คำพูดนี้ ถือว่าพระองค์ได้บอกกล่าวแก่นางแล้ว
ทั้งยังเป็นการประกาศออกไปว่า ตู๋กูซิงหลันมีพระองค์คอยปกป้องอยู่!
ใครกล้าแตะต้องนาง คนนั้นต้องตาย!
นางหมายหัวใคร คนนั้นต้องตาย !
ตรัสเบาๆเพียงประโยคเดียว แต่เสียงกลับดังสะท้อนกลับไปมาในอากาศทั่วทั้งเผ่ามังกรทมิฬ แม้แต่เปลวเพลิงที่ลุกไหม้หรือน้ำทะเลก็ไม่อาจขวางกั้นเอาไว้ได้
ทุกผู้ทุกนามต่างก็ได้ยินพระดำรัสของฮ่องเต้ผู้นี้อย่างชัดเจน พวกเขาต่างก็นิ่งอึ้งไป
แค่ตู๋กูซิงหลันก็แข็งแกร่งจนคนต้องเกรงกลัวแล้ว นี่อยู่ๆก็มีฮ่องเต้เผ่ามนุษย์ปรากฏตัวขึ้นมาอีก…..จะต้องน่าหวาดผวาถึงเพียงไหน?
เขาสามารถสกัดกั้นการโจมตีของอสุรกายโลกันตร์เอาไว้ได้อย่างง่ายดาย ตอนนี้ก็ปรากฏตัวขึ้นมาตรงหน้าองค์ราชินีสองแม่ลูกแล้ว
พอสะบัดดาบออกมาก็มุ่งจะปลิดชีวิตขององค์ราชินีในทันที?
หวาชางสุ่ยตกตะลึงพรึงเพริด รอยบาดตรงลำคอมีหยดเลือดหยดออกมาราวเม็ดมุกน้อยๆ
เจ็บจริง
จีเฉวียนสีพระพักตร์เย็นชาดุจน้ำแข็ง พระหัตถ์ข้างหนึ่งยกขึ้นมา ดาบดำทองวาดออกไปครั้งหนึ่งเปล่งจิตดาบที่แข็งแกร่งออกมา
หวาชางสุ่ยกุมพัดวายุเอาไว้ในมือ ใช้กำลังออกไป ปัดป้องดาบของจีเฉวียนเอาไว้ พัดวายุถูกกรีดผ่านจนส่งเสียงบาดหู เกิดเป็นพระกายไฟมากมายขึ้นมา
ข้อมือของนางชาจนแข็งค้าง กัดกรามจนฟันแทบแตก!
จีเฉวียนตั้งพระทัยจะเอาชีวิตของนางจริงๆ!
จิตดาบของพระองค์ที่ทะลวงผ่านพัดวายุไป พุ่งเข้าทำลายเศษซากวังหลวงด้านหลังองค์ราชินีจนกลายเป็นพื้นราบ
ไอหยินที่เย็นยะเยือดถึงขีดสุดแผ่กำจายออกมาโดยรอบ พื้นที่ทั้งหมดเหมือนกับจมดิ่งลงสู่ความมืดมิดในชั่วพริบตา รอบกายมีแต่ความเหน็บหนาวและวังเวงของความตาย
ทุกคนในที่นั้นต่างเห็นชัดว่า ฮ่องเต้เผ่ามนุษย์ที่อยู่ๆก็ปรากฏพระองค์ขึ้นมานั้น เป็นมนุษย์ธรรมดา!
แต่ว่าทำไมมนุษย์ธรรมดาถึงได้มีพลังที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ได้กัน?
ความตื่นตะลึงนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าการได้เห็นอสุรกายโลกันตร์ปะทะกับตัวประหลาดที่มีใบหน้ามนุษย์นั่นเลย!
