ความกังวลใจของเจียงอีทำให้เจียงซื่ออดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “พี่ใหญ่! เรี่ยวแรงของข้าจะมากมายเพียงใดเชียว ข้าฟาดเข้าไปแค่สองครั้งไม่ทำให้ใครถึงแก่ชีวิตหรอก”
ในคืนนั้นนางสามารถจัดการกับหยางเซิ่งไฉได้โดยไม่แม้แต่จะกะพริบตา แต่สำหรับชายแปลกหน้าสองคนนี้ต่อให้นางรู้ดีว่าในอนาคตทั้งสองอาจจะทำร้ายนางได้ แต่อย่างน้อยนางก็ไม่อาจฆ่าคนได้เช่นมด
ถึงอย่างไรนางก็ยังใจอ่อน
เจียงซื่อก้มหน้าลงมองไปยังมือของตนก่อนจะหัวเราะตนเอง
นั่นสินะ การที่นางไม่ได้จัดการฆ่าพวกเขาไปเสีย ก็มีเหตุผลสำคัญอยู่หนึ่งประการ สองคนนั้นมองไปแล้วดูเหมือนจะกระทำการลับๆ ล่อๆ หลังจากได้สติกลับคืนมาคงจะไม่ไปร้องเรียนกับทางวัดว่าถูกใครบางคนตีจนสลบ แต่หากว่านางทำใครให้ถึงแก่ชีวิต คาดว่านางคงจะต้องพบกับใต้เท้าเจินอีกครั้ง
เจียงซื่อรู้สึกว่านางควรจะอยู่ให้ห่างจากใต้เท้าเจินเป็นดี
เมื่อได้ยินว่าไม่มีผู้ใดถึงแก่ชีวิต แต่เจียงอีก็เริ่มกังวลขึ้นอีกครั้ง “สองคนนั้นจะสืบพบพวกเราหรือไม่”
เจียงซื่อยิ้มกว้างแล้วเอื้อมมือออกไปโอบแขนของเจียงอี “วางใจเถิดพี่ใหญ่ วัดไป๋อวิ๋นใหญ่โตถึงเพียงนี้ และในวันนี้ก็มีผู้แสวงบุญมาถวายเครื่องหอมมากมาย คนเช่นพวกเขาคงต้องการจะหลบซ่อนตัวไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนหรอก หากออกมาสอบสวนอย่างโจ่งแจ้ง แน่นอนว่าพวกเขาต้องเสียเปรียบ”
“แต่ว่าพวกเขากำลังตรวจสอบว่าเจ้าเป็นใคร หากรู้ว่าเจ้าเดินทางมาวัดไป๋อวิ๋นก็คงจะลำบากน่าดู” เจียงอีขมวดคิ้วเข้าหากัน นางไม่อาจคลายกังวลใจได้เลย
สำหรับสตรีที่ไม่เคยออกมาจากจวนเช่นนางนี้ เรื่องที่พบในวันนี้บอกได้ว่าช่างน่าตื่นเต้นเหลือเกิน แม้แต่ตอนนี้ขาของนางก็ยังอ่อนแรง
“พี่ใหญ่วางใจเถิด วันนี้ข้าเช่ารถมา อีกอย่างต่อให้พวกเขารู้แล้วอย่างไรเล่า พวกเขาจะสงสัยหรือว่าข้าเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆ จะใช้ไม้ฟาดพวกเขาจนสลบได้?”
เจียงอีอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เมื่อได้ยินน้องสาวกล่าวเช่นนี้ นางก็คิดว่าตัวเองตื่นเต้นจนเกินไป
“พี่ใหญ่ พี่ควรจับตามองดูอาหยาเอาไว้ อย่าให้นางเอ่ยไร้สาระก็จะไม่มีปัญหา”
เจียงอีพยักหน้าเบาๆ
ตามปกติแล้วแม้นางจะเป็นคนอารมณ์ดี แต่ก็แยกแยะถึงความสำคัญได้ นางจะไม่มีวันปล่อยให้บ่าวรับใช้ตัวเล็กๆ มาทำเรื่องของนางให้เสียหายแน่ เมื่อนึกถึงฉากที่น้องสาวทำให้อาหยาตกใจกลัวจนหน้าซีด อารมณ์ของเจียงอีก็ดูซับซ้อนขึ้นไปอีก ที่แท้น้องสี่ของนางไม่ใช่เด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่ดื้อรั้นและเอาแต่ใจอีกต่อไป แต่นางมีทักษะในการฆ่าที่สตรีหลายคนไม่มี สิ่งนี้ทำให้เจียงอีรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา จะว่าไปเป็นเพราะมารดาจากโลกนี้ไปเร็ว ส่วนนางในฐานะพี่สาวก็ไร้ประโยชน์ จึงทำให้น้องสี่พัฒนาตนเองให้แข็งแกร่งเช่นนี้
“น้องสี่ ในตอนนั้นเจ้าไม่กลัวหรือ เหตุใดจู่ๆ ดวงตาของเขาจึงลืมไม่ขึ้นเล่า” เมื่อคิดถึงภาพที่อยู่ตรงหน้าเมื่อครู่ เจียงอีก้อรู้สึกหวาดกลัวอยู่เรื่อย
เจียงซื่อหยิบคำพูดที่นางเตรียมไว้ก่อนหน้านี้ออกมากล่าวว่า “ผงพริกเข้าตาของเขา แน่นอนว่าเขาคงไม่อาจลืมตาได้”
เจียงอีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ด้วยความกลัวจากประสบการณ์เมื่อสักครู่ทำให้นางสับสน นางนิ่งเงียบไปสักพักแล้วรู้สึกว่ามันช่างแปลกประหลาด แต่ไม่รู้ว่าแปลกประหลาดตรงไหน
ทันใดนั้นเองน้ำเสียงอันอ่อนโยนของชายหนุ่มก็ดังขึ้น “อีเหนียง เจ้าอยู่ข้างในหรือไม่”
เจียงซื่อเรียกเบาๆ ว่า “พี่ใหญ่”
เจียงอีพยักหน้าอย่างรู้เท่าทัน “ข้ารู้แล้ว ข้าจะไม่บอกกับพี่เขยเจ้าแน่”
น้องสาวนางกังวลใจไปมากจริงๆ ต่อให้ไม่มีสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นในภายหลัง แต่การที่พบชายแปลกหน้าในกระท่อมจากการหลบฝน เรื่องนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่น่าพูดถึงนัก แน่นอนว่านางคงจะไม่พูดมันออกไป
เจียงอีจัดแจงเสื้อผ้าของนางก่อนจะเดินไปที่ประตูอย่างรวดเร็วแล้วเปิดออก ยิ้มให้กับจูจื่ออวี้กล่าวว่า “อยู่เจ้าค่ะ น้องสี่ก็อยู่ด้วย”
จูจื่ออวี้ยืนอยู่นอกระเบียงตรงประตู สายตามองเข้าไปด้านใน
เจียงซื่อย่อเข่าเล็กน้อย “พี่เขย”
จูจื่ออวี้พยักหน้าแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มกับเจียงซื่อว่า “ในเมื่อน้องสี่อยู่ที่นี่ด้วย พวกเจ้าก็สนทนากันไปเถิด ข้าจะไปที่ห้องรับรองด้านข้าง”
