ทันทีที่ออกมาจากป่า แสงก็สว่างจ้าขึ้นมาโดยพลัน เสียงความคึกครื้นจากแม่น้ำจินสุ่ยดังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ในอากาศก็ยังอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมจางๆ ของชาด
เจียงซื่อหยุดกึก “ไม่ต้องไปส่งแล้ว ข้ากลับเองได้”
อวี้จิ่นขมวดคิ้ว
“เจ้าต้องสืบคดีไม่ใช่หรือ รีบไปจัดการงานเจ้าเถอะ”
อวี้จิ่นไม่เอ่ยปากพูดอะไรออกมา แล้วคว้าแขนเจียงซื่อเดินออกไป ทว่านางกลับดิ้นขัดขืน “ไม่จำเป็นต้องไปส่ง มีเหล่าฉินกับอาเฟยอยู่ ใช้เวลาไม่นานก็ถึงจวนแล้ว หากท่านไปด้วยมันจะเป็นที่ดึงดูดสายตาเสียเปล่า”
เมื่อเห็นท่าทางอันแน่วแน่ของนาง อวี้จิ่นจึงทำได้แค่ล้มเลิกความตั้งใจ
เมื่อครู่ได้ใกล้ชิดกันเล็กน้อย เขาจึงต้องแสดงออกให้มันดีหน่อยสิ
หลงต้านกับเหล่าฉินคอยเฝ้าดูอยู่ไม่ไกล
เจียงซื่อเดินออกไป พยักหน้าให้เหล่าฉิน “พวกเราไปกันเถอะ”
แม้เห็นว่านางเดินออกไปไกลแล้ว อวี้จิ่นก็ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
หลงต้านเดินตรงเข้ามา “เจ้านายขอรับ ท่านกับคุณชายคนนั้นเป็น…เป็นอย่างไรหรือ”
ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเจ้านายจะเอาดีด้านนี้!
หลงต้านขนลุกขึ้นมาทั้งตัว แอบพึมพำเบาๆ ว่าอันตรายมาก
โชคดีที่เจ้านายแยกเรื่องส่วนตัวกับเรื่องทั่วไปได้อย่างชัดเจน ไม่เช่นนั้นหากเสนอความต้องการอะไรออกมาต่อเขา เขาควรจะตอบตกลงหรือปฏิเสธดี
ปัญหาเช่นนี้ แค่คิดหลงต้านก็รู้สึกปวดหัวแล้ว
อวี้จิ่นมองหลงต้านด้วยความประหลาดใจ “ดูไม่ออกหรือว่านั่นคือคุณหนูเจียง”
เขาคงคิดอยากจะพาผู้ชายเข้าไปในป่าหรอกนะ!
หลงต้านตะลึง น้ำเสียงเปลี่ยนเล็กน้อย “ดูไม่ออกขอรับ คุณหนู คุณหนูเจียงแต่งตัวเป็นชายเช่นนี้…”
เขาเคยเห็นเจียงซื่อแต่งตัวเป็นชาย ดูๆ แล้วก็คล้ายคุณชายเจียงเอ้อร์มาก ไม่เหมือนในคืนนี้เลย
“ดูคนดูแค่เพียงหน้าตางั้นหรือ โง่จริง!” อวี้จิ่นเขกหัวหลงต้าน แล้วเดินไปข้างหน้า
หลงต้านรีบเดินตามไป โดยเดินไปทางริมแม่น้ำจินสุ่ยตามเจ้านาย สายตาที่เฉียบคมพบว่ามีใบไม้ติดอยู่ที่ผมอวี้จิ่น
เขายื่นมือออกไปหยิบใบไม้
อวี้จิ่นชะงักเท้า หันกลับมามอง
หลงต้านชูใบไม้ขึ้นมา เอ่ยขึ้นด้วยความยำเกรง “เจ้านายขอรับ อีกไม่นานที่จวนของเราจะมีนายหญิงแล้วใช่หรือไม่ขอรับ”
เจ้านายลงมือเร็วเสียจริง ในป่าเชียวนะ!
