ในวินาทีที่มองไปที่รอยยิ้มของลูกสาว เจียงอันเฉิงก็รู้สึกร้อนผ่าวรอบๆ ดวงตา
ลูกสาวของเขาโตถึงขนาดนี้ จนสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้ด้วยตัวเองแล้ว
เขาในฐานะบิดาทั้งรู้สึกละอายและชื่นชมในคราเดียวกัน
ทว่าความรู้สึกชื่นชมมีมากกว่า การใช้ชีวิตในโลกใบนี้ การรู้จักพึ่งพาตนเองสำคัญกว่าการหวังพึ่งผู้อื่นเป็นไหนๆ ไม่ว่าผู้นั้นที่ว่านั้นจะเป็นบิดา พี่ชายหรือว่าสามีก็ตามที
“เสี่ยวอวี๋ เจ้าเดินไปส่งนายท่านปั๋วก็แล้วกัน” เจินซื่อเฉิงออกปาก
อวี้จิ่นในชุดเครื่องแบบหันไปยกมือคารวะเจินซื่อเฉิง แล้วเดินไปหยุดข้างเจียงอันเฉิง “ท่านลุง ไปกันเถิดขอรับ”
เจียงอันเฉิงหันไปมองเด็กหนุ่มรูปงามก่อนจะหันไปมองลูกสาวเค้าร่างบางของตน พลางถอนหายใจอย่างสุขารมณ์เพียงในใจ
เสี่ยวอวี๋กับซื่อเอ๋อร์นี่ช่างเหมาะสมกันเหลือเกิน กลับไปแล้วลองถามความเห็นซื่อเอ๋อร์ดูหน่อยดีกว่า หากลูกเห็นด้วยก็ให้พี่เจินช่วยเป็นสักขีพยาน ดีกว่าปล่อยให้ซื่อเอ๋อร์ไปแต่งงานกับพวกลูกผู้ลากมากดี
แล้วเรื่องเดิมพันระหว่างลูกสาวและเหล่าฮูหยินล่ะ
หึๆ อย่างไรเสียศาลก็มีคำสั่งให้อีเอ๋อร์และจูจื่ออวี้หย่าขาดกันแล้ว แน่นอนว่าเขาคงต้องกลับลำเรื่องที่ซื่อเอ๋อร์จะเลือกคู่ครองจากตระกูลสูงศักดิ์เสียแล้ว!
เจียงอันเฉิงแอบตัดสินใจแทนบุตรสาว
ฝูงชนเริ่มสลายตัวไปราวกับสายน้ำ ในห้องพิจารณาคดีกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ส่วนเจินซื่อเฉิงก็เอามือไพล่หลังเดินมุ่งหน้าไปอีกทาง
เจินเหิงอยู่ในห้องนั้นด้วย เมื่อคนที่มาดูเหตุการณ์เริ่มกลับกันแล้วจึงเหลือเขายืนอยู่เพียงลำพัง
เมื่อเห็นว่าบิดากำลังเดินมาหา เจินเหิงจึงส่งยิ้มพลางขานเรียก “ท่านพ่อ”
เจินซื่อเฉิงถามอย่างใส่ใจ “เป็นอย่างไร คงตกใจสิท่า”
เจินเหิงอดไม่ได้ที่จะหันไปมองทิศที่เจียงซื่อจากไป บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มใสสะอาด ทว่าน้ำเสียงนั้นกลับใสยิ่งกว่า “ลูกมิได้เป็นพวกขี้ตกใจเสียหน่อย”
เขาถูกใจนางยิ่งนัก มิใช่เพราะนางเป็นสตรีสูงศักดิ์ เรียบร้อยดั่งผ้าพับไว้ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบกันในป่า เขาก็รู้ทันทีว่านางต่างจากสตรีคนอื่นๆ
