ครั้นเจียงอันเฉิงเห็นว่าท่าทีของเจียงซื่อมิใช่การล้อเล่น เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าอย่างจริงจัง “ไป!”
อย่างไรเสีย พี่เจินก็เอ็นดูซื่อเอ๋อร์อยู่แล้ว หากธุระหลักเรื่องการหาหลักฐานไม่ได้ผล ก็คิดเสียว่าไปเยี่ยมผู้หลักผู้ใหญ่ก็แล้วกัน ไม่มีอะไรเสียหาย
เสียงโกรธเกรี้ยวของเฝิงเหล่าฮูหยินดังตามหลังมา “เหล่าต้า เจ้าไปเออออตามหนูสี่ได้อย่างไร”
เจียงซื่อหันกลับมาส่งยิ้มพลางถาม “ท่านย่าอยากจะพนันกับหลานอีกสักยกไหมเจ้าคะ”
เฝิงเหล่าฮูหยินขมวดคิ้วรอให้นางพูดต่อ
“หากหลานนำหนังสือฟ้องหย่ากลับมาได้ ท่านย่าจะต้องไม่ยุ่งเรื่องของพี่ใหญ่และเยียนเยียนอีกต่อไป”
“แล้วถ้านำกลับมาไม่ได้เล่า”
เจียงซื่อผายมือ “หลานก็จะทำตามคำสั่งของท่านย่าอย่างไรเจ้าคะ”
ขณะที่เฝิงเหล่าฮูหยินกำลังละล้าละลัง เจียงอันเฉิงก็รีบพาลูกทั้งสองออกไปจากตรงนั้น
ผ่านไปครู่หนึ่งกว่าหญิงชราจะคิดได้ เดี๋ยวสิ การเดิมพันทั้งสองครั้ง ถ้าหนูสี่แพ้ นางก็จะเป็นคนจัดการเรื่องนี้ นี่ไม่เท่ากับว่านางกำลังจับเสือมือเปล่าหรือ
นี่นางถูกเด็กสาวหลอกซ้ำอีกแล้ว!
ขณะที่เฝิงเหล่าฮูหยินกำลังงุ่นง่าน เจียงอันเฉิงก็พาสองพี่น้องมาถึงศาลาว่าการพระนครเป็นที่เรียบร้อย
เจินซื่อเฉิงซึ่งนั่งอยู่ในโถงพิจารณาคดี และมองมาที่เจียงอันเฉิงพลางถอนหายใจออกมา
ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งผู้ตรวจการศาลาว่าการพระนคร น้องเจียงก็ได้กลายเป็นแขกขาประจำของที่แห่งนี้ไปเสียแล้ว ต่อให้อยากจะช่วยงานก็ไม่เห็นต้องทำถึงขนาดนี้
“ไม่ทราบว่านายท่านปั๋วมีเรื่องอะไรหรือ” ครั้นอยู่ในศาล เจินซื่อเฉิงไม่อาจเรียกตามความสนิทสนมได้ เพราะเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง
เจียงอันเฉิงเองก็มิใช่คนโง่เขลา เขากล่าวอย่างฉะฉาน “ใต้เท้าเจิน ที่ข้ามาวันนี้อยากให้ท่านช่วยฟ้องหย่าระหว่างลูกสาวของข้าและจูจื่ออวี้!”
“อื้ม ไม่ทราบว่าจะฟ้องด้วยสาเหตุอะไรงั้นรึ”
“จูจื่ออวี้ต้องการเอาหญิงอื่นมาเป็นภรรยา จึงได้วางแผนฆ่าภรรยาตัวเอง!”
