เนื่องด้วยเป็นเวลาเข้าคารวะตามปกติทั่วไป ดังนั้นในเรือนฉือซินจึงมีคนทั้งนั่งทั้งยืนมากมาย
เมื่อได้ยินว่าคุณชายโต้วเดินทางมา เจียงเชี่ยวหรือคุณหนูสามก็มองออกไปด้านนอกด้วยความประหลาดใจ
คุณหนูห้าเจียงลี่ได้แต่ก้มหน้าก้มตาลง ท่าทางของนางดูสงบนิ่งเรียบร้อย ส่วนเจียงเพ่ยคุณหนูหกขมวดคิ้วเข้าหากันไม่รู้ว่าคิดสิ่งใดอยู่
เฝิงเหล่าฮูหยินยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นว่า “วันนี้พวกเจ้าเดินทางมาพร้อมหน้าพร้อมตากันเหมาะเจาะพอดี มาทำความรู้จักกับอาชายของพวกเจ้าสิ”
โต้วฉี่ถงอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าตามคำรบเร้าของบ่าวรับใช้ ดังนั้นเมื่อเขาก้าวมาด้านใน ร่างกายจึงส่งกลิ่นหอมลอยมาตามลม
“คารวะท่านป้าขอรับ”
เฝิงเหล่าฮูหยินยิ้มแล้วสั่งให้โต้วฉี่ถงลุกขึ้น “เมื่อคืนนี้นอนหลับสบายดีหรือไม่”
ยังไม่ทันกล่าวจบ สายตาของนางก็เหลือบไปเห็นดวงตาดำคล้ำของโต้วฉี่ถง
ประโยคเอ่ยถามเมื่อครู่ของเหล่าฮูหยินจึงได้หยุดลง นางขมวดคิ้วถามว่า “เป็นอะไรไป ดูเหมือนเมื่อคืนนี้เจ้าจะนอนไม่หลับ เป็นเพราะเตียงนอนไม่สบาย หรือบ่าวรับใช้ดูแลไม่ดี”
โต้วฉี่ถงรีบกล่าวขึ้นด้วยความรวดเร็วว่า “ไม่ใช่ขอรับ เป็นเพราะหลานเปลี่ยนสถานที่นอนจึงทำให้นอนหลับไม่สนิท”
โต้วฉี่ถงเงยหน้าขึ้นทันใด
“นี่คือคุณหนูสาม”
หญิงสาวที่ปรากฏกายอยู่ตรงหน้าเขาช่างงดงามยิ่ง จนทำให้เขากำลังจะยิ้มออกมา แต่ผลกระทบจากเรื่องเมื่อคืนนี้ มันมากมายเหลือเกิน เขาจึงได้แต่ผงะไม่กล้ายิ้ม
แต่จะว่าไป จวนปั๋วมีแต่คนหน้าตาดี คุณหนูสามก็หน้าตางดงามยิ่งนัก…
เจียงซื่อเหลือบไปเห็นแววตาของโต้วฉี่ถง นางคิดอยู่แล้วว่าสุนัขไม่อาจแก้นิสัยกินอุจจาระได้
“ท่านอาโต้ว” เจียงเชี่ยวคารวะโต้วฉี่ถงจากนั้นถอยหลังออกไปอยู่ด้านข้าง
ท่านอาชายคนนี้แม้จะหน้าตาหล่อเหลาเอากัน แต่ขอบตาของเขาช่างดำคล้ำราวกับว่าค้างแรมอยู่ในหอนางโลมนับเดือน มองไปแล้วไม่ใช่คนดีนัก
เฝิงเหล่าฮูหยินเหลือบไปมองเจียงซื่อ “นี่คือคุณหนูสี่”
“คารวะท่านอาโต้ว”
ในขณะที่โต้วฉี่ถงกำลังจะโค้งกายตอบกลับ เมื่อเขาได้ยินน้ำเสียงอันเยือกเย็นนี้ จู่ๆ ก็รู้สึกตัวสั่นสะท้านราวกับว่าเปลื้องผ้าวิ่งออกไปด้านนอกอันหนาวเหน็บ เขาได้สติกลับคืนมาทันที
เมื่อเงยหน้าขึ้น เขาก็เบิกตากว้างขำท่าทางตกตะลึงแล้วร้องออกมาเสียงหลงว่า
“เจ้า!”