และเมื่อสักครู่ เขาก็ได้เห็นอีกด้านที่เปล่งประกายของนาง
ทว่าเอกลักษณ์โดดเด่นของนางกลับติดตรึงอยู่ในใจชายหนุ่มฝังแน่นขึ้น
เขาคิดว่า เขาคงรักนางเข้าแล้ว
เขาอยากกินข้าวเช้ากับนาง อยากกอด อยากนอนกับนาง อยากใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุข
หากที่ตรงนั้นถูกแทนที่ด้วยชายคนอื่น เขาคงรู้สึกเสียใจยิ่งนัก
ครั้นเห็นอาการของบุตรชายแล้ว เจินซื่อเฉิงก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที
ตอนแรกที่เรียกให้ลูกชายมาดูก็เพื่อจะบอกให้รู้ว่า คุณหนูเจียงหาใช่สตรีสูงศักดิ์ที่จะประพฤติตามขนบธรรมเนียม เป็นคนละขั้วกับบุตรชายของเขาที่หลงใหลในการอ่านตำรา การประพันธ์บทกลอน หรือแม้แต่การเล่นดนตรี ลูกชายจะได้ตัดใจเสียที
แต่ครั้นเห็นเด็กโง่นี่แล้ว ดูเหมือนว่าจะหลงหนักกว่าเก่า…
เวรกรรม ข้าต้องขวางเจ้าลูกชายให้จงได้ แต่เรื่องนี้จะให้ฮูหยินรู้ไม่ได้เด็ดขาด!
ศาลาว่าการพระนครเงียบสงบลงแล้ว แต่ที่หน้าประตูจวนจูกลับเนืองแน่นไปด้วยผู้คน ครั้นคนเฝ้าประตูเห็นก็ตกตะลึงรีบเข้าไปรายงานจูฮูหยินทันที
จูฮูหยินกำลังพักอยู่ในห้องบุปผาที่เรือนหน้า
จวนตงผิงปั๋วไปขอให้ศาลสั่งฟ้องหย่า ทั้งนายท่านและบุตรชายจึงไปที่นั่นกันหมด ไม่รู้ว่าเรื่องดำเนินไปถึงไหนแล้ว
ขณะที่คนเฝ้าประตูเข้ามารายงาน จูฮูหยินกำลังเดินออกจากห้องบุปผาพอดี จิตใจของนางล่องลอยไม่อยู่บนขั้นบันไดนั้น
“ฮู ฮูหยิน มีคนมากันเต็มเลยขอรับ”
“แล้วนายท่านกับคุณชายเล่า”
“ยังไม่เห็นนายท่านกับคุณชายเลยขอรับ เพราะมีคนมาอออยู่ข้างนอกเต็มไปหมดเลยขอรับ”
“ฮูหยิน…” พ่อบ้านที่ไปที่ศาลาว่าการพร้อมกับจูเส้าชิงและจูจื่ออวี้ตะลีตะลานเข้ามา
ครั้นเห็นใบหน้าซีดเซียวราวกับเห็นผีของพ่อบ้านแล้ว ใจของนางก็ร่วงตุบก่อนจะรีบถาม “ว่าอย่างไรบ้าง”
พ่อบ้านทรุดลงบนพื้นพลางร้องอย่างทุกข์ทรมาน “ฮูหยิน แพ้ขอรับ แพ้แล้วขอรับ…”
จูฮูหยินพลันก้าวถอย รีบเอื้อมมือมาคว้าราวบันไดเอาไว้มั่น
หลังจากนั้นก็มีบ่าวรับใช้อีกคนวิ่งมารายงาน “ฮูหยิน ตงผิงปั๋วยืนรออยู่ที่หน้าประตูใหญ่พร้อมบอกว่าจะพาคุณหนูใหญ่ไปขอรับ”
ใบหน้าของจูฮูหยินเปลี่ยนไปโดยพลัน นางรีบเดินออกไปทันที
