หลังงานเลี้ยงสิ้นสุดลง บนท้องนภาเต็มไปด้วยแสงดาวท่ามกลางความหนาวเย็น
อวี้จิ่นเพิกเฉยต่อท่าทางอันลังเลของเสียนเฟย จากนั้นก็ก้าวออกไปจากตำหนักทันที
ด้านนอกตำหนักหนาวเย็นยิ่งนัก บังเอิญพบเข้ากับเจียงจั้นที่กำลังเปลี่ยนกะเข้างาน
“น้องเจียงเอ้อร์” อวี้จิ่นที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักยิ้มแล้วตะโกนเรียกเขา
เจียงจั้นรีบวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วแล้วกล่าวว่า “ท่านอ๋อง อยู่ด้านนอกอย่าได้ตะโกนเรียกเช่นนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ บรรดาเพื่อนร่วมงานเหล่านั้นได้ยินเข้าคงไม่ดี”
ก่อนหน้านี้เจียงจั้นได้รับรู้ตัวตนที่แท้จริงของอวี้จิ่นจากบิดาของเขาที่โมโหเป็นฟืนเป็นไฟ เขาเองก็ตกตะลึงอยู่หลายวันกว่าจะทำใจได้
พี่อวี๋ชีที่นับเขาเป็นพี่น้องคือองค์ชาย?
เอ่อะ นี่ก็ยังไม่เท่าไร เนื่องจากเขานั้นมีสหายมากมาย ความสัมพันธ์ค่อนข้างกว้างขวาง ในเมื่อสามารถผูกมิตรกับยาจกได้ แล้วเขาผูกมิตรกับองค์ชายจะเป็นไรไป
เพียงแต่ว่า องค์ชายผู้นี้กลับชื่นชอบน้องสาวเขานี่สิ
ปัญหาอื่นนั้นไม่เท่าไร แต่ปัญหานี้มองข้ามไม่ได้
เจียงจั้นนับว่าเป็นคนที่เฉลียวฉลาด จากที่เขามองดูแล้วน้องสาวของเขานั้นดีหมดไปทุกด้าน แต่ถึงอย่างไรนางก็เคยถูกยกเลิกงานแต่งงานมาก่อน หากอภิเษกกับองค์ชาย อย่างมากก็คงเป็นได้เพียงสนมรอง
อย่ารังแกเขาเนื่องจากเห็นว่าเขาเรียนหนังสือน้อยเลย พระสนมรองก็คืออนุภรรยาไม่ใช่หรือไร หากว่าแต่งงานไปก็คงจะถูก พระชายารังแกข่มเหง จะให้เขาบุกเข้าไปในจวนอ๋องเพื่อจัดการแทนน้องสาวได้อย่างไร
ต่อให้มีทักษะการชกต่อยที่เก่งกาจก็ไม่ได้ เนื่องจากเขาเคยศึกษาเรื่องนี้มาก่อน นั่นเท่ากับเป็นการก่อกบฏ
ด้วยเหตุนี้ เจียงจั้นจึงได้อยู่ในแนวคิดเดียวกับบิดาของเขา ทั้งสองสามารถเป็นสหายกันต่อไปได้ แต่เขาไม่กล้าจะเป็นพี่ภรรยาของอวี้จิ่นอย่างแน่นอน
เมื่อมองไปที่เจียงจั้น อวี้จิ่นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโมโห
พ่อตาในอนาคตรู้สึกสับสนก็ช่างเถอะ แต่บัดนี้น้องเจียงเอ้อร์ก็เป็นไปกับเขาด้วย ตนอุตส่าห์ช่วยเขาไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เจ้าหมอนี่ดูเหมือนจะถูกเอ้อร์หนิวกัดกินหัวใจไปแล้วจึงไร้หัวใจเพียงนี้
“พวกเขาได้ยินแล้วอย่างไรเล่า” ต่อให้ในใจจะรู้สึกไม่พอใจยิ่งนัก แต่เพื่อจะได้ภรรยามาครอบครอง อวี้จิ่นจึงต้องพยายามอดกลั้นแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เจียงจั้นกะพริบตาแล้วพึมพำว่า “นั่นสินะ การที่ข้าและท่านอ๋องสนิทสนมกันหาได้เป็นเรื่องน่าละอายใจแต่อย่างใด”
