเทียบกันได้ ผู้ใดจะรู้เล่าว่าคนภายนอกจะนำไปกล่าวไร้สาระเพียงนั้น”
เจินซื่อเฉิงเหลือบมองไปทางเจินเหิงอย่างรวดเร็ว
เจินเหิงรีบก้าวไปด้านหน้า โค้งคารวะแก่นายท่านรองเจียงแล้วกล่าวว่า “ผู้น้อยช่างโง่เง่า ไม่รู้สัมมาคารวะ ขอท่านได้โปรดอย่าตำหนิผู้น้อยเลย”
นายท่านรองเจียงรีบพยุงเจินเหิงให้ลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า “เจี่ยหยวนจึงจะเป็นผู้มีความสามารถอย่างแท้จริง สีเขียวครามเกิดจากสีน้ำเงิน แต่กลับเด่นกว่าสีน้ำเงิน[2]”
ผู้คนมักกล่าวกันเช่นนี้ ในความคิดของนายท่านรองเจียงเขารู้สึกว่าการชื่นชมยกย่องบุตรชายที่มีความสามารถนั้นถูกต้องแล้ว แต่เมื่อเจินซื่อเฉิงได้ยินดังนั้นกลับกลอกตามองอย่างเงียบๆ
คนที่จัดการคดีด้วยความจริงจังเช่นเขา ไม่ชอบการเอ่ยชมที่เกินความจริงเช่นนี้
อะไรคือการที่เรียกว่าสีเขียวครามเกิดจากสีฟ้าแต่โดดเด่นกว่า ในสมัยที่เขาศึกษาเล่าเรียน ไม่กล้าแม้แต่จะจุดตะเกียงน้ำมันตอนกลางคืน เขาตัวคนเดียวบุกเบิกเข้ามาในราชสำนัก กระทั่งมีตำแหน่งในปัจจุบันนี้ ส่วนบุตรชายของเขาสภาพแวดล้อมทุกอย่างล้วนอำนวยดีกว่าเขามากนัก หากสอบได้ไม่ดีควรจะถูกเขาลากไปจัดการเสียด้วยซ้ำ
นายท่านรองเจียงไม่รู้ตัวหรอกว่าการเอ่ยชมเช่นนั้นจะทำให้อีกฝ่ายขุ่นเคือง เขาจึงได้ยกย่องเจินเหิงออกไปอย่างไม่ลังเลใดๆ
ด้านของเจินเหิงก็อ่อนน้อมถ่อมตนยิ่งนัก “ท่านเอ่ยชมข้าน้อยเกินไปแล้วขอรับ ผู้น้อยยังมีข้อบกพร่องอีกมากมายเหลือเกินที่ต้องแก้ไข ในวันนี้ที่ผู้น้อยเดินทางติดตามท่านพ่อมา เพื่อต้องการจะขอโทษคุณชายใหญ่ตระกูลเจียง ไม่ทราบว่าสะดวกหรือไม่”
“เอ่อ บุตรชายของข้าเกิดป่วยขึ้นในวันที่สอบ บัดนี้ยังพักฟื้นอยู่ เจี่ยหยวนไม่ต้องรู้สึกเสียใจหรือขอโทษบุตรชายข้าหรอก เรื่องเล็กน้อยเท่านี้เองอย่าได้นำไปใส่ใจเลย” นายท่านรองเจียงปฏิเสธอย่างอ้อมค้อม
หากเป็นเวลาปกติแล้ว บุตรชายคนโตของเขามีโอกาสจะผูกสัมพันธ์กับเจินเหิงผู้ที่อยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกันและมีความสามารถเช่นนี้ แน่นอนว่านายท่านรองเจียงคงเห็นดีเห็นงามด้วยเป็นอย่างยิ่ง แต่บัดนี้เขาคงทำได้เพียงปฏิเสธ
จะทำอย่างไรได้เล่า บุตรชายคนโตถูกทำร้ายจิตใจมากพอแล้ว หากเขาถูกกระตุ้นจากเจี่ยหยวนคนใหม่อีกคาดว่าคงจะทรุดลงมากกว่าเดิม นี่คือการสูญเสียที่ไม่อาจชดเชยได้
เจินเหิงจึงโค้งคำนับนายท่านรองเจียงอีกครั้งแล้วกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นผู้น้อยคงต้องรบกวนนายท่านช่วยกล่าวต่อเจตนานี้แก่เขาแทนผู้น้อยด้วย”
เจียงอันเฉิงที่นั่งอยู่ด้านข้างมองไปทางเจินเหิงอย่างเงียบๆ เขาคิดอยู่ในใจว่านี่คือบุตรชายที่ในตอนนั้นพี่เจินต้องการจะให้ตนยกลูกสาวให้หรือ ท่าทางหน้าตาดูดีทีเดียว…
—————————–
[1] งานเลี้ยงลู่หมิง งานเลี้ยงหลังการจัดสอบเคอจวี่
[2] สีเขียวครามเกิดจากสีน้ำเงิน แต่กลับเด่นกว่าสีน้ำเงิน แปลว่า ศิษย์ได้รับการอบรมรมสั่งสอนจากอาจารย์ แต่เก่งกว่าอาจารย์อีก เป็นสำนวนที่อาจารย์มักใช้ชมลูกศิษย์ ในที่นี้ เจียงเส้าชิงต้องการบอกว่าเจินเหิงโดดเด่นกว่าเจินอันเฉิง