“พูดมาก!” อวี้จิ่นทำหน้าขรึม ทว่ามุมปากกลับยกขึ้น
น่าเสียดายที่ความรู้สึกแบบนี้ไม่อาจพูดกับหลงต้านได้มาก หากเป็นเอ้อร์หนิวก็คงดี อย่างน้อยก็สามารถลูบหัวเอ้อร์หนิวได้หลายๆ รอบ
“ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด ไปที่เรือลำต่อไปเถอะ”
หลงต้านแทบจะลื่นล้ม เอ่ยขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “เจ้านายขอรับ ท่านไปเดินเตร่ในเรือบุปผาคุณหนูเจียงไม่ว่าอะไรหรือ”
อวี้จิ่นครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้น “นางบอกว่าให้ข้ารีบไปจัดการธุระ”
หลงต้านเอามือตบหน้าผาก “คุณหนูเจียงกำลังโกรธอยู่แน่ๆ!”
“นางไม่ได้โกรธ”
“หากไม่โกรธ ก็แสดงว่าไม่ได้มีใจให้”
“ไม่มีใจ?” อวี้จิ่นน้ำเสียงขรึมลง
“ท่านคิดดู หากท่านพบว่าคุณหนูเจียงไปเดินเตร่ที่ซ่องชายชาตรี ท่านจะรู้สึกอย่างไร”
อวี้จิ่นครุ่นคิด
ไม่คิดจะดีกว่า…
“เจ้านายขอรับ ท่านไปส่งแม่นางเจียงเถอะ เรือบุปผาพวกนั้นต้อนรับแขกทั้งคืน ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วมันก็ไม่มีทางหายไปไหน จะสืบหาเวลาไหนก็ย่อมได้”
อวี้จิ่นพยักหน้าลงโดยธรรมชาติ
ตาแก่เจินซื่อเฉิงนั่นเอาใจเก่งเกินไปแล้ว เขาลืมความตั้งใจแรกที่มากรมอาญาไปเลย
เขาเพียงแค่ทำเพื่อเสด็จพ่อพอเป็นพิธีเท่านั้น หรือเขาจะต้องเป็นขุนนางที่ตัดสินคดีได้ราวกับเทพเจ้าจริงๆ
จู่ๆ อวี้จิ่นก็รู้สึกว่าการที่ไม่ไปส่งเจียงซื่อเมื่อครู่นั้นดูโง่มาก ช่างไม่รู้อะไรและคิดว่านางยอมให้เขาไปเดินเตร่ที่เรือบุปผาจริงๆ
“เช่นนี้ เจ้าไปเดินสำรวจดูที่เรือ อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่นล่ะ” อวี้จิ่นเอ่ยกำชับออกมา
หลงต้านยิ้มหน้าบานเป็นกระด้ง
อวี้จิ่นชำเลืองมองเขา
หลงต้านกลับมาทำหน้าจริงจังอย่างรวดเร็ว “หรือว่าเจ้านายไปสืบ ส่วนข้าน้อยไปส่งคุณหนูเจียงแทนท่านดี”
“ไสหัวไป”
พระจันทร์เสี้ยวลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ บนพื้นราวกับถูกปกคลุมด้วยน้ำค้าง
อาซื่อสังเกตเห็นเหล่าฉินเดินแปลกๆ จึงเอ่ยถามขึ้น “เหล่าฉิน เป็นอะไรไปหรือ”
เหล่าฉินตอบอย่างลำบากใจ “ถูกเตะเข้าที่ขาน่ะขอรับ รู้สึกเจ็บเล็กน้อย ลูกน้องของคุณชายอวี๋ฝีมือไม่เลวเลย”
หากเป็นตอนยังหนุ่มล่ะก็ เขาคงฝีมือสูสีกับคู่ต่อสู้ ทว่าตอนนี้ร่างกายคงไม่แข็งแรงเท่าเขาแล้วล่ะ