บรรยากาศอันแปลกประหลาดไปเช่นนี้จึงทำให้ดึงดูดสายตาของทุกคน
เฝิงเหล่าฮูหยินขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วมองทั้งสองคนไปมา
คนหนึ่งตกใจราวกับเห็นผี อีกคนหนึ่งกลับนิ่งสงบ
“ฉี่ถง?”
เฝิงเหล่าฮูหยินตะโกนออกมา เพื่อดึงสติของโต้วฉี่ถง
เมื่อสักครู่เขาเกือบจะวิ่งออกจากประตูไปแล้วเชียว
“ฉี่ถง เจ้าเป็นอะไรไปหรือ” เฝิงเหล่าฮูหยินรู้สึกได้ว่าสองคนนี้มีอะไรบางอย่างแปลกไป จึงได้เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงต่ำทุ้ม
โต้วฉี่ถงหันไปมองเจียงซื่อตามสัญชาตญาณ
หญิงสาวไม่ได้มีท่าทางเปลี่ยนไปแต่อย่างใด ดวงตาของนางเยือกเย็นดุจหยกและยังคงสงบนิ่ง
โต้วฉี่ถงเอ่ยถามขึ้นว่า “นางคือผู้ใด”
เฝิงเหล่าฮูหยินขมวดคิ้วเข้าจนหัวคิ้วแทบจะติดกัน “ฉี่ถง เมื่อสักครู่เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าแนะนำหรือ นี่คือคุณหนูสี่แห่งจวนของเรา บุตรสาวคนรองของพี่ใหญ่เจ้า”
โต้วฉี่ถงมองไปทางเจียงซื่อ ริมฝีปากเขาขยับเล็กน้อย
หญิงสาวที่โหดเหี้ยมอำมหิตผู้นี้คือบุตรสาวของพี่ใหญ่
เมื่อรู้ถึงตัวตนของเจียงซื่อแล้ว ความโกรธในใจของโต้วฉี่ถงก็พลุ่งพล่านขึ้นมา
นางเป็นถึงบุตรสาวในตระกูลใหญ่โต เหตุใดจึงได้แกล้งข่มขู่เขาเช่นนั้น นางไม่กลัวหรือว่าหากตนเอาเรื่องนี้พูดออกไปแล้วจะทำให้ชื่อเสียงของตนเองต้องเสียหาย?
แต่เมื่อความรู้สึกโมโหนี้ผุดขึ้น ก็ถูกสายตาอันเยือกเย็นที่จ้องมองมากดทับลงไป
โต้วฉี่ถงได้สติกลับคืนมาอีกครั้ง
เป็นบุตรสาวของพี่ใหญ่แล้วอย่างไรเล่า แม่นางผู้นี้บุกเข้าไปในห้องนอนของเขายามวิกาลดุจดั่งภูตผี อีกทั้งข่มขู่ว่าจะตัดเจ้าโลกของเขาทิ้ง คิดว่าเขาสู้ไม่ได้หรือไร
แม้จะสู้ไม่ได้ แต่เขาก็หลบได้
โต้วฉี่ถงกล่าวขึ้นอย่างมีเลศนัยว่า “ไม่รู้เพราะเหตุใด ข้ารู้สึกว่าหน้าตาของคุณหนูสี่ช่างคุ้นเคยนัก ราวกับเคยเห็นที่ใดมาก่อนแต่นึกไม่ออก ขออภัย”
ต่อมาเมื่อแนะนำกับเจียงลี่และเจียงเพ่ย เห็นได้ชัดว่าโต้วฉี่ถงจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เฝิงเหล่าฮูหยินมักจะขมวดคิ้วเข้าหากัน หลานชายที่ไม่ได้พบหน้ากันมาหลายปีผู้นี้ นางรู้สึกไม่พอใจเท่าไรนัก
