ไม่อาจให้มันหลุดออกจากทะเลตะวันตก!
มิเช่นนั้นทั่วทั้งแผ่นดินจะต้องกลายเป็นขุมนรก
ฉลองพระองค์สีดำทองของจีเฉวียนอาบไปด้วยโลหิต แต่เพราะฉลองพระองค์เป็นสีทึบจึงทำให้มองเห็นไม่ชัด
พระองค์เหลือบพระเนตรมองไปยังตู๋กูซิงหลันที่อยู่ข้างกาย ใบหน้าของนางเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด มือที่กุมดาบยักษ์เอาไว้ชุ่มไปด้วยเลือด
ดวงหน้าที่งดงามล้ำโลกถูกความร้อนจากร่างของอสุรกายโลกันต์เผาจนแดงก่ำ ริมฝีปากแห้งผาดจนแตกระแหง
จีเฉวียนขมวดพระขนง….ตอนที่ถูกส่งไปเป็นเชลยที่แคว้นเหยียน จนเกือบจะถูกสัตว์อสูรสังหาร พระองค์ถึงได้รู้ว่าในร่างกายของตนเองมีพลังที่ไม่ธรรมดา
พระองค์สามารถมองเห็นสิ่งลี้ลับมาตั้งแต่ยามเยาว์วัย ประสบการณ์เฉียดตายครั้งนั้นทำให้พระองค์ทรงค้นพบความสามารถของพระองค์เอง
พระองค์ทรงแข็งแกร่งอย่างยิ่ง แข็งแกร่งจนถึงขึ้นที่ว่าสามารถดูดซับพลังของหยกสรรพชีวิต
แข็งแกร่งถึงขนาดที่สามารถสังหารน้องสาวของชือหลีได้ในดาบเดียว
แข็งแกร่งจนถึงขนาดที่ตนเองก็ไม่รู้ว่าถึงเพียงไหน …..ตลอดหลายปีมานี้แม้แต่พระองค์ก็ไม่ทรงทราบว่าตนเองคือสิ่งใดกันแน่
ขนาดเสาะหาจากตำราโบราณมากมายก็มีแต่ข้อสรุปเพียงคร่าวๆว่า……พลังของราชาแห่งขุมนรก
ตลอดหลายปีมานี้พระองค์พยายามเก็บงำพลังของตนเองไว้ แม้แต่คนในวังยังเข้าใจว่าพระองค์เป็นเพียงฮ่องเต้ธรรมดาผู้หนึ่ง
ไม่มีใครล่วงรู้เลยว่า พลังส่วนนี้จีเฉวียนทรงซุกซ่อนเอาไว้ ไม่เคยยอมให้ปรากฏออกมาโดยง่าย
แต่ว่าวันนี้พระองค์จำต้องใช้พลังอันแข็งแกร่งทั้งหมดที่มี
เพราะว่าพละกำลังของอสุรกายโลกันตร์ตัวนี้ แข็งแกร่งกว่าที่ทรงคาดเอาไว้
ถึงตู๋กูซิงหลันจะปลดผนึกพลังของจิตมังกรทมิฬออกมาแล้ว แต่เมื่อต้องต่อสู้กับอสุรกายโลกันตร์ ก็ยังสิ้นเปลืองกำลังมากเกินไป
ส่วนพระองค์……ก็ยังคงมีร่างเป็นมนุษย์ธรรมดา
ด้วยพลังของอสุรกายโลกันตร์ มีแต่ต้องอาศัยความร่วมมือของซื่อมั่วและเยี่ยจ้านเท่านั้นจึงจะสามารถกำราบสัตว์อสูรตัวนี้ได้!
อสูรที่แม้แต่ชาวสวรรค์ก็ยังได้แต่ลืมตาดูอย่างไม่อาจทำอะไรได้!
ต่อให้จีเฉวียนแข็งแกร่งเพียงไร…..แต่ว่าร่างกายของมนุษย์จะสามารถต่อกรกับอสุรกายได้อย่างไร!
