อาเฉี่ยวเดินตรงเข้ามา “คุณหนูเจ้าคะ อาฝูบ่าวรับใช้จากเรือนฉือซินเดินทางมากล่าวว่า เหล่าฮูหยินเชิญคุณหนูให้ไปพบเจ้าค่ะ”
“ข้ารู้แล้ว ให้นางรอไป”
อาเฉี่ยวหันหลังเดินกลับไปแล้วบอกต่อคำพูดของเจียงซื่อ แต่กลับเป็นเจียงอีที่ทำท่าทางไม่สบายใจ “น้องสี่ ให้คนของท่านย่ารอนานไม่ดี เจ้ารีบไปเถอะ”
เจียงซื่อยิ้มขึ้นอย่างไม่ได้สนใจสิ่งใด “เป็นเพียงแค่บ่าวให้นางรอไม่ได้หรือ”
ข้าไม่อยากทำตามจะเป็นไรไป!
“ไม่ใช่เรื่องของบ่าวเท่านั้น แต่ท่านย่า…”
เจียงซื่อทำสีหน้าจริงจังแล้วกล่าวอย่างเยือกเย็นว่า “ให้ท่านย่ารอก็ไม่เป็นไร”
นางต้องทำให้พี่สาวเข้าใจอย่างชัดเจนว่า ที่จวนตงผิงปั๋วนี้ท่านพ่อคือตงผิงปั๋ว และการที่พี่สาวเดินทางกลับมาพักอาศัยไม่ใช่เป็นเพียงการขอที่พำนัก ซึ่งจะต้องระมัดระวังทุกกิริยาท่าทางแม้ต่อบ่าวรับใช้ ต่อให้เป็นบ่าวรับใช้จากจวนของท่านย่าก็ตาม
เจียงอีตกตะลึงกับท่าทางของเจียงซื่อยิ่งนัก นางมองไปอย่างเหม่อลอยแล้วกล่าวว่า “น้องสี่ ท่านย่าอาจจะลงโทษ…”
หากว่าน้องสาวถูกท่านย่าเกลียดชังเข้าเนื่องจากตน นางเองก็คงรู้สึกไม่ดีเป็นที่สุด
เจียงซื่อได้ยินดังนั้นก็หัวเราะขึ้น
“น้องสี่หัวเราะสิ่งใดกัน” เจียงอีรู้สึกว่าน้องสาวของนางในบัดนี้แตกต่างจากคนเดิมในความทรงจำยิ่งนัก
“พี่ใหญ่ อย่าได้กังวลไป ท่านย่าจะลงโทษหรือไม่ไม่ใช่เรื่องสำคัญแต่อย่างใด”
จู่ๆ เจียงซื่อก็รู้สึกว่าการมีท่านย่าที่เห็นต่อผลประโยชน์อันดับแรกเช่นนี้ก็ไม่เลว
บนโลกใบนี้เรื่องเงินทองและผลประโยชน์อำนาจไม่ได้มีความสำคัญเท่าไรนัก ที่ซับซ้อนที่สุดนั่นคือความรู้สึกต่างหาก
คนเช่นท่านย่าดียิ่งนัก เพียงแค่นางทำให้ท่านย่ารู้สึกและเข้าใจว่านางมีประโยชน์ หากจะทำตัวนอกลู่นอกทางบ้างก็ไม่เป็นไรหรอก
“น้องสี่ ข้าไม่ค่อยเข้าใจความหมายของเจ้าเท่าไรนัก…”
เจียงซื่อตบลงไปที่มือของเจียงอีเบาๆ แล้วลุกขึ้นยืนกล่าวว่า “พี่อยู่เป็นเพื่อนเยียนเยียนไปเถอะ ข้าจะไปที่ชื่อเรือนฉือซินสักหน่อย”
อาฝูถูกทิ้งให้ยืนอยู่ด้านนอก ซึ่งทำให้นางรู้สึกอึดอัดใจนัก
นางเป็นบ่าวรับใช้ที่มีอำนาจสูงสุดของเหล่าฮูหยิน ไม่ว่าจะพบเจอกับผู้ใด ทุกคนล้วนทำท่าทางเกรงอกเกรงใจนาง นี่เป็นครั้งแรก ที่นางนั่งรอคอยอยู่เนิ่นนานและโดดเดี่ยวเช่นนี้
เมื่อนางเห็นหญิงสาวใบหน้างดงามแต่ช่างเยือกเย็นเดินออกมาจากข้างใน ความรู้สึกโมโหเมื่อครู่ในจิตใจของอาฝูก็ดับลง
คุณหนูสี่คือคนที่กล้าโต้เถียงและด่าทอตระกูลจูต่อหน้าศาล ส่วนตนที่เป็นเพียงบ่าวธรรมดาคงไม่อาจจะไปต่อกรได้