เสื้อผ้าของเขาเปียกไปครึ่งหนึ่ง ดูเหมือนผมและใบหน้าของเขาก็เปียกด้วย เจียงอีมองแล้วปวดใจยิ่งนัก
เจียงซื่อเป็นคนเฉลียวฉลาด นางรีบเดินไปที่ประตู กล่าวว่า “พี่ใหญ่ พี่เขย เช่นนั้นข้าไม่ขอรบกวนแล้ว ประเดี๋ยวตอนรับประทานอาหารข้าค่อยมาหาพี่”
เมื่อเห็นว่าเจียงซื่อทำท่าจะเดินจากไป ใบหน้าอันขาวผ่องของเจียงอีก็แดงเรื่อ แล้วกระซิบกับจูจื่ออวี้ว่า “ทำเรื่องตลกให้น้องสี่เห็นอีกแล้ว”
จูจื่ออวี้ชำเลืองมองดูหญิงสาวที่เดินจากไป จากนั้นก็ละสายตามามองที่เจียงอี เขาเอ่ยถามว่า “เปียกฝนหรือ”
เจียงอีที่ปฏิบัติต่อจูจื่ออวี้อย่างจริงใจตลอดมา นางทำได้เพียงโกหกว่า “อืม ข้ากับน้องสี่กำลังจะเดินกลับมาถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าฝนจะรีบตกลงมาเสียก่อนจึงทำให้เสื้อผ้าเปียกปอน”
“ข้าได้กำชับให้บ่าวรับใช้ไปหยิบร่มจากอาจูมา แต่ได้ยินว่าอาหยาเดินทางมาเอาร่มไปก่อนหน้านี้แล้ว” จูจื่ออวี้กล่าวขึ้นลอยๆ
หัวใจของเจียงอีจมดิ่งลง นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหม่า
“เป็นอะไรหรือ”
เจียงอีได้แต่ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ บ่าวรับใช้ฝีเท้ารวดเร็วยิ่ง เมื่อตอนที่เกิดลมพัดข้าจึงได้สั่งให้นางกลับมาเอาร่ม แต่ฝนตกหนักเหลือเกิน ต่อให้กางร่มก็ยังทำให้เสื้อผ้าเปียกปอนไปกว่าครึ่ง มาเถิดข้าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ท่าน หากใส่เสื้อผ้าอับชื้นอาจทำให้เป็นหวัดได้”
เจียงอีเอื้อมมือไปปลดเข็มขัดของจูจื่ออวี้ จู่ๆ จูจื่ออวี้ก็เอ่ยถามขึ้นว่า “ในวันนี้เจ้านัดกับน้องสี่ไว้แล้วใช่หรือไม่”
มือของเจียงอีชะงักลง “นางส่งจดหมายมาถามข่าวคราวของข้าในช่วงนี้ เป็นจังหวะเหมาะเจาะกับที่ข้าจะเดินทางออกมาจึงได้บอกกับนาง”
“อ้อ เช่นนี้นี่เอง” จูจื่ออวี้ยกแขนขึ้นให้ความร่วมมือกับนาง “สองพี่น้องเจ้ามีความสัมพันธ์ที่ดีนัก หากว่าเจ้าคิดถึงน้องสี่ก็ชวนให้นางมาที่จวนเราเถิด อย่าได้กังวลเรื่องของท่านแม่เลย หากตามปกติแล้วมีญาติเดินทางมาเยี่ยมเยียน ท่านแม่ก็ไม่ว่าอะไรหรอก”
ดวงตาของเจียงอีรู้สึกมีน้ำตาคลอ นางพยักหน้าเงียบๆ
นางแต่งเข้าไปในตระกูลจูก็หลายปีแล้ว และทุกอย่างล้วนผ่านไปได้ดี มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่ทำให้นางรู้สึกเยือกเย็นดุจเดินอยู่บนน้ำแข็ง นั่นก็คือท่าทีของเเม่สามีที่มีต่อนาง แต่จะว่าไป แม่สามีของนางก็ไม่ได้เป็นเฉพาะกับนางแค่คนเดียว แต่เป็นกับรุ่นลูกหลานทุกคน เนื่องจากนางเป็นสะใภ้คนโต แต่งงานกับบุตรชายคนโตที่มีอนาคตไกล ด้วยเหตุนี้เองแม่สามีจึงได้เข้มงวดกับนางมากกว่าคนอื่น