สำหรับเฝิงเหล่าฮูหยินที่แม้แต่หลานสาวในไส้ของตนนางยังไม่ได้ให้ความสนใจและให้ค่าสักเท่าไร นับประสาอะไรกับบุตรชายของน้องสาว
นางส่งคนไปรับหลานสาวมาจากเมืองจินซาก็เพื่อต้องการจะให้มาเป็นภรรยาของบุตรชายคนโตของตน เพื่อให้เซียวซื่อฟื้นคืนสติ ส่วนหลานชายคนนี้เพียงแค่รับติดมาด้วยเท่านั้น
เดิมทีนางคิดว่าพาหลานชายมาด้วยก็ไม่เลว หากให้เขาพำนักอยู่ในจวน ในอนาคตอาจจะสามารถช่วยเหลือบุตรหลานของตนได้ แต่บัดนี้มองดูแล้วเขาค่อนข้างใจร้อน
ต่อให้หลานสี่เคยพบกับเขามาก่อน แต่ในฐานะญาติผู้ใหญ่เหตุใดจึงได้ทำท่าทางลุกลี้ลุกลนต่อหน้าหลาน การที่ไม่อาจระงับตนเองได้เพียงนี้ อนาคตจะมีหน้ามีตาได้อย่างไร
อาหญิงโต้วที่อยู่ด้านข้างเห็นท่าทางของพี่ใหญ่ นางก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาแล้วกำผ้าเช็ดหน้าเอาไว้แน่น
ส่วนประโยคต่อไปที่ออกมาจากปากของโต้วฉี่ถงทำให้ทุกคนรู้สึกตกตะลึงยิ่งไปกว่าเดิม
“ท่านป้าขอรับ เมื่อคืนนี้หลานนอนไม่หลับกระสับกระส่าย เมื่อคุณคิดดูอีกทีก็รู้สึกว่าควรจะเดินทางออกจากจวนนี้ไปใช้ชีวิตของตัวเอง”
อาหญิงโต้วอดไม่ได้ที่จะมองไปทางโต้วฉี่ถง แววตาของนางเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
เฝิงเหล่าฮูหยินจ้องไปที่โต้วฉี่ถง “เจ้าว่าอย่างไรนะ”
“ถึงอย่างไรหลานก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว หากอาศัยอยู่ในจวนของท่านป้าไปนานๆ ก็คงไม่สะดวกนัก หลานอยากจะออกไปหาห้องเช่าสักแห่งแล้วลองดิ้นรนด้วยตนเอง หากประสบความสำเร็จละก็นับว่าไม่เสียแรงบิดามารดาที่เลี้ยงมา…”
โต้วฉี่ถงกล่าวประโยคนี้ออกไป แต่เฝิงเหล่าฮูหยินส่ายหน้าไม่เห็นด้วย
เมื่อวานนี้เขาเพิ่งจะเดินทางมาถึง แต่วันนี้กลับจะย้ายออกไป แม้มองจากอนาคตจะนับว่าเป็นเรื่องดี แต่ก็ทำให้นางเสียหน้า ผู้ใดที่ไม่รู้อาจคิดว่านางไม่ยินดีต้อนรับหลานชายที่มาจากแดนไกล
แม้เฝิงเหล่าฮูหยินจะรักในผลประโยชน์ แต่จวนปั๋วก็ไม่ยากจนถึงขนาดไม่อาจให้ข้าวเขากินได้
โต้วฉี่ถงจะกล้าอาศัยอยู่ต่อได้อย่างไร เมื่อต้องแบกรับสายตาอันเยือกเย็นซึ่งจ้องมองมาจากทางด้านหลังเขา ในที่สุดเขาก็ทำให้เฝิงเหล่าฮูหยินยอมรับการร้องขอด้วยการอ้อนวอนต่างๆ นานา เหลือก็เพียงแต่ยกมือขึ้นสาบาน