ตู๋กูซิงหลันยืนอยู่บนศีรษะอันใหญ่โตของใบหน้ามนุษย์ผู้นั้น เส้นผมสีทองของเขาพลิ้วไหวกระจายรายล้อมอยู่รอบตัวนาง ราวกับคลื่นเส้นไหมสีทองนับพันนับหมื่นกำลังเคลื่อนไหว
สายตาของนางพุ่งผ่านแผ่นน้ำแข็งหนาๆในทะเลและอสุรกายโลกันต์ที่มีร่างใหญ่โตไปยังร่างของจีเฉวียนที่อยู่ไกลออกไป
นางเห็นแต่เพียงเงาหลังของเขาเท่านั้น เส้นผมสีดำกำลังพลิ้วไหว รอบกายมีแต่กลุ่มหมอกสีดำรายล้อม
ดาบในมือขยับขึ้นมาอีกครั้ง ฟันลงไปบนร่างของหวาชางสุ่ยอย่างไร้ความปรานี
หวาชางสุ่ยยังคงใช้พัดวายุป้องกันเอาไว้ ตอนนี้นางคิดจะใช้พลังวิญญาณทั้งหมดในร่างสะบัดพัดออกไปอีกสักครั้ง สั่งสอนให้เผ่ามนุษย์ที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำผู้นี้ดับดิ้นแหลกสลาย แต่ว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ได้เปิดโอกาสให้นางแม้แต่น้อย
เขาใช้ดาบได้อย่างรวดเร็ว พละกำลังแข็งแกร่ง ทุกดาบต่อเนื่องกัน ทำให้นางได้แต่รีบร้อนป้องกัน ไม่มีโอกาสจะลงมือกลับไปได้เลย
เยี่ยเฉินที่อยู่ด้านข้าง ย่อมไม่อาจทนมองดูมารดาของตนเองถูกคนคุกคามเช่นนี้ แต่น่าเสียดายที่กระบี่ผงาดฟ้าและง้าวมังกรของเขาถูกดาบยักษ์ของตู๋กูซิงหลันทำลายกลายเป็นผุยผงไปแล้ว
เขาขมวดคิ้วมุ่น ยามที่พ่ายแพ้ให้กับตู๋กูซิงหลัน เพราะว่านางมีขุมพลังของจิตมังกรทมิฬ
แต่ว่ากับมนุษย์ผู้นี้ …..หากว่าเขายังพ่ายแพ้อีกละก็ ต่อไปมิกลายเป็นเรื่องน่าหัวเราะเยาะของผู้คนทั้งหลายหรอกหรือ?
เผ่ามนุษย์ที่ต่ำต้อยที่สุด….ถึงกับคิดจะเด็ดศีรษะของพระมารดาไป?
บาดแผลบนหัวไหล่ของเยี่ยเฉินฟื้นฟูไปมากแล้ว ดังนั้นเมื่อดาบของจีเฉวียนพุ่งเข้ามา ก็ได้ยินเสียงเขาคำรามออกไป สองมือกลายเป็นกรงเล็บมังกร ฉวยโอกาสลอดผ่านด้านหลังของหวาชางสุ่ยออกมา
เขาลงมืออย่างรวดเร็ว กรงเล็บมังกรที่แหลมคมพุ่งเป้าไปยังทรวงอกของจีเฉวียน
กรงเล็บขยุ้มลงไป ทะลวงผ่านฉลองพระองค์เหล่านั้น เยี่ยเฉินยิ้มออกมาอย่างเย็นชา เขาสามารถสัมผัสได้ว่าเจ้ามนุษย์ที่น่ารังเกียจผู้นี้มีพลังไอหยินที่เย็นยะเยือกอย่างที่สุด แต่ถ้าพูดถึงความแข็งแกร่งแล้ว ก็ไม่ได้รู้สึกว่าจะมากมายอะไร
แค่กรงเล็บเดียว ก็เพียงพอที่จะขยุ้มผ่านผิวหนัง ทะลวงลงไปควักหัวใจของมันได้!
คิดจะมาอวดศักดาต่อหน้าโฉมงาม กลับไม่รู้จักประมาณตนว่ามีน้ำหนักอยู่เท่าไหร่!
