แม้เจียงอันเฉิงมิได้เป็นบุรุษแสนเรียบร้อย ทว่าการท้องเสียต่อหน้าลูกสาวก็ทำให้เขารู้สึกขายหน้าไม่น้อย
ไม่ได้ ต้องกลั้นไว้!
ก้าวที่หนึ่ง ก้าวที่สอง ก้าวที่สาม…
ใบหน้าของเจียงอันเฉิงเริ่มเขียวคล้ำ ริมฝีปากเริ่มซีด ร่างทั้งร่างเริ่มสั่น ราวกับว่าอดทนต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
ในวินาทีนั้นทำให้เขานึกถึงข้อดีของการมีบุตรชาย
หากเป็นเจียงจั้น เขาคงไม่ต้องมานั่งทนอยู่อย่างนี้ เพียงกระแอมไอออกมาและแวะเข้าข้างทางก็เป็นอันจบเรื่อง
ในขณะนั้นเจียงอันเฉิงไม่แม้แต่จะสาวเท้าก้าวไปข้างหน้า เขายังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมอย่างน่าอเนจอนาถพร้อมกับความสิ้นหวังที่พองฟูเต็มที่
แต่แล้วก็มีเสียงคุ้นเคยลอยมา “ท่านลุงไม่สบายตรงไหนงั้นหรือขอรับ”
“เสี่ยว เสี่ยวอวี๋” เมื่อหันไปเห็นชายหนุ่มรูปงามที่ปรากฏกายอยู่เบื้องหน้า เจียงอันเฉิงได้แต่ฝืนเอ่ยทักทายพร้อมเหงื่อกาฬท่วมตัว
อวี้จิ่นหันไปบอกเจียงซื่อด้วยสีหน้าจริงจัง “คุณหนูเจียง ข้าว่าท่านลุงน่าจะกำลังอยู่ในสภาวะฉุกเฉิน ในสถานการณ์เช่นนี้ไม่อาจละเลยได้ ข้าช่วยพาท่านลุงไปโรงหมอจะดีกว่า…”
ครั้นกล่าวจบก็เข้าไปพยุงเจียงอันเฉิงกลับเข้าไปในโรงน้ำชาเมื่อครู่
เจียงซื่อเงยหน้าขึ้นไปมองป้ายที่ติดอยู่หน้าโรงน้ำชานั้นอีกครั้ง
นี่มันโรงน้ำชานี่
ผ่านไปไม่นาน อวี้จิ่นก็พยุงเจียงอันเฉิงกลับออกมา
เจียงอันเฉิงดูสดชื่นขึ้นมาก แต่ครั้นเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยของบุตรสาวก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาทันที
อวี้จิ่นส่งยิ้มอย่างรู้สึกผิด “ข้าเห็นท่านลุงอาการไม่สู้ดี จึงใช้โรงน้ำชาแทนโรงหมอ ขอคุณหนูอย่าถือสา”
เจียงซื่อดึงมุมปาก
นางไม่มีทางเชื่อเรื่องไร้สาระของอวี้ชี นางนึกถึงอาการของบิดาเมื่อครู่ก็เริ่มเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เพื่อไม่เป็นการทำให้บิดาต้องรู้สึกกระอักกระอ่วน นางจึงแสร้งถามออกไปว่า “แล้วท่านพ่อเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
น้ำเสียงของเจียงอันเฉิงร่าเริงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “ก็สภาวะฉุกเฉิน มันก็ฉุกเฉินอยู่เพียงชั่วครู่ ทว่าตอนนี้ดีขึ้นแล้ว เรากลับจวนกันเถอะ”
อวี้จิ่นยิ้มเล็กน้อย “ท่านลุง ให้ข้าไปส่งท่านลุงกับคุณหนูเจียงเถิดขอรับ”
เจียงอันเฉิงในเวลานี้เห็นอวี้จิ่นเป็นผู้มีพระคุณของตนจึงตอบรับด้วยความยินดี “เช่นนั้นก็รบกวนเจ้าด้วยนะเสี่ยวอวี๋”
ระหว่างทางกลับจวนปั๋ว เจียงอันเฉิงบังเอิญพบกับสหายเก่า
สหายผู้นั้นเชื้อเชิญให้เขาไปร่ำสุราด้วยกัน เจียงอันเฉิงละล้าละลังอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปบอกอวี้จิ่น “เสี่ยวอวี๋ ข้ารบกวนเจ้าช่วยพาซื่อเอ๋อร์กลับไปส่งที่จวนที”
ยังดีที่เป็นเสี่ยวอวี๋เพราะหากเป็นคนอื่น เขาคงไม่กล้าไว้ใจเช่นนี้
“ท่านลุงวางใจได้ขอรับ ข้าจะพาน้องเจียงกลับไปส่งอย่างปลอดภัยขอรับ”
รอจนเจียงอันเฉิงไปแล้ว อวี้จิ่นก็พาเจียงซื่อมาที่ตรอกซงจื่อ
อาเฉี่ยวลังเลอยู่นาน ครั้นนึกถึงบุรุษที่อาจหาญปีนกำแพงเข้ามาดึกๆ ดื่นๆ ก็ได้แต่กลืนถ้อยคำเหล่านั้นลงคอไป
เอาเถอะ อย่างไรเสียคุณหนูก็รู้ดีว่าควรทำอย่างไร
เมื่อมาถึงหน้าเรือนในตรอกซงจื่อ เจียงซื่อกลับชะงักฝีเท้าเล็กน้อย
อวี้จิ่นรู้ว่าเจียงซื่อกำลังคิดอะไรจึงส่งยิ้มพลางบอก “วางใจได้ คุยกันในนี้สะดวกกว่า เพราะแม่นางฉูฉู่ออกไปหาอะไรทำตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว”
“หาอะไรทำ?”