ในห้องพิจารณาคดีเกิดเสียงอื้ออึงขึ้นแทบจะในทันที
เจินซื่อเฉิงเหลือบมองเด็กสาวที่ยืนก้มหน้าอยู่หลังเจียงจั้นแวบหนึ่ง
เจียงซื่อสบตาเขาพลางส่งยิ้มจางๆ
เจินซื่อเฉิงกระแอมไอออกมา “นายท่านปั๋วรอสักครู่ ข้าจะให้คนไปตามคนตระกูลจูมาก่อนแล้วกัน”
เจียงอันเฉิงผงกหัวรับ เขายังคงนั่งนิ่งอยู่บนม้านั่งด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ทว่าในใจกลับรู้สึกเหมือนมีคนรัวกลองอยู่ก็ไม่ปาน
ดูเหมือนข้าจะบุ่มบ่ามเกินไปหน่อย จริงๆ ควรถามซื่อเอ๋อร์เสียก่อนว่าหลักฐานที่ว่านั้นคืออะไร
แต่ครั้นเหลือบมองไปที่ใบหน้าสงบนิ่งของบุตรสาวแล้ว ความหวั่นวิตกนั้นก็หายวับไปทันที
ซื่อเอ๋อร์มิใช่เด็กประมาทเลินเล่อ เขาควรจะไว้ใจนาง
เพราะหากเป็นไอ้ลูกชาย… นี่ก็ไม่ต้องสงสัยเลย คงได้ฟาดสักฉาดก่อนจะพูดกันรู้เรื่อง
ไม่นานนัก จูเส้าชิงและบุตรชายของเขาก็ตามเจ้าหน้าที่มาถึงที่ศาล
ในศาลาว่าการคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่มารอดูความตื่นเต้น แค่เพียงได้ยินว่าจวนตงผิงปั๋วจะฟ้องหย่าจวนจู คนเหล่านี้ก็รุดมาที่นี่พร้อมกับเม็ดแตงในมือ
กฎหมายของต้าโจวค่อนข้างเปิดกว้าง หากมีการสอบสวนคดี ชาวบ้านทั่วไปสามารถเข้ามาฟังการพิจารณาคดีได้
ส่วนสาเหตุที่มีผู้คนอีกจำนวนมากมายืนอออยู่ด้านนอกก็เนื่องจากมาช้าเกินไป ที่ว่างด้านในเต็มหมดแล้ว!
เจินซื่อเฉิงพยักหน้าให้เจียงอันเฉิงทีหนึ่ง “นายท่านปั๋ว ฝ่ายของท่านกล่าวหาว่าฝ่ายชายวางแผนฆ่าภรรยาตนเอง ช่วยขยายความเพิ่มเติมที”
เจียงอันเฉิงลุกขึ้นแล้วเดินมาหยุดยืนอยู่ที่กลางโถงพร้อมกล่าวเต็มเสียง “เรื่องนี้คงต้องเริ่มเล่าจากตอนที่บุตรสาวของข้าไปที่วัดไป๋อวิ๋น...”
หลังจากที่เขากล่าวเช่นนั้น เสียงเอ็ดอึงในห้องก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“อ้อ นึกออกแล้วว่ามีเรื่องนั้นด้วย ตอนนั้นจวนตงผิงปั๋วก็มาแจ้งความไว้แล้วหนหนึ่ง และข้าก็เคยเห็นว่ามีเจ้าหน้าที่เข้าไปที่จวนจู”
“แต่ว่าเรื่องนั้นคงไม่มีหลักฐานกระมัง เพราะหลังจากนั้นเรื่องนี้ก็เงียบไป”
“ถึงไม่มีหลักฐาน แต่ข้าก็เชื่อจากเก้าในสิบส่วนว่านี่ต้องเป็นเรื่องจริง มิฉะนั้นตงผิงปั๋วคงไม่รายงานทางการด้วยความมั่นใจเช่นนั้น”
“จริงด้วย การจะแจ้งทางการมิใช่ที่จะมาล้อเล่น คราวนี้ก็ได้รู้แล้วว่าจูจื่ออวี้มีหญิงอื่น ข้าได้ข่าวมาว่านางเป็นบุตรสาวของตระกูลสูงศักดิ์ เสียดายที่ไม่รู้ว่าเป็นตระกูลไหน…”
ครั้นได้ฟังถ้อยคำเหล่านี้แล้ว เจียงอันเฉิงก็อดใจรอตกรางวัลให้บุตรสาวเป็นขาหมูตุ๋นสักสองชั่งแทบไม่ไหว
