ห้องฝั่งตะวันตกในเรือนไห่ถังถูกใช้เป็นห้องตำรา ภายในถูกตกแต่งอย่างเรียบง่ายและสะอาดสะอ้าน
เนื่องจากยังเช้าอยู่จึงมีแสงอาทิตย์อ่อนๆ สาดส่องเข้ามาทางช่องหน้าต่าง สตรีเค้าร่างเล็กท่าทางอ่อนโยนนั่งอยู่ที่ริมหน้าต่าง
ฉิงเอ๋อร์เดินเข้ามาพบกับภาพงามวิจิตรนั้นพอดี
ครั้นพินิจมองสาวงามร่างเล็กผู้นั้นแล้วกลับให้ความรู้สึกไม่ต่างจากหิมะบนเทือกเขาสูง หรืออาจเป็นแผ่นน้ำแข็งที่ปกคลุมเหนือทะเลสาบ งดงามทว่าทำให้นางขนลุกโดยไม่มีเหตุผล
เมื่อฉิงเอ๋อร์ถูกพามายืนตรงหน้าเจียงซื่อแล้ว อาหมานก็กล่าวรายงาน “คุณหนู นางมาแล้วเจ้าค่ะ”
เจียงซื่อพยักหน้าเล็กน้อยก่อนส่งสัญญาณให้อาหมานถอยออกไป
อาหมานถอยออกไปยืนเฝ้าตรงประตู
ฉิงเอ๋อร์ค้อมเคารพเจียงซื่อด้วยความรู้สึกกดดันที่ไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้ “น้อมคารวะคุณหนู”
เจียงซื่อเท้าคางพลางสอดส่ายสายตาพิจารณาไปที่ฉิงเอ๋อร์
เหมือนกันจริงๆ
ใครต่างก็บอกว่านางและสตรีศักดิ์สิทธิ์อาซังละม้ายคล้ายกัน แต่ถึงกระนั้นนางก็ไม่เคยพบอาซังมาก่อน เคยเห็นก็แต่รูปเขียนที่อวี้ชีซ่อนไว้ในห้องตำราเท่านั้น ความรู้สึกงุ่นง่านจึงมิได้รุนแรงเท่าในตอนนี้
ฉิงเอ๋อร์และอวี่เอ๋อร์ดูเหมือนถูกแกะออกมาจากพิมพ์เดียวกัน ที่ต่างกันก็คงมีแค่บุคลิกลักษณะเท่านั้น
เจียงซื่อหวนนึกถึงอวี่เอ๋อร์ที่อยู่ในเรือนในชนบท แม้นางจะอยู่ในชุดสุดแสนสมถะ ทว่าท่วงท่าแต่ละย่างก้าวกลับแฝงไปด้วยกลิ่นอายเสน่ห์สาว ต่างจากฉิงเอ๋อร์ที่อยู่ต่อหน้าเจียงซื่อในขณะนี้ เนื่องจากลักษณะของนางเหมือนๆ กับสาวรับใช้ทั่วๆ ไป
เจียงซื่อยังคงไม่เอื้อนเอ่ยคำใด ส่วนฉิงเอ๋อร์ก็ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว ไม่นานนักขาของนางก็เริ่มอ่อนแรง เริ่มมีเหงื่อผุดพรายที่ปลายจมูก
ภายในห้องตำรามีความร้อนจากถ่านไฟ ให้สัมผัสที่แตกต่างจากความหนาวเหน็บด้านนอกหน้าต่างโดยสิ้นเชิง ประหนึ่งว่าอยู่กันคนละโลก
เจียงซื่อเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบงัน “ข้าต้องเรียกเจ้าว่าฉิงเอ๋อร์หรือว่าอวี่เอ๋อร์”