เรื่องห้องเช่าได้มอบหมายให้พ่อบ้านไปจัดการ ส่วนเดิมทีการเก็บของควรจะเป็นหน้าที่ของกัวซื่อซานไท่ไท่ แต่อาสะใภ้โต้วลับอาสาไปทำด้วยตนเอง
เฝิงเหล่าฮูหยินมองไปทางหลานสาวด้วยความเอ็นดูก่อนจะพยักหน้า
สิ่งที่ทำให้นางรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งก็คือ แม้หลานสาวผู้นี้มองไปจะเป็นคนเงียบๆ เรียบร้อย แต่เมื่อถึงคราต้องกำชับบ่าวรับใช้นางก็สามารถจัดการได้อย่างเป็นระเบียบ ทำให้หญิงชรามั่นใจในการตัดสินใจของนางและพึงพอใจเป็นที่สุด
“น้องพี่” โต้วฉี่ถงรีบส่งสายตาให้แก่อาหญิงโต้วขณะที่คนอื่นไม่ทันสังเกต
อาหญิงโต้วเดินตรงเข้ามา แววตาของนางจ้องไปที่ใบหน้าของโต้วฉี่ถงแล้วเอ่ยถามเบาๆ ว่า “พี่ใหญ่ก่อเรื่องขึ้นอีกแล้วใช่หรือไม่”
โต้วฉี่ถงแทบจะกระโดดขึ้นจากพื้น “ใช่เสียที่ไหนเล่า น้องอย่าได้มองพี่เป็นคนเช่นนั้น การที่ต้องการออกไปใช้ชีวิตคนเดียวนั่นก็เพราะอยากจะพยายามสักครั้ง”
อาหญิงโต้วก้มหน้าลงเล็กน้อย “เช่นนั้นก็ดีแล้ว เมื่อครูพี่ใหญ่เรียกข้ามีเรื่องอันใดหรือ”
โต้วฉี่ถงเหลือบมองไปรอบทิศก่อนจะกระซิบขึ้นว่า “น้องพี่ จากที่ข้ามองแล้วดูเหมือนท่านป้าต้องการจะจัดแจงเรื่องงานแต่งของเจ้าขึ้นในเมืองหลวงนี้ ก่อนที่เจ้าจะออกเรือนคงต้องอาศัยอยู่ในจวนปั๋วไปสักระยะหนึ่ง อย่างอื่นพี่ไม่เป็นกังวล มีเพียงผู้เดียวที่เจ้าจะต้องระมัดระวัง…”
“ผู้ใดกัน?”
“คุณหนูสี่!”
อาหญิงโต้วมองไปทางพี่ชายคนโตของนางก่อนจะกล่าวประโยคหนึ่งออกมาว่า “พี่ใหญ่กล่าวว่าไม่ได้ก่อเรื่องขึ้น แท้จริงแล้วพี่สร้างเรื่องทำให้คุณหนูสี่ขุ่นเคืองใจใช่หรือไม่”
เดิมทีนางก็รู้สึกว่าคุณหนูสี่ไม่ธรรมดา แล้วเหตุใดพี่ใหญ่จึงไปทำให้นางขุ่นเคืองกันเล่า
“ไม่ใช่ ไม่ใช่เช่นนั้น เอาเป็นว่าคอยระมัดระวังนางไว้เป็นพอ” โต้วฉี่ถงไม่กล้าที่จะบอกความจริงกับน้องสาวอย่างแน่นอน เมื่อกล่าวจบเขาก็ก้าวขาเดินออกไป
เจียงอันเฉิงกลับมาจากทำธุระข้างนอก ก็พบว่าลูกพี่ลูกน้องซึ่งอยู่ในบัญชีดำรอจัดการนั้นขนข้าวขนของออกไปแล้ว
เขาได้แต่ผงะแล้วแอบด่าอยู่ในใจว่า ไอ้เจ้าหมอนี่ถือว่าฉลาดเป็นกรด ไว้คราวหลังเขาจะไปจัดการสั่งสอนสักหน่อย
ทันใดนั้นบ่าวรับใช้อาฝูที่อยู่ข้างกายเฝิงเหล่าฮูหยินก็เดินตรงเข้ามาเชิญให้เจียงอันเฉิงไปที่เรือนฉือซิน