ในขณะเดียวกันหวาชางสุ่ยก็ฉวยโอกาสสูดลมหายใจ นางรวบรวมพลังวิญญาณในร่าง ถ่ายทอดลงไปในพัดวายุ ทันใดนั้นพัดที่ใหญ่ขนาดครึ่งตัวคนก็สร้างลมที่รุนแรงขึ้นมา กลายเป็นพายุที่น่ากลัวอย่างรวดเร็ว ดาบลมที่คมกริบกรีดบาดอยู่ในอากาศ
เมื่อสองแม่ลูกร่วมมือกัน ต่อให้คนตรงหน้าหลอมขึ้นมาจากเหล็กก็ต้องถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ
ตู๋กูซิงหลันมองมาแต่ไกล ในใจอดที่จะตึงเครียดไม่ได้
ตอนที่ตนเองกุมดาบยักษ์บุกตะลุยไปทั่วทุกทิศนั้น ไม่ว่าสิ่งใดนางก็ไม่เคยกลัว แต่พอฮ่องเต้สุนัขมาถึง กลับกลายเป็นความกังวลขึ้นมาเสียแล้ว
นางดูไม่ออกเลยว่าที่จริงจีเฉวียนมีฝีมือที่แท้จริงอยู่กี่ส่วนกันแน่ ยิ่งพอคิดถึงว่าตรงบั้นเอวของเขามีตราประทับดอกบัวของอาจารย์……ก็ต้องเคร่งเครียดขึ้นมา
นางกุมดาบยักษ์เอาไว้ ตั่งท่าเตรียมพร้อม พอเห็นว่าจีเฉวียนจะเสียที นางก็ทำท่าจะโผออกไป
ทันทีที่ขยับร่าง ก็ถูกเส้นผมสีทองของ ‘จู๋หลง’ สกัดเอาไว้ ลากนางกลับไปยังที่เดิม
“ฝ่าบาทรับสั่งเอาไว้ ไม่ให้เจ้าไปเสนอหน้า” ‘จู๋หลง’ เอ่ยปาก ทั้งๆที่ใบหน้านั้นดูหยาบใหญ่แต่ว่าเสียงกลับอ่อนเยาว์อย่างยิ่ง อบอุ่นนุ่มนวลดั่งหยก
ตู๋กูซิงหลัน “……..”
“เจ้าอยู่บนร่างข้าให้ดี ข้าสาบานว่าต่อให้ตายก็จะปกป้องเจ้า” ว่าแล้ว ‘จู๋หลง’ ก็เอ่ยต่อไปอีก “อะแฮ่ม ขอแนะนำตัวสักหน่อยนะ …… ข้าก็คือสัตว์เทพอารักขาแคว้นต้าโจว…..เรียกว่า เสี่ยวจู๋จู๋ (เทียนน้อย)”
“บรรพบุรุษของข้าคือจู๋หลงไงละ…..”
ตู๋กูซิงหลันถึงกับพูดอะไรไม่ออก เทพเจ้าบ้านไหนเรียกว่าเสี่ยวจู๋จู๋กัน…..
นี่มันอย่างกับว่านางกำลังชมดูเฉินเหยาจินสวมกระโปรงลายดอกไม้มาอวดโฉมอยู่ตรงหน้า ไม่ต้องมาอวดด้วยความภาคภูมิใจขนาดนั้นได้หรือไม่
วิญญาณทมิฬแทบจะอยากระเบิดตัวเอง เดิมทีมันคิดว่าจู๋หลงจะต้องหยิ่งทนง องอาจน่าเกรงขาม คิดไม่ถึงว่าทายาทรุ่นหลังจะกลายเป็นเช่นนี้….
มันเองก็แปลกใจอยู่เหมือนกันว่า ตัวขี้เล่นเช่นนี้ ทำไมถึงได้กลายเป็นสัตวเทพอารักขาแคว้นต้าโจวไปได้?
……………..
อีกด้านหนึ่ง
จีเฉวียนหรี่ดวงเนตรหงษ์ลง ยามนี้ในดวงตาของเขาเห็นเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น
นั่นคือศีรษะของหวาชางสุ่ย!
