บางทีในที่สุดแล้วเรื่องที่นางลังเลมาตลอดอาจได้คำตอบแล้วก็เป็นได้ เจียงซื่อรู้สึกเบาใจอย่างไม่มีเหตุผล ราวกับว่าก้อนหินที่ห้อยโตงเตงอยู่ในอากาศมานานหล่นลงพื้นในที่สุด แม้จะรู้ว่าหนทางที่เลือกขรุขระและยากลำบาก แต่ครั้นตัดสินใจแล้วก็จะไม่นึกเสียใจภายหลัง
เจียงจั้นได้ฟังเช่นนั้นก็รีบส่งสายตาตำหนิเจียงซื่อทันที “น้องสี่ เจ้ายกเรื่องใหญ่อย่างการแต่งงานมาท้าพนันได้อย่างไร”
นี่เจ้าลืมพี่อวี๋ชีที่อยู่ในตรอกเชวี่ยจื่อไปได้อย่างไร
ฝ่ายเจียงอันเฉิงก็ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของบุตรสาว “ซื่อเอ๋อร์ เรื่องพี่ใหญ่ของเจ้า พ่อจะหาวิธีแก้เอง เจ้าอย่าได้เอาเรื่องแต่งงานของตนเองมาล้อเล่นเช่นนี้!”
เจียงซื่อหัวเราะคิกคักกับท่าทีร้อนรนของบิดาและพี่ชาย “ท่านพ่อ พี่รอง ข้าต้องการออกเรือนไปอยู่ในตระกูลที่ดีกว่าตระกูลเจินจริงๆ เจ้าค่ะ พวกท่านควรจะยินดีกับข้าถึงจะถูกต้อง”
เจียงจั้นสบถอย่างเดือดดาล “ยินดีกับผีสิ! หากตระกูลสูงศักดิ์กว่านี้ แต่บุรุษที่เจ้าแต่งงานด้วยเป็นพวกพึ่งพาไม่ได้จะมีประโยชน์อันใด ทั้งพี่ใหญ่และพี่รองต่างก็ออกเรือนไปอยู่ในตระกูลสูงศักดิ์แล้วเป็นอย่างไร”
หากรู้เช่นนี้ตั้งแต่เนิ่นๆ เขาน่าจะช่วยสนับสนุนพี่อวี๋ชี น่าเสียดายจริงๆ
เจียงอันเฉิงมองเจียงจั้นด้วยสายตาชื่นชมพลางผงกหัวเห็นพ้อง “พี่รองของเจ้าพูดถูก ภูมิหลังชาติตระกูลดีเป็นเพียงการเสริมความงามบนของที่งดงามอยู่แล้ว แต่ท้ายที่สุดแล้ว ของสิ่งนั้นเป็นของดีเลิศแท้จริงหรือไม่ ต้องดูจากบุรุษที่จะแต่งงานด้วย”
“แล้วหากข้าแต่งงานกับคนที่มีภูมิหลังต่ำต้อยซ้ำยังพึ่งพาไม่ได้ หรืออยู่ไปอยู่มาก็เปลี่ยนไปเสียดื้อๆ จะทำอย่างไรเจ้าคะ” เจียงซื่อเอ่ยเสียงเรียบ
หากกล่าวถึงระดับของชาติตระกูลแล้ว สำหรับจวนปั๋ว การที่เจียงอีได้แต่งงานกับจูจื่ออวี้ถือว่าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันอย่างยิ่ง แต่หากเป็นชุยหมิงเย่ว์ ชาติตระกูลของจูจื่ออวี้ถือว่าด้อยกว่ามาก
แต่ครั้นจูจื่ออวี้หมายจะเด็ดดอกฟ้า จึงได้เกิดความคิดที่จะลอบฆ่าภรรยาตนเอง
สำหรับคนธรรมดาแล้ว การที่บุรุษติดหนี้พนัน แล้วส่งลูกสะใภ้ไปนอนกับเจ้าหนี้ก็มีให้เห็นถมเถ…
ความคิดเหล่านี้หนึ่งแวบผ่านเข้ามาในหัวเจียงซื่อ แล้วนางก็นิ่งไป