พอทอดพระเนตรดูสาวน้อยในชุดสีแดงข้างพระองค์ที่หอบหายใจหนักๆอยู่ตลอด เห็นเลือดที่ไหลออกมาจากมือของนาง จีเฉวียนก็ทรงตัดสินใจดั่งที่ทรงคิดเอาไว้แต่แรกแล้ว
“ซิงซิง” พระหัตถ์ข้างหนึ่งยังกุบดาบดำทองทีใกล้จะหักเต็มทีเอาไว้ พระหัตถ์อีกข้างกุมมือของนางอย่างแนบแน่น
“หืม?” ฝ่ามือของตู๋กูซิงหลันทั้งเหนียวและลื่นไปด้วยเลือด
นางปาดเช็ดเม็ดเหงื่อบนหน้าผากออกไป ถึงแม้ว่าจู๋จู๋จะเป็นสัตว์อสูรสายน้ำแข็ง แต่ว่ามันก็ยังไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันกับอสุรกายโลกันตร์ พวกเขาจึงถูกความร้อนจากเปลวเพลิงของอสุรกายโลกันตร์แผดเผาจนทรมาน
ตอนนี้ในสายตาของนางเห็นแต่อสุรกายโลกันตร์ เจ้าสัตว์ประหลาดนี้แข็งแกร่งเกินกว่าที่นางคาดคิดเอาไว้ ที่นางไม่ได้บาดเจ็บจากการต่อสู้ครั้งนี้……ก็เพราะว่ามีจีเฉวียนคอยรับเอาไว้แทน
เขารับเอาไว้โดยไม่เคยส่งเสียงใดๆออกมา นอกจากดวงพักตร์ที่ซีดขาวแล้วก็แทบจะดูไม่ออกว่าเป็นอย่างไรบ้าง
ยามนี้พอถูกเขาเรียกขึ้นมา ตู๋กูซิงหลันก็รีบหันไปมองดูเขาในทันที
พอกวาดตามองไป ก็เห็นจีเฉวียนกำลังแย้มสรวลให้กับนาง “ข้าไม่เคยชอบฉางซุนอิงมากก่อน”
คำอธิบายนี้ หากไม่บอกออกมาเกรงว่าต่อไปคงจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว
ตอนนี้ตู๋กูซิงหลันมิได้สนใจเลยว่าเขาชอบฉางซุนอิงหรือไม่…..
นางขยับดาบยักษ์ขึ้นมา ขณะจะอ้าปากขึ้นก็ได้ยินเสียงของเขาเอ่ยว่า “ ยังโชคดี….ที่เจ้าไม่เคยรักข้า”
ในเมื่อไม่เคยรัก หากว่าต้องสูญเสีย หัวใจก็จะไม่ปวดร้าว
จีเฉวียนปกปิดประกายในดวงเนตรอย่างไม่เต็มพระทัย
ทอดพระเนตรมองดูนางราวกับจะเก็บแววตาทั้งหมดของนางเข้าไปในแก่นกระดูก
ตู๋กูซิงหลันไม่เข้าใจเลยว่าประโยคที่จู่จู่เขาก็เอ่ยขึ้นมานี้หมายความว่าอะไร…..
พระองค์คว้ามือของนางอย่างแนบแน่น ในที่สุดก็ไม่อาจทนได้อีกต่อไป โอบกอดนางเอาไว้ในพระอุระ จุมพิศลงไปบนริมฝีปากของนางอย่างลึกล้ำ
จูบนี้…….คือการจากลา
พระองค์จะจดจำทุกสิ่งของนางเอาไว้ จำจดกลิ่นอายของนาง จดจำสัมผัสจากริมฝีปากของนาง จดจำว่าพระองค์รักนาง
รักอย่างลึกล้ำ!