เดิมทีเจียงอีเป็นคนที่มีอารมณ์อ่อนไหว ประกอบกับบัดนี้นางยังไม่มีบุตรชายจึงทำให้ไม่มั่นคงเท่าไรนัก ตามปกติแล้ว แม้แต่กลับไปที่จวนบ้านเกิดของตนก็แทบนับครั้งได้ หากจะบอกว่านางไม่รู้สึกโศกเศร้าใจก็คงเป็นไปไม่ได้ อีกอย่าง ต่อให้นางรู้สึกคับข้องและเศร้าโศกใจเพียงใด หากเทียบกับความรักที่ตนได้มาจากชายหนุ่มผู้นี้ มันก็ไม่ได้สำคัญเลย
เมื่อจูจื่ออวี้เห็นดวงตาของเจียงอีแดงเรื่อ ริมฝีปากของเขาก็ขยับยิ้มขึ้นเล็กน้อย
หลังจากที่เจียงซื่อเดินออกมา ก็พบว่าเพียงมีฝนปรอยๆ สายลมเย็นที่พัดพาอากาศบริสุทธิ์กับกลิ่นของดินโคลนปะทะมายังใบหน้าของนาง เมื่อนางสูดดมเข้าไปสัมผัสได้ถึงกลิ่นแรงเป็นพิเศษ
เมื่อกลับยังห้องรับรอง เจียงซื่อจึงได้ผ่อนคลายลงแล้วนึกไตร่ตรองที่มาที่ไปของชายสองคนนั้น หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ นางก็ตัดสินใจว่าเรื่องที่นางรู้เกี่ยวกับชายสองคนนี้ หลังจากนางกลับไปแล้วจะต้องบอกให้อวี้จิ่นรับรู้อย่างรวดเร็ว
…..
ในศาลารกร้างที่อยู่ลึกเข้าไป ณ วัดบนภูเขา ในที่สุดชายมีเคราก็ปลุกชายชุดคลุมยาวให้ตื่นขึ้น
ชายชุดคลุมยาว อดทนกับความปวดหัวจนแทบจะระเบิดแล้วเอ่ยถามว่า “เกิดอะไรขึ้น”
“ไม่รู้!”
“ไม่รู้งั้นหรือ” ชายชุดคลุมยาวมีความรู้สึกเหมือนแทบบ้า
ในตอนนั้นเขาถูกไม้กระบองตีเข้าที่ศีรษะ จึงไม่รู้และมองอะไรไม่ชัด แต่เจ้าหมอนี่กลับบอกว่าไม่รู้ด้วย
ชายเคราครึ้มก็รู้สึกอึดอัดใจเช่นกัน “นั่นสิ เมื่อครู่ตอนที่ข้าเดินมาถึงตรงนี้ จู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าถูกอะไรแทงเข้าที่ผิวหนังจากนั้นดวงตาข้าก็ลืมไม่ขึ้น มันมองไม่เห็นอะไรเลย”
“แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่เอ่ยเตือนข้า”
ชายเคราครึ้มทำสีหน้าไม่น่ามอง “ในตอนนั้นข้าไม่สามารถเคลื่อนไหวหรือส่งเสียงใดได้เลย หนามแหลมที่แทงเข้ามาในร่างกายข้าน่าจะมีพิษอยู่”
ชายชุดคลุมยาวตรวจดูบริเวณที่ชายเคราครึ้มถูกหนามแทง พบว่าเป็นเพียงแผลเล็กๆ เท่านั้น สีหน้าของเขาเคร่งขรึมขึ้นมาทันใด “บาดแผลเล็กเท่านี้ทำให้เจ้าไม่อาจเคลื่อนไหวหรือส่งเสียงได้ อีกฝ่ายหนึ่งไม่ธรรมดาจริงๆ”
เขามองไปยังรอยสีแดงที่ทิ้งไว้บนใบหน้าจนเกิดเป็นคราบเนื่องจากน้ำตาของชายเคราครึ้ม ก่อนจะเอื้อมมือไปเช็ดแล้วชิมมัน ทันใดนั้นดวงตาเขาก็เบิกกว้าง
ผงพริก?