บางทีอาจเป็นเพราะประโยคนั้นที่ว่าแม้แต่ผียังคนร้าย อาฝูจึงได้เดินเข้ามาแล้วคารวะหญิงสาวตามสัญชาตญาณ ก่อนกล่าวทักทายอย่างนอบน้อมถ่อมตนว่า “คุณหนูสี่เจ้าคะ เหล่าฮูหยินเชิญเจ้าค่ะ”
เจียงซื่อพยักหน้าเล็กน้อยแล้วก้าวขาเดินออกไป
อาฝูยังคงก้มศีรษะเดินตามไปอยู่ด้านหลัง แม้กระทั่งเดินออกไปจากเรือนแล้วก็ยังไม่กล้ายืดตัวตรง
เจียงอีที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างใช้สายตามองไปทางเจียงซื่อซึ่งเดินจากไปแล้วครุ่นคิด
“ท่านแม่ ต่อจากนี้เราจะอยู่ที่นี่หรือ” เยียนเยียนซึ่งอยู่ในอ้อมอกนาง นำมือน้อยๆ โอบไปที่ลำคอแล้วเงยหน้าถาม
เจียงอีก้มศีรษะแล้วยิ้มกับบุตรสาวด้วยท่าทางอ่อนโยนตอบว่า “ถูกต้องแล้ว นับแต่นี้เป็นต้นไปเราจะอยู่กันที่จวนของท่านตา”
“แล้วท่านพ่อเล่า ท่านพ่อจะมาอยู่ด้วยกันหรือไม่”
เจียงอีนี่เงียบไปเนิ่นนาน ก่อนจะยิ้มขึ้นแล้วบอกกับเยียนเยียนว่า “ท่านพ่อของเจ้าไม่มาหรอก แต่นับจากนี้เป็นต้นไปแม่จะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าทั้งวัน เยียนเยียนอยากจะไปซื้อปิงถังหูลู่แม่ก็จะไปด้วย เยียนเยียนอยากจะไปดูการแสดงที่สะพานลอยแม่ก็จะไปด้วย เยียนเยียนว่าดีหรือไม่”
สำหรับเด็กอายุสามขวบนั้น นี่ช่างเป็นสิ่งที่ดึงดูดอย่างไม่ต้องสงสัย เยียนเยียนจึงพยักหน้าตอบรับด้วยท่าทางดีอกดีใจ
“เหล่าฮูหยินเจ้าคะ คุณหนูสี่เดินทางมาถึงแล้วเจ้าค่ะ”
เฝิงเหล่าฮูหยินพยักหน้าเป็นความหมายให้อาฝูออกไปด้านนอก ก่อนจะกล่าวขึ้นให้เจียงซื่อรู้สึกอึดอัดใจว่า “หลานสี่ ยังจำได้หรือไม่ว่าข้าเป็นย่าของเจ้า”
“แน่นอนว่าหลานยังจำได้เจ้าค่ะ”
“เพียงแค่เดินทางมาเรือนฉือซิน จะต้องให้ข้าเอาเกี้ยวไปรับหรือไม่”
เจียงซื่อไม่ได้ตอบรับประโยคนี้ของนาง เพียงแต่ยิ้มแล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “ท่านย่า ท่านเห็นหนังสือตัดขาดความสัมพันธ์แล้วหรือไม่”
“เห็นแล้วอย่างไรเล่า” ความโมโหในใจของเฝิงเหล่าฮูหยินดูลดน้อยลงเล็กน้อย
เรื่องที่บุตรชายคนโตของนางพาบุตรสาวไปยังศาลาว่าการพระนครเพื่อตัดขาดความสัมพันธ์กับตระกูลจู เฝิงเหล่าฮูหยินได้ส่งคนไปสืบเรื่องมาแล้ว ทุกท่าทางการแสดงออกของเจียงซื่อในศาล หญิงชรารับรู้อย่างชัดเจน
หญิงสาวผู้นี้ ใจกล้าหาญยิ่งกว่าที่นางเคยคิดเอาไว้
และด้วยเหตุนี้เอง นางไม่รู้ว่าควรจะแสดงท่าทางเช่นไรกับหลานสาวคนนี้