“เราเชื่อว่า เจ้าจะเป็นฮ่องเต้ที่ดีกว่าเรา” ชั่วขณะที่ปล่อยนาง พระองค์ทอดพระเนตรลงไปในดวงตาดอกท้อของนาง เห็นเงาของพระองค์เองปรากฏอยู่ในนั้นอย่างชัดเจน
ในแววตาของตู๋กูซิงหลันเคยมีพระองค์อยู่…..เพียงเท่านี้จีเฉวียนก็ทรงพอพระทัยแล้ว
ตู๋กูซิงหลันถูกเขาจูบจนมึนงงไป พวกนางกำลังเผชิญหน้ากับอสุรกายโลกันตร์ ที่จริงเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าอย่างที่สุดแล้ว เขากลับมาทำเรื่องนั้นในตอนนี้เพื่ออะไร?
ขณะที่สิ้นเสียงของจีเฉวียน อสุรกายโลกันตร์ก็ตะปบกรงเล็บลงมาอีกครั้ง
กรงเล็บของมันมีเปลวเพลิงสีทองลุกท่วม ทะลวงออกมาจากจากกำแพงน้ำแข็งตรงหน้าของพวกนาง ประหนึ่งภูเขาลูกหนึ่งทะลายลงมากดทับ
จีเฉวียนผลักตู๋กูซิงหลันออกไปไกลหลายร้อยเมตร ในขณะที่จู๋จู๋ก็ไล่ตามไปที่ข้างกายตู๋กูซิงหลันในทันที
ขณะที่หนึ่งคนหนึ่งสัตว์อสูรลอยออกไปไกลจากระยะอันตรายของอสุรกายโลกันตร์ ก็เห็นจีเฉวียนหันพระองค์กลับไปหาอสุรกายตัวนั้น
“จีเฉวียน!” ตู๋กูซิงหลันพึ่งจะเข้าใจว่าเขาคิดจะทำอะไร
นางสะบัดดาบครั้งหนึ่งคิดจะไล่ตามไป แต่ว่าครั้งนี้จู๋จู๋กลับขับพลังทั้งหมดออกมาใช้เส้มผมสีทองของตนเองตรึงนางเอาไว้
ก่อนที่จะออกเดินทางมาฝ่าบาททรงเคยกำชับเอาไว้แล้ว มิว่าตกอยู่ในสถานการณ์เช่นไร จะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของตู๋กูซิงหลันก่อนเป็นอันดับแรก
คำสั่งนี้ถูกจารึกลึกไปในสมองของมัน
ที่ฝ่าบาททรงนำมันมายังก้นทะเลลึกในครั้งนี้มิใช่เพื่อโจมตี แต่ว่าเพื่อปกป้องซิงซิงของพระองค์
ดังนั้นผู้ที่จู๋จู๋เลือกจะปกป้องเป็นอันดับแรกก็คือตู๋กูซิงหลัน ไม่ใช่จีเฉวียน
ตู๋กูซิงหลันถูกมัดเอาไว้ทั่วทั้งร่าง เดิมทีนางก็ต่อสู้มาจนเหน็ดเหนื่อยสิ้นเรี่ยวแรงมาแต่แรกแล้ว ยามนี้พอถูกจู๋จู๋จับมัดเอาไว้ทั้งตัว โผล่มาเพียงแค่ศีรษะ จึงไม่อาจขยับร่างได้ชั่วขณะ
นางมองดูเงาหลังของจีเฉวียนที่ลอยห่างไปเรื่อยๆ ก็ตะโกนออกไปว่า “ตกลงกันแล้วนี่ว่าจะต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ นี่ท่านจะไปตายคนเดียวหรือยังไง?”