ตั้งแต่นางได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง นางรู้สึกว่าไม่ว่าจะบุรุษคนใดก็ล้วนมีข้อบกพร่องทั้งนั้น มีเพียงอวี้ชีที่นางเชื่อใจได้มากที่สุด
นางเริ่มมีความคิดอันตรายเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ คุณหนูเจียงลอบตำหนิตัวเองในใจ
คำพูดของเจียงซื่อทำให้เจียงอันเฉิงไปต่อไม่ถูก
ก็จริง ใครบอกกันว่ามาจากตระกูลต่ำต้อยแล้วจะเชื่อใจได้
หากโอกาสมาถึงคนพวกนี้เมื่อไหร่ พวกเขาก็พร้อมละทิ้งทุกสิ่งอย่างแล้วปีนขึ้นไปเด็ดดอกฟ้าทันที…
เฝิงเหล่าฮูหยินมองไปที่เจียงซื่อด้วยสายตาชื่นชมอย่างยิ่งยวด
นึกไม่ถึงเลยว่านางจะคิดได้รอบคอบถึงเพียงนี้
“ท่านพ่อวางใจได้เจ้าค่ะ ลูกไม่มีทางเอาเรื่องสำคัญของชีวิตมาล้อเล่น ทว่ายามนี้ลูกมองว่าจะต้องจัดการเรื่องพี่ใหญ่ให้เรียบร้อยเสียก่อน”
เมื่อกล่าวถึงเจียงอี บรรยากาศภายในห้องก็หม่นลงทันที
บ่าวรับใช้นางหนึ่งวิ่งเข้ามารายงาน “เหล่าฮูหยิน มีคนจากในวังมาที่จวนเจ้าค่ะ”
“ในวัง?” เฝิงเหล่าฮูหยินผงะไปชั่วครู่ก่อนจะจัดแจงอาภรณ์ให้เรียบร้อย จากนั้นบ่าวรับใช้ก็พยุงนางเดินออกไป
ผู้ที่มาเยือนคือขันทีวัยกลางคน เฝิงเหล่าฮูหยินพิศมองผู้มาเยือนอยู่ครู่หนึ่ง แล้วใบหน้าของนางก็พลันเปลี่ยนสี
นี่มันกงกงข้างกายไทเฮา
“เหล่าฮูหยิน เชิญท่านและนายท่านปั๋วมาสนทนากันหน่อยเถิด”
เสียงแหลมเล็กของขันทีผู้นั้นเอ่ยขึ้น
เฝิงเหล่าฮูหยินสั่งให้เจียงซื่อและเจียงจั้นออกไปจากเรือน
ขณะที่เดินออกมา เจียงจั้นหันหลังกลับไปมองเป็นพักๆ ใบหน้าของชายหนุ่มเจือไปด้วยความสงสัยจึงกระซิบถามผู้เป็นน้องสาว “น้องสี่ เจ้าว่าคนจากในวังมาที่นี่ทำไมกัน”
เจียงซื่อเม้มปากเบาๆ ก่อนตอบเสียงเรียบ “ถ้าเดาไม่ผิดก็คงมาด้วยเรื่องชุยหมิงเย่ว์กระมัง”
เจียงจั้นชะงักฝีเท้า “คุณหนูใหญ่ชุยก่อเรื่องฉาวโฉ่ขนาดนั้น คนในวังยังคิดว่าจะปิดเรื่องนี้ได้หรือ”
เจียงซื่อหันไปมองเรือนฉือซินก่อนจะถอนหายใจออกมา “ชุยหมิงเย่ว์มีศักดิ์เป็นถึงหลานสาวของฮ่องเต้และไทเฮา หากเรื่องนี้ไม่ถูกสั่งปิดไว้ จะให้ตีฆ้องร้องป่าวให้เอิกเกริกหรือเจ้าคะ ต่อให้มีคนรู้ว่าฝ่ายหญิงคือผู้ใด แต่อย่างน้อยก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยออกมา”
“แบบนี้ยิ่งทำให้นางยิ่งเสื่อมเสีย!”