“ก่อนหน้านี้ที่หลานได้พนันกับท่านย่าเอาไว้ ดูเหมือนว่าหลานจะชนะแล้ว”
สีหน้าของเฝิงเหล่าฮูหยินมืดมนลงทันใด “ทำไมหรือ เจ้าชนะแล้วจึงอยากจะมาร้องขอสิ่งของใด ข้าจำได้ว่าเดิมพันที่กล่าวเอาไว้ คือนับจากนี้ข้าจะไม่เข้าไปวุ่นวายกับพี่สาวเจ้าและบุตรสาวของนาง”
เจียงซื่อยิ้มแล้วส่ายหน้า “หลานมิกล้าทวงขอสิ่งของใดหรอกเจ้าค่ะ หลานเพียงแค่ต้องการอยากจะบอกกับท่านย่าว่า อีกหนึ่ง เดิมพันนั้นหลานเองก็คงชนะแน่”
แค่กๆ! เจียงอันเฉิงส่งสายตาไปทางเจียงซื่อ
เจ้าเด็กนี่ จู่ๆ มากล่าวถึงเรื่องนี้ทำไมกัน ข้ายังอยากจะหาเวลาว่างสนทนากับเสี่ยวอวี๋ดูสักหน่อย
ดวงตาของเฝิงเหล่าฮูหยินจับจ้องไปที่เจียงซื่อแล้วกล่าวเพียงสามคำว่า “ข้าจะรอ”
เมื่อเดินออกมาจากเรือนฉือซิน เจียงอันเฉิงก็ทำหน้าดำคร่ำเครียดเดินออกไปข้างหน้า
นางจึงได้เอื้อมมือไปดึงชายเสื้อของเขาเอาไว้
“ท่านพ่อ ท่านโกรธหรือเจ้าคะ”
เจียงอันเฉิงไม่อยากสนใจนาง เขารีบก้าวขาออกไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งผ่านไปสักครู่จึงได้หยุดลงแล้วตะคอกออกมาว่า “ข้าคือพ่อของเจ้า เรื่องการแต่งงานของเจ้านั้นข้าเป็นผู้ตัดสินใจ!”
“แต่ลูกได้เดิมพันกับท่านย่าเอาไว้แล้ว”
“ยกเลิกเดิมพันไปเสีย” เจียงอันเฉิงกล่าวออกมาอย่างดุดัน
บัดนี้บุตรสาวคนโตของเขากลับมาที่จวนแล้ว หนังสือตัดขาดความสัมพันธ์ก็ได้รับมาแล้ว หากว่าจะยกเลิกเดิมพันไป ถึงอย่างไรหญิงชราก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้
“สรุปคือ เรื่องนี้เจ้าไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่เจ้าควรฟังข้า” เจียงอันเฉิงสะบัดแขนเสื้อกลับคืนมา “จงไปอยู่เป็นเพื่อนพี่สาวเจ้าเถอะ พ่อยังมีเรื่องต้องจัดการ”
อย่าคิดว่าเขาไม่เห็น ระหว่างเดินทางกลับจวนปั๋ว ซื่อเอ๋อร์ได้ยกมุมม่านเพื่อแอบดูเสี่ยวอวี๋ เห็นได้ชัดว่าเจ้าเด็กคนนี้รู้สึกชื่นชอบเสี่ยวอวี๋มากเช่นกัน แล้วนางคิดจะแต่งงานกับตระกูลมั่งคั่งอะไรนั่นทำไมกันเล่า
บรรดาบุตรหลานของตระกูลใหญ่เหล่านั้นจะมั่นคงน่าเชื่อถือเท่ากับเสี่ยวอวี๋ได้อย่างไร
เจียงอันเฉิงกำชับบุตรสาวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตัวเขาก็เดินมาที่สวนดอกไม้ เขาได้ยินเสียงหัวเราะเฮฮาลอยแว่วดังออกมา จากสวนดอกไม้เบาๆ
เมื่อพบว่าเจียงอันเฉิงเดินเข้ามา อวี้จิ่นก็รีบลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวว่า “ท่านลุง”
เจียงอันเฉิงเดินเอามือไขว้หลังตรงเข้ามา “เสี่ยวอวี๋ นั่งก่อนเถิด”