เป็นเพราะซื่อเอ๋อร์คาดการณ์ไว้ล่วงหน้า การแจ้งทางการไว้เสียตั้งแต่ตอนนั้นทำให้จวนปั๋วเป็นฝ่ายรุกในคราวนี้
“เงียบหน่อย!” เจินซื่อเฉิงเคาะไม้ปลุกสติ พลางหันไปมองทางจูจื่ออวี้ “จูจื่ออวี้ เจ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่”
ภายในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงสองสามวัน ชายหนุ่มผู้ร่าเริงกลับกลายเป็นหมองหม่นในเวลาอันรวดเร็ว
จูจื่ออวี้ยืดหลังขึ้นพลางเอ่ย เสียงนั้นเนิบช้าทว่าชัดเจน “เรื่องม้าพยศเกิดจากคนขับรถม้าจงใจจะแก้แค้น หาได้มีความเกี่ยวข้องกับข้าไม่ การที่คนสกุลเจียงกล่าวหาว่าข้าวางแผนฆ่าภรรยาตนเอง คงต้องการจะแย่งตัวลูกสาวไปจากข้าเท่านั้น”
“ไร้สาระ!” เมื่อเห็นว่าจูจื่ออวี้ยังไม่สำนึก เจียงอันเฉิงก็ยิ่งโกรธขึ้ง
จูจื่ออวี้จึงย้อนถาม “ท่านพ่อตาหมายจะจับข้าด้วยความผิดดังกล่าว ไม่ทราบว่ามีหลักฐานอะไรงั้นรึ”
“หลักฐานน่ะมีแน่” เสียงหวานใสของเด็กสาวดังขึ้น ทำให้ทุกคนในโถงนั้นตกตะลึงไปตามๆ กัน ทุกสายตาหันไปมองที่ต้นเสียงนั้น
ครั้นเห็นใบหน้าเจ้าของเสียงนั้นก็ยิ่งทำให้ตะลึงพรึงเพริดกันเข้าไปใหญ่
นั่นมันคุณหนูแห่งจวนตงผิงปั๋วมิใช่หรือ สตรีสูงศักดิ์ตามบิดาและพี่ชายมาขึ้นศาลงั้นหรือ
ครั้นต้องเผชิญกับสายตาเหล่านั้น เจียงซื่อมิได้รู้สึกกระอักกระอ่วนเลยแม้แต่น้อย นางหยิบบางอย่างออกมาจากแขนเสื้ออย่างเปิดเผยก่อนจะส่งให้เจียงอันเฉิง
ในเมื่อนางกล้ามาอยู่ในที่แห่งนี้ นางก็ไม่มีความจำเป็นต้องหวั่นกลัวสิ่งใด
พี่สาวแท้ๆ ของนางกำลังตกระกำลำบาก แล้วคนเป็นน้องสาวจะไม่มีสิทธิ์ลุกขึ้นเรียกร้องแค่เพียงเพราะนางเป็นสตรีงั้นหรือ
สตรีก็มีความรู้สึกรัก รู้สึกเกลียด มีเลือดเนื้อ มีน้ำตา มีความอ่อนโยนประหนึ่งสายน้ำ และมีความกล้าหาญที่จะตอบโต้กับความเกลียดชังไม่ต่างจากบุรุษ การต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายที่จ้องจะเขมือบคนในครอบครัวของนาง นางไม่อาจเอาแต่หลบซ่อนอยู่ข้างหลังบิดาหรือพี่ชายเฉยๆ ได้ นางต้องการลากคอสุนัขอย่างจูจื่ออวี้ที่ตกน้ำลงไปแล้วขึ้นมาตีซ้ำให้สาแก่ใจ
หลังจากกวาดตาอ่านข้อความบนกระดาษที่เจียงซื่อส่งให้แล้ว ใบหน้าของเจียงอันเฉิงก็ถอดสีทันที มือที่สั่นระริกส่งกระดาษแผ่นนั้นให้กับเจ้าหน้าที่เพื่อส่งต่อไปให้เจินซื่อเฉิง
“ไอ้สัตว์เดรัจฉาน!” เท้าข้างหนึ่งของเจียงอันเฉิงลอยไปหาจูจื่ออวี้ เด็กหนุ่มล้มลงกองไปบนพื้น
ใบหน้าของจูเส้าชิงเปลี่ยนไปโดยพลัน “ชิ่งจยา เหตุใดถึงต้องทำให้เรื่องบานปลายถึงขนาดนี้”
“ทำเรื่องบานปลาย? จูเต๋อหมิง เจ้าแหกตาดูเรื่องงามหน้าที่ลูกเจ้าทำ!”