นางพยายามข่มอาการร้อนรนภายในจิตใจเอาไว้ ฉิงเอ๋อร์เงยหน้ามองเจียงซื่อด้วยความประหลาดใจ
เจียงซื่อคลี่ยิ้มเล็กน้อย “ข้าจะเรียกเจ้าว่าฉิงเอ๋อร์ก็แล้วกัน จริงอยู่ที่สับเปลี่ยนตัวกันได้ ทว่าชื่อเสียงเรียงนามก็มิควรเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เจ้าว่าจริงไหม”
เลือดฝาดบนหน้าของฉิงเอ๋อร์หายวับไปจนเกลี้ยง ร่างของนางเริ่มสั่นสะท้าน
เจียงซื่อฝังร่างลงไปบนพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน มือที่วางอยู่บนโต๊ะขาวนวลประดุจสีของหยกเคาะอยู่อย่างนั้นเป็นพักๆ ส่งเสียง ก๊อกๆ เป็นจังหวะ
เสียงเคาะดังขึ้นเมื่อไหร่ หัวใจของฉิงเอ๋อร์ก็พลอยบีบแน่นขึ้นตามไปด้วย
“บอกข้ามาว่า สาเหตุที่จูจื่ออวี้ตามหาพวกเจ้าก็เพื่อที่จะจำกัดพี่สาวคนโตของข้าใช่หรือไม่” เมื่อเห็นว่ากดดันนางจนพอใจแล้ว เจียงซื่อก็ถามออกไปอย่างไม่ใส่ใจนัก
ฉิงเอ๋อร์เผลอก้าวถอยไปครึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว นางส่ายศีรษะปฏิเสธ “บ่าวไม่ทราบว่าคุณหนูกำลังพูดเรื่องอะไรเจ้าค่ะ…”
เจียงซื่อหัวเราะ
เสียงหัวเราะนั้นใสยิ่งนัก ดูสะอาดบริสุทธิ์ราวกับถูกชะล้างด้วยน้ำแร่ แต่ทว่าแววตาของหญิงสาวกับเย็นเยียบยิ่งกว่า ให้ความรู้สึกเย็นประดุจหนองน้ำที่ถูกคลุมด้วยแผ่นน้ำแข็งหนาทึบ คนที่ถูกจ้องมองด้วยสายตาเช่นนั้นจึงรับรู้ได้ถึงความหนาวเหน็บที่ส่งผ่านมา
“ขยับเข้ามานี่” เจียงซื่อกวักมือเรียกฉิงเอ๋อร์ที่ยังคงก้าวถอยหลังไม่หยุด
มือของหญิงสาวดูนุ่มนิ่ม โบกสะบัดไปมาราวกับพรรณไม้น้ำ แม้ผู้ที่พบเห็นจะรู้สึกหวาดกลัวอย่างไรก็ไม่อาจซ่อนตัวจากมันได้ ทำได้เพียงนิ่งอยู่อย่างนั้น และปล่อยให้พืชน้ำเกาะเกี่ยวเหนี่ยวรั้งร่างของพวกเขาไว้
ร่างสั่นเทาของฉิงเอ๋อร์มาหยุดอยู่ที่หน้าเจียงซื่อ
เจียงซื่อผุดยิ้ม “ฉิงเอ๋อร์ การที่ข้าเอ่ยถึงชื่ออวี่เอ๋อร์ออกมาเช่นนี้แล้ว เจ้าคงไม่คิดว่าข้าคงไม่รู้ว่านางอยู่ที่ใดหรอกนะ”
ฉิงเอ๋อร์จ้องไปที่เจียงซื่อด้วยแววตาสับสนเต็มประดา ความไม่เข้าใจและความกลัวตีกันยุ่งเหยิง
เจียงซื่อจ้องหน้านาง บนริมฝีปากยังคงเปื้อนรอยยิ้มเย็นชา “ข้าจะฆ่านาง!”