เขาเหลือบไปมองดูบุตรชายแล้วเอ่ยถามว่า “สนทนาเรื่องใดกันอยู่รึ”
“ข้ากำลังกล่าวถึงเรื่องในหน่วยองครักษ์จินอู๋ให้แก่พี่อวี๋ชีฟังขอรับ”
เจียงอันเฉิงพยักหน้าเป็นความชื่นชม
ใกล้เกลือกินด่างจริงๆ เจ้าลูกคนนี้ที่เดิมที่ไม่เอาการเอางาน เมื่อสนิทชิดเชื้อกับเสี่ยวอวี๋ก็กลับดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมา
“เสี่ยวอวี๋ ปีนี้เจ้าอายุเท่าไรแล้ว”
หัวใจของอวี้จิ่นสะดุ้งโหยง
คำถามนี้เขายินดีอยากจะตอบยิ่งนัก และรู้สึกว่าเหมือนจะมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้น
“ปีนี้หลานอายุได้สิบแปดปีแล้วขอรับ” ต่อให้ภายในใจจะรู้สึกตื่นเต้นสักเพียงไร แต่การแสดงออกของอวี้จิ่นก็ยังคงดูสงบนิ่งดังเดิม
“สิบแปดปีหรือ เป็นวัยที่ดีนัก”
อวี้จิ่นยังคงยิ้มดังเดิม
เจียงอันเฉิงรู้สึกว่าควรจะสงบเสงี่ยมลงเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงได้แต่ถอนหายใจออกมา
“ท่านลุงเป็นอะไรไปหรือขอรับ”
“เฮ้อ เสี่ยวอวี๋ เจ้ายังไม่มีครอบครัว เจ้าไม่เข้าใจความรู้สึกของผู้เป็นพ่อหรอก บุตรสาวคนโตของข้าแต่งงานกับคนที่ไม่ดี บัดนี้ข้าเอง ก็ไม่อยากจะให้บุตรสาวคนรองออกเรือนเลย”
อวี้จิ่นได้ยินดังนั้นก็ชะงักลงทันที ก่อนจะยิ้มแห้งออกมาว่า “ท่านลุงอย่าได้ห่อเหี่ยวใจไป บุรุษดีๆ ก็มีขอรับ”
“งั้นหรือ ไหนเล่า”
อวี้จิ่นยิ้มที่มุมปาก
ชายหนุ่มที่เพียบพร้อมเช่นนี้ ท่านไม่เห็นได้อย่างไร
“หลานคิดว่าชีวิตนี้ควรจะอยู่กันเป็นคู่ หากอยู่อย่างโดดเดี่ยว ไม่เพียงแต่จะวุ่นวายใจ อีกทั้งยังทำให้ท่านลุงต้องสิ้นเปลืองเงินทองด้วยขอรับ”
เจียงอันเฉิงหัวเราะออกมาเสียงดัง “อืมนี่เป็นเหตุผลที่ยอดเยี่ยมนัก”
เขาคิดเอาไว้แล้วเชียว การที่ได้แต่งงานกับเสี่ยวอวี๋ผู้เป็นคนธรรมดาแต่ขยันขันแข็งเช่นนี้ ช่างมั่นคงและมีความสุขยิ่งนัก
หลังจากสนทนากับอวี้จิ่นสักพัก เจียงอันเฉิงรู้สึกว่าเรื่องของเจียงซื่อจะยืดเยื้อออกไปไม่ได้อีกแล้ว เขาจึงได้เชิญเจินซื่อเฉิงมาร่วมดื่มน้ำชาด้วย
“พี่เจิน ในวันนี้ข้ามีเรื่องจะร้องขอสักหน่อย”
เจินซื่อเฉิงยกแก้วน้ำชาขึ้นดื่มแล้วเงี่ยหูฟัง
“เสี่ยวอวี๋คือลูกน้องผู้ใต้บังคับบัญชาของท่าน ข้าอยากจะรู้ว่าสถานะทางบ้านเขาเป็นเช่นไร และความคิดของเขานั้นเป็นอย่างไร หากว่าเหมาะสมกันล่ะก็ ข้าอยากจะให้เขาแต่งงานกับลูกสาวคนเล็กของข้า”
เจินซื่อเฉิงทำท่าทางหน้าตาแปลกประหลาดไป “น้องเจียงไม่รู้หรือว่าเสี่ยวอวี๋คือผู้ใด”