เจียงอันเฉิงไม่ได้เข้ามาในจวนจู เพียงแต่ยืนรออยู่ข้างรูปปั้นสิงโตที่ด้านหน้าประตูใหญ่
จูฮูหยินก้าวเท้าผ่านธรณีประตูสูงออกมาพร้อมกับสาวรับใช้ เมื่อเห็นว่าด้านนอกมีฝูงชนแห่กันมามืดฟ้ามัวดินก็แทบจะเป็นลมล้มพับลงไป
นางพยายามรวบรวมสติและปั้นยิ้ม “นายท่านปั๋วไหนๆ ก็มาถึงนี่แล้ว ไม่เข้าไปคุยด้านในเล่า”
เจียงอันเฉิงดึงมุมปากด้วยใบหน้าบูดบึ้ง “ผู้ตรวจการศาลาว่าการพระนครตัดสินให้ความสัมพันธ์สองตระกูลขาดจากกัน ดังนั้นประตูใหญ่จวนจูบานนี้ ข้าก็ขอไม่เหยียบเข้าไปจะดีกว่า ที่ข้ามาก็เพื่อมารับเยียนเยียน หลานสาวของข้า”
“ไม่มีทาง!” จูฮูหยินได้ฟังก็ถึงกับผงะไป นางพยายามมองหาสามีและบุตรของตนท่ามกลางฝูงชนนั้น แต่กลับพบสายตาเหยียดหยามนับไม่ถ้วน
สายตาเหล่านั้นไม่ต่างจากคมมีดที่กรีดแทงเข้าไปตามเนื้อตัวของจูฮูหยิน
“ถุย ไอ้พวกผู้ดีมีสกุลเลี้ยงลูกชายออกมาได้ดีถึงเพียงนี้!”
“ถูกของเจ้า เพื่อหญิงอื่นถึงขั้นวางแผนฆ่าเมียตัวเอง ฆ่าให้ตายก็ว่าแย่แล้ว ยังจะใส่ร้ายว่าเมียตัวเองมีชู้อีก โลกนี้มันมีคนชั่วช้าแบบนี้อยู่จริงๆ…”
จูฮูหยินรู้สึกราวกับว่าคำพูดเหล่านี้ลอยล่องมาจากฟากฟ้า ทว่ามีเมฆทะมึนขวางอยู่
“พวกเขาหมายความว่าอย่างไร”
พ่อบ้านรี่เข้ามากระซิบข้างหูของนาง “ฮูหยิน ศาลมีคำสั่งให้คุณหนูใหญ่ตกอยู่ในความดูแลของต้าไหน่ไนขอรับ…”
ดวงตาของจูฮูหยินพลันแข็งขึงขึ้นราวกับฟังสิ่งที่พ่อบ้านพูดไม่เข้าใจ
“จูฮูหยิน ท่านอย่าเพิ่งเป็นลมไปนะเจ้าคะ” เสียงนุ่มนวลของหญิงสาวดังขึ้นราวกับมีน้ำเย็นเยือกอ่างใหญ่เทรดศีรษะ
จูฮูหยินพยายามเบิ่งตามองอย่างสุดความสามารถ ทว่าสิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าของนางก็คือใบหน้าแสนเย็นชาของหญิงสาว
“คุณหนูเจียงสี่” จูฮูหยินพลันได้สติ จ้องมองไปที่เจียงซื่ออย่างระแวดระวัง
เจียงซื่อก้าวไปข้างหน้าพลางส่งยิ้มอ่อนโยนไร้พิษสง “ท่านจำมิได้หรือว่า ข้าเคยบอกไว้ว่าจะมารับเยียนเยียน”
“เจ้า เจ้า…” จูฮูหยินชี้ไปที่เจียงซื่อ ทว่าพูดไม่ออกเลยแม้แต่คำเดียว เพียงแต่นางรู้สึกว่าใบหน้างดงามนั้นน่ากลัวเสียยิ่งกว่าปีศาจร้าย
เจียงซื่อภายใต้ใบหน้าเฉยชาหันไปกล่าวแก่พ่อบ้าน “ไปอุ้มคุณหนูใหญ่ของพวกเจ้าออกมา!”