ฉิงเอ๋อร์ตัวสั่นเทิ้ม
รอยยิ้มนั้นเหมือนบุปผาที่หลอกล่อให้ผู้คนหลงใหล “ในเมื่อพวกเจ้าสองคนพี่น้องวางแผนปรากฏตัวทีละคนอยู่แล้ว ข้าก็จะช่วยสนองให้ หากคำตอบของเจ้าไม่อาจทำให้ข้าพอใจ ข้ารับรองเลยว่า ข้าจะฆ่านางอย่างแน่นอน”
ครั้นกล่าวจบ น้ำเสียงนุ่มนวลนั้นก็ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงเย็นชา “ข้าจะบั่นหัวของนางมาให้เจ้าดูสิว่า การได้เห็นคนที่หน้าเหมือนตัวเองหลับตาสนิทนั้นเป็นเช่นไร…”
“หยุดพูด!” ฉิงเอ๋อร์ทนไม่ได้อีกต่อไป นางยกมือป้องหูพลางกรีดร้อง
อาหมานที่ยืนเฝ้าอยู่ที่ประตูหันมามองด้านในก่อนจะเบะปาก
เพียงเท่านี้ก็กลัวแล้วรึ ไม่ไหวเลยจริงๆ
จะว่าไปแล้ว อาหมานนี่ช่างเก่งกาจเสียจริง ว่าแต่ว่าตอนที่นางเห็นคุณหนูวางเพลิงฆ่าคน นางพูดว่าอย่างไรนะ
นางแค่ไม่สบอารมณ์ที่หมู่นี้เจ้านายไม่ยอมพานางออกไปด้วย!
เจียงซื่อมิได้กล่าวต่อ เพียงแต่เฝ้ามองปฏิกิริยาของฉิงเอ๋อร์เงียบๆ
ผ่านไปครู่หนึ่ง ฉิงเอ๋อร์ก็ค่อยๆ ลดมือลง ใบหน้าขาวซีดยังคงเจือไปด้วยความหวาดกลัว ดวงตาของนางหมองหม่น เป็นสัญญาณของการยอมจำนนต่อชะตาชีวิต
“ข้าจะบอกความจริง…” แค่นางพูด น้ำตาก็ไหลพรากลงมาทันที
เจียงซื่อเคาะโต๊ะอย่างหมดความอดทน “หากการร้องไห้แล้วช่วยอะไรได้ มือของข้างคงไม่ต้องเปื้อนเลือด”
ฉิงเอ๋อร์หยุดร้องทันที นางก้มหน้าพลางบอก “อวี่เอ๋อร์คือพี่สาวฝาแฝดของข้า ระหว่างทางมาที่เมืองหลวง พ่อแม่ของพวกข้าตายจากไปทีละคน พวกข้าจึงเหลือกันแค่สามคน คือพี่ชายและพวกข้าอีกสองคน และเพื่อที่จะมีชีวิตรอด พี่ชายของข้าจึงขายพี่สาวของข้าไปที่หอโคมเขียว ผู้ใดจะไปคิดว่าหลังจากนั้นไม่นานเขาจะติดพนันหนักเข้าขั้น แม้จะขายพี่สาวของข้าไปแล้ว เขาก็ยังคงสิ้นเนื้อประดาตัวทั้งยังมีหนี้สินก้อนโต…”
เรื่องราวต่อจากนั้นก็มิได้ต่างจากชีวิตผีพนันคนอื่นๆ แพ้พนันแล้วก็ติดหนี้ พี่ชายของนางจึงจ้องจะขายตัวนางเป็นรายต่อไป
ตอนแรก เขามักจะไปขอเงินอวี่เอ๋อร์ที่หอเยี่ยนชุน ครั้นปอกลอกอวี่เอ๋อร์จดหมดตัวแล้ว ก็วางแผนจะขายฉิงเอ๋อร์เพื่อใช้หนี้พนัน