เมื่อเห็นว่าเจียงซื่อยังไม่เข้าใจ อวี้จิ่นจำต้องอธิบายต่อ “ก็ถ้าไม่หาอะไรทำก็คงต้องให้ผู้อื่นเลี้ยงดูไปตลอดชีวิต ดูๆ ไปแล้วข้าว่านางก็เป็นคนมีเหตุผลอยู่บ้าง”
ครั้นได้ฟังคำจากปากอวี้จิ่น ความประทับใจที่เจียงซื่อมีต่อฉูฉู่ก็ยิ่งเพิ่มขึ้น
แม้ฉูฉู่จะถูกไล่ตามฆ่าเพราะนางเป็นต้นเหตุ แต่นางก็ไม่เคยเรียกร้องเรื่องกินอยู่แต่อย่างใด ใครจะไม่ชื่นชมคนที่พยายามพึ่งพาตนเองเช่นนี้
สตรีที่มีคุณสมบัติเช่นนี้ช่างน่านับถือยิ่งนัก
อวี้จิ่นเพิ่งนึกขึ้นได้
นี่ตัวเองกำลังสร้างความประทับใจให้ผู้อื่นอยู่หรือนี่
อาเฉี่ยวเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก ทว่ามิได้มีนิสัยอย่างรู้อยากเห็นเช่นอาหมาน นางไม่แม้แต่จะเดินดูรอบๆ ยังคงเดินตามเจียงซื่อเข้าไปติดๆ
“เจ้าเฝ้าอยู่ข้างนอกนั่นแหละ” อวี้จิ่นกำชับเสียงเรียบ
อาเฉี่ยวหันไปมองหน้าเจียงซื่อ เมื่อเห็นว่านางพยักหน้า อาเฉี่ยวจึงโค้งตัวและยื่นเฝ้าอยู่ด้านนอก
เมื่อเข้าไปในห้องแล้ว อวี้จิ่นก็หัวเราะพลางบอก “ไม่คิดมาก่อนว่าเจ้ามีสาวรับใช้ซื่อบื่อเช่นนั้นด้วย”
เจียงซื่อกลอกตาใส่อวี้จิ่น
เรียกคนที่รักษาขนบธรรมเนียมว่าซื่อบื่อ คนอะไรช่างไร้ยางอายเสียจริง
“ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าออกมาข้างนอก”
อวี้จิ่นดึงให้เจียงซื่อนั่งลง ส่งยิ้มพลางบอก “ข้าไม่ได้แค่รู้ว่าเจ้าออกมาข้างนอก แต่ข้ายังรู้ด้วยว่าหญิงที่นัดพบจูจื่ออวี้คือผู้ใด”
เมื่อเห็นว่าเจียงซื่อขมวดคิ้วมุ่น ชายหนุ่มจึงยื่นนิ้วออกไปคลายปมที่คิ้วของหญิงสาวก่อนจะอธิบาย “ข้าสั่งให้คนจับต่อดูจูจื่ออวี้เอาไว้ เพราะอย่างไรเสียอาเฟยก็เป็นเพียงนักเลงข้างถนน ในเมื่อเรื่องนี้สำคัญกับเจ้า หากเกิดข้อผิดพลาดจักทำอย่างไร”
“ฉะนั้นที่ท่านพ่อของข้าได้พบสหายเมื่อครู่ก็มิใช่เรื่องบังเอิญ?”