ขณะที่กรงเล็บของเยี่ยเฉินและลมดาบของหวาชางสุ่ยบุกเข้ามาอย่างพร้อมเพียงกันนั้น ก็พลันพบว่าจีเฉวียนที่เคยอยู่ตรงหน้าพวกเขา หายวับไปอย่างไม่มีวี่แวว
จุดที่กรงเล็บมังกรและดาบลมทิ่มแทงลงไปนั้นเหลือแต่เพียงหมอกควัน!
เยี่ยเฉินกระพริบตา กลับตัวอย่างรวดเร็ว กรงเล็บมังกรขยุ้มไปด้านหลังของตนเอง แต่การไล่คว้านั้นก็เป็นเพียงแค่อากาศที่ว่างเปล่า
รอบกายของพวกเขามีแต่เพียงความมืดมิด แม้ว่าเปลวเพลิงจากอสุรกายโลกันตร์จะส่องสว่างอยู่ทั่วทุกด้าน แต่ว่าจุดที่จีเฉวียนอยู่นี้กลับมืดมิดและหนาวเย็นดุจฤดูหนาวที่ไร้แสงจันทร์
พอไขว่คว้าได้เพียงความว่างเปล่าก็ยิ่งทำให้หวาชางสุ่ยตกตะลึงจนแทบกระโดด
นางกุมพัดวายุเอาไว้แนบแน่น รู้สึกถึงความเย็นยะเยือกรอบกายที่ไม่จางหาย ในความมืดมิดท่ามกลางสายลมเสมือนมีเหล่าภูติผีนับพันนับหมื่นรายล้อมเข้ามา พวกมันต่างกรีดร้อง คร่ำครวญหวนไห้ ส่งเสียงสูงแหลมดังเข้าไปในสมองของนางอยู่ตลอดเวลา ทำให้สมองของนางปวดร้าวจวนจะระเบิด
ทันใดนั้น!
ทันใดนั้นได้ยินเสียงลมที่แหลมคมแหวกอากาศลงมาอย่างรวดเร็ว
ท่ามกลางสายลมอันมืดมิด ดาบสีดำทองคล้ายผุดออกมาจากกลางอากาศ คนที่ถือดาบเอาไว้เหาะออกมาในฉลองพระองค์สีทึบลายทอง คนกลายเป็นพญามัจจุราชที่ผุดขึ้นมาจากขุมนรกชั้นเก้าเพื่อเอาชีวิต
หวาชางสุ่ยแม่ลูกสิ้นหนทางจะหลบหนี!
พลังกดดันที่แข็งแกร่งและจิตดาบที่คมกล้าบดขยี้ลงมาใส่ศีรษะ หวาชางสุ่ยไม่อาจใช้พัดวายุมาป้องกันได้ทันอีกต่อไป!
หนึ่งดาบแทงผ่านศีรษะลงไป
ตรงสู่หัวใจ!
ดาบดำทองผ่าศีรษะของนางลงไปราวกับสับแตงโม มวยผมของหวาชางสุ่ยหลุดร่วงลงไป เส้นผมขาวพลันถูกพลังกดดันจากร่างของจีเฉวียนบดขยี้จนกระจัดกระจาย
“เฮือก!” หัวใจของนางสะท้านขึ้นมา ในสมองมีแต่เสียงวิ้งวิ้ง ความเจ็บปวดที่พวยพุ่งขึ้นมาอย่างกระทันหันทำให้นางหมดสิ้นเรี่ยวแรงไปในทันที
“เราบอกแล้ว ว่าจะมารับศีรษะสุนัขของเจ้าไป” จีเฉวียนตรัสประโยคสุดท้ายด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ดาบในมือสะบัดออกไป “จดจำไว้ ใต้หล้านี้มีผู้ที่เจ้าไม่อาจล่วงเกินได้ นางก็คือ ซิงหลัน!”
……………………………….
ตอนต่อไป “จีเฉวียน หากว่าท่านตาย…..ข้าจะ….”
ไรท์: อ้าวเฮ้ย ไงชื่อตอนต่อไปเป็นแบบนี้ล่ะ?
ทุกคนรอเดี๋ยวนะ แม่จะไปแอบดูก่อนว่าเขาทำอะไรกัน!