“อย่างไรเสียการกินคำเดียวก็ไม่อาจทำให้อ้วนได้ จูจื่ออวี้ไม่มีทางได้ประโยชน์จากเรื่องนี้หรอกเจ้าค่ะ” เจียงซื่อมองรูปการณ์ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
ความแตกต่างของชาติกำเนิดก็อยู่ที่ตรงนี้ เรื่องแบบนี้รีบร้อนไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา
อีกอย่าง แม้ว่าราชสำนักจะปกปิดเรื่องฉาวของชุยหมิงเย่ว์อย่างไร แต่ชื่อเสียงของนางก็คงป่นปี้อยู่ดี การจะเข้าออกวังหรือแม้แต่การร่วมงานพิธีการสำคัญคงไม่เหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว
แล้วยิ่งเป็นสตรีที่เป็นความภาคภูมิใจของวงศ์ตระกูลอย่างชุยหมิงเย่ว์แล้ว การตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ สู้ให้ตายไปเสียยังดีกว่า
จู่ๆ เจียงซื่อก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงเอียงคอหันไปมองเจียงจั้น “พี่รองรู้จักชุยหมิงเย่ว์ได้อย่างไรเจ้าคะ”
“หืม?”
ยิ่งนางมองก็ยิ่งรู้สึกตงิดๆ ดวงตาสีนิลหรี่ลงเล็กน้อย
ครั้นถูกน้องสาวมองด้วยสายตาจับผิด ใบหูของเจียงจั้นก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง เมื่อเห็นว่าบริเวณนั้นไม่มีใครจึงกระซิบบอก “ชุยหมิงเย่ว์จ้องจะใช้กลยุทธ์สาวงามกับข้า…”
เท้าของเจียงซื่อลื่นจนนางเกือบสะดุดล้ม
เจียงจั้นรีบเอื้อมมือไปพยุงนางไว้พลางถามอย่างหัวเสีย “น้องสี่ เจ้าเล่นใหญ่ขนาดนี้หมายความว่าอย่างไร”
เจียงซื่อปรับท่าทีให้กลับสู่ปกติพลางส่งยิ้ม “ยังดีที่พี่รองไม่หลงเสน่ห์ของนาง บุรุษแบบพี่รองนี่หาได้ยากยิ่งนัก”
ถึงนางจะพูดทีเล่นทีจริงทว่าภายในใจกลับมีเปลวเพลิงแห่งความโกรธแค้นลุกโชน
ชุยหมิงเย่ว์นี่ร้ายไม่เบา หลอกปั่นหัวจูจื่ออวี้ยังไม่พอ กับพี่รองนางก็ไม่เว้น แค้นนี้ต้องชำระ!