พ่อบ้านจวนจูหันหลังเดินกลับเข้าไปในจวนเพียงไม่กี่ก้าวก็สำนึกได้ว่า เดี๋ยวนะ เหตุใดเขาถึงต้องฟังคำสั่งของคนตระกูลเจียงด้วยเล่า
พ่อบ้านจึงหันไปมองทางจูฮูหยินอย่างอดไม่ได้
อาการของจูฮูหยินก็ชะงักงันนิ่งอึ้งไม่แพ้กัน นางยังคงไร้ซึ่งการตอบสนอง
อวี้จิ่นที่มาพร้อมเจ้าหน้าที่อีกสองสามคนจึงออกปากขึ้นว่า “ศาลมีคำสั่งให้เยียนเยียนผู้เป็นบุตรสาวของจูจื่ออวี้และเจียงอีอยู่ในการดูแลของฝ่ายหญิง หากจวนของท่านไม่ยอมปฏิบัติตามแต่โดยดี ข้ามีความจำเป็นที่จะต้องเข้าไปพานางออกมาด้วยตัวเอง”
เสียงมีอายุดังขึ้น “ไปอุ้มคุณหนูใหญ่ออกมา”
สีหน้าของจูฮูหยินเปลี่ยนสีทันที “นายท่าน ไฉนจึงเป็นเช่นนี้”
ยามออกไปนอกเรือน จูเส้าชิงจะแต่งกายสุภาพเรียบร้อย ทว่าในเวลานี้กลับไม่สามารถมองเห็นสีเดิมของอาภรณ์ที่สวมได้อีกต่อไป มีรอยเปื้อนสีเหลืองอมเขียวเปรอะอยู่จนทั่ว แม้แต่ตามเส้นผมก็มีของเหลวไหลเยิ้มลงมา แต่ในวันที่อากาศหนาวเหน็บเช่นนี้ของเหลวนั้นจึงจับตัวจนกลายเป็นของแข็งไปเสียแล้ว
จูเส้าชิงแหงนเงยหน้ามองแผ่นโลหะหนาวับวาวเหนือขอบประตูใหญ่ พลางปรารภกับตนเอง “มีบุตรแต่ไม่อบรม ถือเป็นความผิดของบิดา ข้าทำให้มันเกิดมา ข้าก็ต้องชดใช้!”
เจียงซื่ออุ้มเยียนเยียนเดินออกมา
“ท่านน้า ท่านแม่อยู่ที่ไหนเจ้าคะ”
“ท่านแม่กำลังเตรียมขนมที่เจ้าชอบให้เจ้าอยู่อย่างไรล่ะ”
“จริงหรือ แล้วเยียนเยียนเอากลับมาให้ท่านปู่ ท่านย่า แล้วก็ท่านพ่อกินด้วยได้ไหม”
เจียงซื่อชะงักฝีเท้าก่อนจะหันไปมองจูเส้าชิงและจูฮูหยินแวบหนึ่ง ทว่านางใช้ร่างตัวเองบังจูจื่ออวี้เอาไว้
“ได้สิ” เจียงซื่ออุ้มเยียนเยียนไว้แน่น “เยียนเยียนต้องลองไปขอท่านแม่ดู ต้องขอให้นางช่วยทำมาเยอะๆ หน่อยแล้วล่ะ”
ในมุมของเด็กสาวตัวน้อย บิดาเปรียบเสมือนภูเขาใหญ่แข็งแกร่ง การจะทำลายความเชื่อนั้นหรือไม่ นางมิใช่คนที่มีสิทธิ์จะตัดสินใจเรื่องนี้
“ให้ข้าอุ้มเถอะ เด็กตัวเท่านี้หนักไม่เบา” อวี้จิ่นยื่นมือไปหา
“เยียนเยียนคงเขินคนแปลกหน้า”
อวี้จิ่นส่งยิ้มให้เด็กน้อย “เยียนเยียน ให้อาอุ้มดีไหม”
เยียนเยียนเอียงหัวมองดวงตาสีนิลของชายหนุ่มก่อนจะยื่นมือออกไป “ให้พี่ชายอุ้ม”