อวี้จิ่นยิ้มตาหยี๋
จริงอยู่ว่าเจียงซื่อคงไม่ซักไซ้ไล่ถามถึงรายละเอียดปลีกย่อย นางเพียงแต่ถามว่า “ในเมื่อท่านรู้ว่าหญิงผู้นั้นคือผู้ใด ท่านไม่รู้สึกประหลาดใจบ้างหรือ”
“มีอะไรให้ประหลาดใจกันเล่า โลกนี้มีเรื่องพิสดารอยู่ถมเถไป ข้าสนใจเพียงแต่ว่าเจ้าวางแผนจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร แล้วต้องการความช่วยเหลืออะไรจากข้าบ้าง”
สมัยที่เขายังเยาว์วัย ขนาดเขาเป็นถึงองค์ชายยังเกือบถูกขายเข้าไปอยู่ในหอโคมเขียว หากบุตรีขององค์หญิงใหญ่หรงหยางร่วมมือกับจูจื่ออวี้จะเป็นอย่างไร
จะจัดการอย่างไรดีล่ะ
สีหน้าของเจียงซื่อพลันเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบโดยฉับพลัน นิ้วเรียวเคาะเบาๆ ลงบนโต๊ะ และค่อยๆ เปล่งถ้อยคำออกมา “แน่นอนว่าข้าต้องการให้คนพวกนั้นได้ลิ้มรสชาติของความอัปยศอดสู”
เดิมทีผิวพรรณของนางขาวซีดเป็นทุนเดิม ซึ่งเป็นผลพวงมาจากการเลี้ยงหนอนพิษกู่ เมื่อมีเลือดไปเลี้ยงไม่เพียงพอ ยิ่งทำให้ผิวของนางซีดเซียวยิ่งขึ้น ร่างกายของนางจึงไม่ต่างอะไรจากหยกขาวล้ำค่าแสนเปราะบาง เป็นความงามที่ใครเห็นเป็นต้องทะนุถนอม
อวี้จิ่นถอนหายใจพลางดึงสาวตรงหน้าเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด “เจ้าวางแผนจะทำอย่างไร”
เจียงซื่อหลับตาลงพลางครุ่นคิด
ตอนนี้นางได้เห็นสถานการณ์ของอีกฝ่ายอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหมากอย่างฉิงเอ๋อร์หรืออวี่เอ๋อร์ และคนรักที่คาดไม่ถึงอย่างชุยหมิงเย่ว์
จากรูปการณ์ยามนี้ นางไม่มีทางปล่อยให้พี่ใหญ่ต้องถูกกล่าวหาว่า ‘ผิดประเวณี’ อย่างในชาติที่แล้วอีกเป็นครั้งที่สอง
การโต้ตอบเพราะแรงกระตุ้นจะสาแก่ใจสู้การชิงเลือกลงมือก่อนได้อย่างไร
ไม่นานนัก เจียงซื่อก็คิดบางอย่างได้ นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าจะไปจับชู้!”
เมื่อชาติที่แล้ว จูจื่ออวี้ยัดเยียดให้พี่ใหญ่พบกับความอับอาย นางจะใช้วิธีฟันต่อฟัน ให้คนอย่างจูจื่ออวี้ได้ลิ้มรสชาติแบบเดียวกัน
อวี้จิ่นไม่พอใจกับวิธีการพูดของหญิงสาวเท่าใดนัก “กับชายอื่น จะเรียกว่าจับชู้ได้อย่างไร”
เจียงซื่อหัวเราะกับความใจแคบของเขา “ถ้ากับท่านใช้ได้งั้นสิ”
อวี้จิ่นทำหน้าจริงจัง “นอกจากเจ้า ข้าไม่มีทางยุ่มย่ามกับสตรีนางอื่น ถ้าอยากจะจับชู้จริงๆ ล่ะก็เราคงได้อับอายด้วยกันทั้งคู่…”
“หน้าไม่อาย”
“อื้ม ข้าเห็นด้วย”
“ช่วยข้าหาคนหน่อยสิ” จูบก็จูบแล้ว กอดก็กอดแล้ว เจียงซื่อยามนี้ไร้ซึ่งความเกรงใจ และที่สำคัญคือนี่ก็มิใช่เวลามาเกรงอกเกรงใจด้วย
“ช่วยข้าหาหญิงตามท้องตลาดประเภทกร้านโลก อายุราวๆ ยี่สิบปี กับชายหนุ่มประเภทไร้ตัวตนอยู่ตามป่าตามเขาให้ข้าที... เมื่อถึงเวลา เราก็แค่ช่วยผสมโรงแล้วรอดูความสนุกอยู่ห่างๆ อย่าให้ใครสังเกตได้ก็พอ…”
ครั้นฟังเจียงซื่อกล่าวจบ อวี้จิ่นก็ผุดยิ้ม “คนประเภทนั้นหาได้ไม่ยาก สบายใจได้ คงใช้เวลาหาไม่นาน”
การจะหาบุรุษที่ปกป้องทะนุถนอมอาซื่อปรานประดุจหยกล้ำค่าเช่นนี้คงหาไม่ได้ง่ายๆ
ตามที่อวี้จิ่นรับปากไว้ ไม่ช้าไม่นานเขาก็หาคนที่เหมาะแก่การแสดงบทนั้น
ทันทีที่เจียงซื่อได้ทราบข่าวความคืบหน้า ใจของนางก็ล่องลอยไปกว่าครึ่ง สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือการอดทนรอเท่านั้น รอจนกว่าจูจื่ออวี้อดรนทนไม่ไหวจนต้องนัดพบชุยหมิงเย่ว์อีกครั้ง
นับวันอากาศยิ่งหนาวเย็นขึ้น อาภรณ์ตัวหนาไม่อาจต้านทานลมหนาวได้อีกต่อไป
และในที่สุดวันนั้นก็มาถึง