เจินซื่อเฉิงส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่ส่งกระดาษนั้นให้จูเส้าชิงและจูจื่ออวี้อ่าน
จูเส้าชิงมองไปที่ลูกชายอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง
ความมั่นใจของจูจื่ออวี้พังทลายลงในทันที
เป็นไปไม่ได้ เจียงซื่อรู้เรื่องฉิงเอ๋อร์ได้อย่างไร
“ไร้สาระ เพียงเพราะกระดาษแผ่นเดียวก็ทำให้พวกเจ้าเชื่อว่าข้าวางแผนฆ่าภรรยาตนเองงั้นหรือ”
เจียงซื่อยิ้มเยาะ “ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาสินะ!”
เจียงซื่อปรบมือเบาๆ แล้วอาหมานก็แผดเสียงดังลั่น “ขอทางด้วย”
พี่น้องคู่หนึ่งปรากฏขึ้นต่อหน้าสาธารณชน ทั้งคู่ถูกมัดไว้ด้วยกัน คล้ายกับเงาสะท้อนกระจกอย่างไรอย่างนั้น
ใบหน้าของจูจื่ออวี้ซีดเผือด
“คนไหนคือฉิงเอ๋อร์ คนไหนคืออวี่เอ๋อร์” เจินซื่อเฉิงถามขึ้น
สองพี่น้องคุกเข่าลงพร้อมกันพลางกล่าวแจ้งแถลงไข
“ไหนว่ามาสิ”
ทั้งฉิงเอ๋อร์และอวี่เอ๋อร์ช่วยกันเล่าเรื่องทั้งหมดตามที่ถูกบันทึกอยู่ในกระดาษจนครบทุกตัวอักษร เหล่าผู้ฟังในโถงต่างก็อ้าปากค้างกันเป็นแถว
“ไร้สาระ นางสองคนนี้ต้มพวกเจ้าจนเปื่อยหมดแล้ว!”
จูจื่ออวี้ยังคงยืนกรานปฏิเสธเสียงแข็ง
เจียงซื่อแย้มยิ้มและจ้องมองไปที่จูจื่ออวี้ “ไม่ต้องรีบร้อนไป ข้ายังมีพยานอยู่อีกหลายปาก ไม่ว่าจะเป็นอันธพาลอีกสองคนที่หอเยี่ยนชุน ทั้งคนที่ไปไถ่ตัวอวี่เอ๋อร์ และ… พี่ชายของอวี่เอ๋อร์!”
เจียงซื่อกล่าวถึงตรงนี้ สายตาของนางก็สอดส่ายไปทั่วๆ และสบตากับอวี้จิ่นพอดิบพอดี
กว่าจะหาตัวพี่ชายของอวี่เอ๋อร์ได้ ก็เพราะได้การช่วยเหลือจากอวี้ชีนี่แหละ
สายตาของทั้งคู่สบกันเพียงช่วงสั้นๆ ก่อนเจียงซื่อจะละสายตากลับไป นางเอ่ยขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำ “จูจื่ออวี้ ไหนๆ ก็เกิดเป็นชายแล้ว ยอมรับผิดอย่างผ่าเผยจะดีกว่า จะได้ไม่เป็นการขายหน้า”