แต่ว่าถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องสู้จนสุดชีวิต เขามั่นใจว่าตัวเองไม่ด้อยไปกว่าหลงต้านแน่ คงไม่ถึงขั้นที่ต้องสู้กันจนตัวตายหรอก
“กลับไปทายาสมุนไพรกระตุ้นโลหิตเสีย” เมื่อเห็นสีหน้าโทษตัวเองของเหล่าฉินเจียงซื่อจึงเอ่ยปลอบขึ้น “เดิมลูกน้องของเขามีชื่อเสียงลือนามอยู่แล้ว เจ้าไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบก็ดีมากแล้ว”
ไม่ว่าจะเป็นหลงต้านที่หน้าตาทะเล้นหรือเหลิงอิ่งที่สุขุมพูดน้อย ขณะที่อยู่ในสนามรบพวกเขาล้วนฆ่าคนได้โดยไม่กะพริบตา เป็นพวกที่ปีนขึ้นมาจากกองคนตายจริงๆ
รถม้าที่เช่ามาจอดอยู่ในมุมที่ไม่ค่อยเด่นนัก อาเฟยรอจนรู้สึกร้อนใจเล็กน้อย พอเห็นเจียงซื่อกับเหล่าฉินเดินตามกันมา ก็รีบเดินเข้าไปรับ
“คุณหนู ในที่สุดก็กลับมาแล้ว!”
หากยังไม่ออกมาอีก เขาคงสงสัยไปแล้วว่าคุณหนูเจียงไปถูกตาต้องใจสตรีในหอเยี่ยนชุน
“ขึ้นรถก่อน” เจียงซื่อขึ้นรถม้าไปอย่างรวดเร็ว พลางหันมองแม่น้ำจินสุ่ยที่สว่างจ้าราวกับตอนกลางวันแวบหนึ่ง
แม่น้ำจินสุ่ยในเวลานี้คึกครื้นกว่าตอนที่นางเพิ่งมาเมื่อครู่เสียอีก ทั้งเสียงหัวเราะครื้นเครง เสียงดนตรี หรือเสียงต่างๆ ที่ดังขึ้นมามากมายราวกับถูกห้อมล้อมไปด้วยแป้งชาด กลิ่นเครื่องหอมที่อบอวลโดยไร้รูปรส มันเป็นเสียงที่ทำให้หน้าแดงใจเต้นระส่ำ ซึ่งค่อยๆ ดังเข้ามาในหูทีละเล็กทีละน้อย
คนที่ได้ยินก็รู้สึกขัดหูและรู้สึกขัดใจ เรือบุปผาที่ลอยอย่างอิสระอยู่ในแม่น้ำจินสุ่ยมีไว้ก็เพื่อสำหรับคนที่อยากจะปลดปล่อยพวกนั้น
ไม่รู้ว่าเขาจะไปที่เรือลำไหนกัน
รูปร่างหน้าตาอย่างเขา แน่นอนว่าคณิกาที่สวยเป็นอันดับต้นๆ ต่างก็ยินยอมที่จะอยู่กับเขาแน่
จู่ๆ ในหัวของเจียงซื่อก็มีภาพหญิงงามอันดับหนึ่งอิงอิงของหอเยี่ยนชุนปรากฏขึ้นมา
ชุดกระโปรงสีแดง มวยผมแบบหลวมๆ เนินอกที่ขาวนวล และเท้าเปล่าทาสีเล็บคู่นั้น…
เจียงซื่อเม้มปากส่ายหน้า
บอกไปแล้วว่าไม่เป็นไร แล้วนางจะคิดฟุ้งซ่านไปเพื่ออะไรกัน
นางยกผ้าม่านขึ้นแล้วมุดเข้าไปในรถ เจียงซื่อแอบน้อยใจและดูถูกตัวเองอยู่เงียบๆ
ในไม่ช้า ความขัดแย้งในใจของสตรีก็แตกสลายหายไปราวกับฟองสบู่
เจียงซื่อเกร็งไปทั้งตัว พยายามเอ่ยถามเสียงนิ่ง “ใคร”
กริชอันเย็นเฉียบที่จี้อยู่ตรงเอวด้านหลังขยับเล็กน้อย