เสียงนั้นทะลวงผ่านกำแพงเปลวเพลิงของอสุรกายโลกันตร์ ไปจนถึงพระกรรณของจีเฉวียนอย่างชัดเจน
พระองค์ขมวดพระขนง หากเปรียบเทียบกับการที่ต้องตายพร้อมกันแล้ว …..ทรงหวังให้นางมีชีวิตต่อไปอย่างดีมากกว่า
พระหัตถ์ของพระองค์กุมด้ามดาบดำทองเอาไว้ พลังในร่างถูกขับออกมา พุ่งร่างไปหาศีรษะที่อยู่ตรงกลางของมัน
หมอกดำที่ครอบคลุมพระองค์อยู่แทบจะถูกเปลวเพลิงของอสุรกายโลกันตร์เผาผลาญจนสูญสิ้น แม้แต่ฉลองพระองค์สีดำทองก็ยังติดไฟขึ้นมาบางส่วน
แต่ว่าพระองค์ก็ยังทรงกุมดาบพุ่งเข้าไปอย่างไม่มีลังเล ดาบนี้มุ่งเข้าไปหาศีรษะที่อยู่ตรงกลางของอสุรกายโลกันตร์
ดาบดำทองแทงลงไปในร่างได้เพียงสามนิ้วก็ถูกลาวาที่อยู่บนศีรษะของอสุรกายโลกันตร์หลอมจนหักสะบั้นไป
ขณะที่พระองค์ทรงบุกเข้าไปหาอสุรกายโลกันตร์ด้วยความรวดเร็วดุจสายฟ้า ศีรษะที่อยู่ด้านข้างทั้งสองศีรษะก็พุ่งลงมาจู่โจมพระองค์ ปีกขนาดใหญ่ด้านหลังโบกสะบัดอย่างรุนแรง มุ่งจะทำลายมนุษย์ที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำผู้นี้ให้ย่อยยับดับสูญ
จีเฉวียนกลับหลบหลีกออกมาในวูบเดียว เปลี่ยนทิศทางเป็นพุ่งไปยังก้นทะเลลึก
พระองค์ตั้งพระทัยจะยั่วยุโทสะของอสุรกายโลกันตร์
อสุรกายโลกันตร์โกรธเคืองจนเกรี้ยวกราด มันคำรามออกมาครั้งหนึ่งก็หันศีรษะไล่ตามพระองค์ไป
หนึ่งคนหนึ่งอสุรกายหายลับไปจากทะเลตะวันตกอย่างรวดเร็ว เหลือแต่เพียงเปลวเพลิงที่ลุกไหม้เป็นทางทอดยาวออกไปไกล
“จีเฉวียน!” ตู๋กูซิงหลันตะโกนออกไปจากบนศีรษะของจู๋จู๋
จีเฉวียนมิได้ทรงหันพระพักตร์กลับมา พระองค์ตั้งพระทัยจะเป็นผู้ครองใต้หล้า แต่ไหนแต่ไรก็มิได้หลงใหลในความฟุ้งเฟ้อและลาภยศสรรเสริญของการเป็นฮ่องเต้อยู่แล้ว
พระองค์ปรารถนาให้ใต้หล้ามีแต่ความสงบสุข ให้ทุกผู้ทุกนามล้วนได้มีชีวิตที่เป็นสุขและปลอดภัย
ให้แสงสว่างส่องไปถึงดินแดนที่มืดมิด ให้คนที่ตกอยู่ในความมืด สามารถยื่นมือออกไปสัมผัสกับแสงสว่าง
แต่ว่าวันนี้พระองค์กลับยินดีที่จะเสียสละตนเองเพื่อแลกมาซึ่งความสงบสุขและปลอดภัยของนาง
ซิงซิง ถึงตอนนี้เหตุผลที่เราต้องการปกป้องใต้หล้านั้นได้เพิ่มขึ้นมาอีกข้อหนึ่งแล้ว นั่นคือ……เพื่อปกป้องเจ้านั่นเอง
พระองค์ทรงทราบว่านางแข็งแกร่งอย่างยิ่ง หลังจากที่พระองค์กำจัดเภทภัยอย่างอสุรกายโลกันตร์ได้แล้ว ใต้หล้าก็จะคืนสู่ความสงบสุข และด้วยความสามารถของนางย่อมเพียงพอที่จะกลายเป็นผู้ปกครองใต้หล้า
แผ่นดินต้าโจวนั้น……พระองค์จะทรงส่งมอบให้กับนาง
ราชโองการที่อยู่หลังแผ่นป้ายชื่อเหนือท้องพระโรงนั้น…..ก็คือราชโองการที่จะแต่งตั้งนางเป็นฮ่องเต้หญิงแห่งต้าโจวนั่นเอง