“ตอนที่ข้าถูกบีบบังคับขายเข้าไปอยู่ในซ่อง ข้าวิ่งหนีออกมาที่ถนน ตอนนั้นคุณชายจูก็ปรากฏตัวขึ้นและจ่ายเงินให้พี่ชายของข้า พร้อมยังกำชับพี่ชายของข้าว่าไม่ให้ขายน้องสาว แล้วเขาก็จากไป แต่ข้ารู้จักพี่ชายของข้าดี หากเขาใช้เงินที่คุณชายจูให้จนเกลี้ยงแล้ว เขาก็จะพาข้าไปขายเหมือนที่เคยทำ เดิมทีข้าจึงวางแผนว่าจะหนี ทว่าพี่ชายบอกกับข้าว่า หากข้ากล้าหนี เขาจะฆ่าพี่สาวของข้า ข้าก็จนปัญญา ทำได้เพียงรอรับชะตาที่ตัวเองจะเข้าไปอยู่ในหอโคมเขียวเหมือนพี่สาว แต่แล้วใครจะรู้…”
ฉิงเอ๋อร์เหลือบมองเจียงซื่อด้วยความหวาดกลัวพลางกล่าวต่อ “ว่าคุณชายจูจะลอบมาพบข้าเพื่อให้ข้าเล่นละครตบตา เขารับปากว่าหลังจบเรื่องแล้วข้าจะได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสงบ และเขาจะช่วยไถ่ตัวพี่สาวของข้าออกมา…”
สิ่งล่อใจนี้ช่างหอมหวานเสียจริง
เจียงซื่อดึงมุมปากเล็กน้อยพลางถาม “แล้วเขาสั่งให้เจ้ากำจัดพี่สาวของข้าอย่างไร”
ฉิงเอ๋อร์ขบริมฝีปากแน่น ภายใต้ดวงตาสุกใสของอีกฝ่ายทำให้นางรู้ดีว่าตนไม่สามารถโกหกคนตรงหน้าได้ นางจึงอธิบายอย่างตรงไปตรงมา “คุณชายจูต้องการให้ข้าได้รับความไว้ใจจากต้าไหน่ไน และใช้ประโยชน์จากความเชื่อใจนั้น โดยให้พี่สาวปลอมตัวเป็นข้าเข้าไปที่จวน และแสร้งบอกว่าคุณชายจูเรียกให้ต้าไหน่ไนออกไปพบกันข้างนอก ทว่าในตอนนั้นคนที่กำลังรอต้าไหน่ไนอยู่กลับเป็นชายอื่น…”
มีเสียงหนึ่งดังขึ้นขัดจังหวะการเล่าเรื่องของฉิงเอ๋อร์ เสียงนั้นเกิดจากการที่เจียงซื่อหักพู่กันในมือ
“เล่าต่อไป” เจียงซื่อวางด้ามพู่กันที่หักไว้ด้านข้าง และหยิบพู่กันอีกด้ามขึ้นมา
“ในตอนนั้นก็ให้ข้าไปอยู่ในห้องครัวหรือที่ใดก็ได้ที่มีผู้คนอยู่รวมกันเยอะๆ เพื่อยืนยันหลักฐานที่อยู่ของข้า หลังจากที่พี่สาวของข้าพาต้าไหน่ไนออกไปแล้ว นางก็ไปจากจวนจู รอจนต้าไหน่ไนและบุรุษผู้นั้นก่อเหตุ ‘ล่วงประเวณี’ ก็จะมีคนเข้าไปพบ ซึ่งแน่นอนว่าต้าไหน่ไนก็จะบอกว่าข้าคือคนพานางออกไป ทว่าคนอื่นๆ ก็จะคิดว่านางโกหก…”
เจียงซื่อโบกมือเป็นเชิงว่าให้ฉิงเอ๋อร์หยุดเล่า
ฉิงเอ๋อร์เงียบลงและมองเจียงซื่ออย่างพรั่นใจ
นางไม่รู้ว่าคุณหนูเจียงผู้น่าครั่นคร้ามจะจัดการกับนางอย่างไร
เจียงซื่อชี้ไปที่กระดาษที่กางอยู่บนโต๊ะพลางบอก “มา เจ้ามาลงนามบนนี้”