เจียงจั้นถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ข้าจะดีหรือเลวจะมีความหมายอย่างไร หากข้าเอาเปรียบลูกสาวบ้านอื่น ว่าแต่น้องสี่ ถ้าเจ้าจะออกเรือนไปกับผู้ใดก็ต้องดูให้ถี่ถ้วน อย่าไปท้าพนันกับท่านย่าสุ่มสี่สุ่มห้าจนทำให้ตัวเองต้องลำบากไปด้วย”
เจียงซื่อรู้สึกขันกับสิ่งที่เจียงจั้นพูด “เอาเปรียบลูกสาวบ้านอื่น? พี่รองกล่าวเข้าข้างตัวเองเช่นนี้แล้วยังไม่หน้าแดงเสียด้วย”
เจียงจั้นหัวเราะไม่ออกเลยสักนิด
เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเจียงเชี่ยนและเจียงอีแล้ว เขาก็อดเป็นห่วงน้องสาวคนเดียวของเขาไม่ได้
หากต้องแต่งงานกับคนชั่วอย่างฉังซิงโหวซื่อจื่อหรือจูจื่ออวี้ สู้ให้น้องสี่ครองตัวเป็นโสดตลอดชีวิต และเขาจะดูแลนางอย่างดี
เมื่อเห็นเจียงจั้นหน้านิ้วคิ้วขมวด เจียงซื่อกลับรู้สึกอบอุ่นหัวใจ นางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “พี่รองมิต้องกังวลไป ข้าต้องไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”
เจียงจั้นยกมือขึ้นลูบผมน้องสาว แล้วพบว่าทรงผมของนางในวันนี้ถูกทำขึ้นอย่างประณีต ถ้าลูบจนยุ่งคงถูกบ่นเป็นแน่ จึงถอนมือออกอย่างเสียดาย “ไปดูพี่ใหญ่กันเถิด”
ภายในเรือนไห่ถัง เจียงอีฟื้นสภาพกลับเป็นปกติแล้ว
นางมิได้สนใจอาการชาทั้งร่างเมื่อครู่
เพราะเมื่อมนุษย์เผชิญกับความเจ็บปวดอย่างหนักหน่วงก็อาจทำให้ร่างกายรู้สึกว่าสามารถแตกสลายได้ ฉะนั้นการที่ร่างกายผิดแปลกไปจากปกติชั่วขณะหนึ่งจึงมิได้สร้างความสงสัยให้แก่เจียงอี
เจียงซื่อและเจียงจั้นมาถึงและพบเจียงอีกำลังนั่งพิงหน้าต่างด้วยอาการเหม่อลอย
ทั้งสองหันมามองหน้ากันแวบหนึ่งก่อนจะก้าวเท้าเข้าไป
“พี่ใหญ่” เจียงจั้นขานเรียก
ดวงตาของเจียงอีขยับหันมามองที่เจียงจั้น
“พี่ใหญ่ พี่อย่าเศร้าไปเลย คนอย่างจูจื่ออวี้ไม่คู่ควรกับพี่เลยสักนิด”
เจียงอีหลับตาลงอย่างไร้เสียง
“พี่ใหญ่ อยู่ที่นี่พี่ก็พักผ่อนให้สบาย ข้าจะตั้งใจฝึกเป็นองครักษ์จินอู๋ที่ดี อีกหน่อยจะได้เป็นที่พึ่งให้แก่พี่และน้องสี่”
ขนตาของเจียงอีเริ่มสั่นไหว น้ำตาหยดใสไหลรินลงมา ทว่านางมิได้เอื้อนเอ่ย
เจียงจั้นมองไปที่เจียงซื่ออย่างช่วยไม่ได้
เจียงซื่อนั่งลงข้างๆ เจียงอีและดึงมือพี่สาวมาจับไว้ “พี่ใหญ่คงคิดถึงเยียนเยียนอยู่ใช่หรือไม่”
ครั้นเอ่ยถึงเยียนเยียน ใบหน้าของเจียงอีก็ฉายแววเจ็บปวดเกินทน มือที่เจียงซื่อจับอยู่สั่นสะท้าน
“พี่ใหญ่ ข้าสัญญาว่าข้าจะพาเยียนเยียนมาอยู่กับพี่ให้จงได้ ดังนั้นพี่ต้องเข้มแข็ง และดูแลร่างกายของตัวเองให้ดี ตกลงไหมเจ้าคะ”
“เยียนเยียน…จะได้มาอยู่กับข้าจริงๆ หรือ” ราวกับว่ากำลังใจของเจียงอีเริ่มสูบฉีด นางเริ่มกลับมาตอบสนองอีกครั้ง
“แน่นอนเจ้าค่ะ!”
เมื่อปลอบใจเจียงอีกเสร็จแล้ว เจียงซื่อก็เข้าไปในห้องตำรา นางหันไปสั่งอาหมาน “ไปพาตัวฉิงเอ๋อร์มา”