“เรียกข้าว่าพี่เจ็ดจะดีกว่า”
เจียงจั้นรีบโบกไม้โบกมืออย่างรวดเร็ว “ไม่ได้หรอก ต่อให้เราไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ แต่ผู้ที่ได้ยินอาจจะนำไปขยายความได้”
อวี้จิ่นได้แต่ยิ้มขึ้น
“ทำไมหรือ” เขาอยู่เวรมาทั้งวันแล้ว บัดนี้เจียงจั้นรู้สึกว่าทั้งมือและเท้าแข็งทื่อ เขาจึงเดินไปพลางถูมือทั้งสองข้าง
“ข้าพบว่าน้องเจียงเอ้อร์ครุ่นคิดมากกว่าเมื่อก่อนเยอะทีเดียว”
เจียงจั้นยิ้มขึ้น “อาจเพราะกินข้าวเข้าไปเสริมปัญญา หากข้ายังคงไม่เอาไหน จะให้ท่านพ่อและน้องสาวคอยเป็นห่วงเป็นใยตลอดไปหรือ อ้อ ท่านอ๋อง งานเลี้ยงในราชวังน่าสนใจหรือไม่”
อวี้จิ่นเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
ตงจื้อในปีนี้ตรงกับวันที่สิบหกเดือนสิบเอ็ด บนท้องนภามีดวงจันทร์กลมโตดุจดั่งจานเคลือบ
ดวงจันทร์นั้นเย็นยะเยือก แสงจันทร์ที่ส่องกระทบลงมายังร่างของเขาดุจดั่งน้ำค้างแข็ง มีเพียงหัวใจเท่านั้นที่รู้สึกอบอุ่นเหลือเกิน
อวี้จิ่นยิ้มขึ้นแล้วกล่าวว่า “น่าสนใจยิ่งนัก เสด็จพ่อจะจัดการเรื่องงานอภิเษกให้ข้า”
“หา!” เจียงจั้นหยุดฝีเท้าลงกะทันหันแล้วหันมามองดูท่าทางของอวี้จิ่น เขาลืมว่าจะต้องเรียกฝ่ายตรงข้ามว่าอย่างไรไปชั่วขณะ “พี่อวี๋ชีล้อข้าเล่นหรือไม่”
“เรื่องนี้มีอะไรให้ล้อเล่นกัน ข้ามผ่านปีนี้ไปอายุข้าก็ได้สิบเก้าปีแล้ว จวนอ๋องจะไม่มีนายหญิงได้อย่างไร”
เจียงจั้นได้สติกลับคืนมาแล้วกำหมัด “ขอแสดงความยินดีกับท่านอ๋องด้วย”
ดีเหลือเกิน หากพี่อวี๋ชีอภิเษกแล้ว ตนจะได้ไม่ต้องกังวลว่าน้องสาวจะกลายเป็นแกะเข้าปากเสืออีก
สีหน้าของอวี้จิ่นมืดมนทันใด
การที่เขากล่าวเรื่องนี้กับเจียงจั้นนั้นเป็นเพราะต้องการดูว่าเจ้าหมอนี่คิดอย่างไร คาดไม่ถึงว่าเจ้าหมอนี่จะดูมีความสุขยิ่งนัก
น่าโมโหเหลือเกิน คืนนี้เขาจะข้ามกำแพงไปหาอาซื่อให้ได้!
เหอะๆ เจียงเอ้อร์เป็นคนที่หวงน้องสาวใช่หรือไม่ เช่นนั้นข้าจะไปนัดพบอาซื่อให้ได้เชียว!
เมื่อตัดสินใจแล้ว เขาก็หันไปมองท่าทีอันมีความสุขของเจียงจั้น ก่อนจะถอนหายใจออกมา
เมื่อทั้งสองแยกจากกัน เจียงจั้นก็เดินทางกลับไปที่จวนตงผิงปั๋ว
หลังจากที่ทำงานเหนื่อยล้ามาทั้งวัน ข้าวปลาก็ไม่ได้กินสักคำ เมื่อกลับไปถึงจวนเขาจึงกำชับให้อาจี๋ไปยังห้องครัวแล้วจัดเตรียมสำรับอาหารมาให้
ผ่านไปไม่นานอาจี๋ก็วิ่งกลับมาพร้อมกับปิ่นโตใส่อาหาร ด้านในมีกับข้าวสองสามอย่างและเหล้าหนึ่งไห จากนั้นก็นำเกี๊ยวนึ่งออกมาจานใหญ่
เจียงจั้นมองไปทางเกี๊ยวด้วยท่าทางประหลาดใจ เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามว่า “ปีนี้ในจวนเราเปลี่ยนแม่ครัวหรือ น่าสนใจยิ่งนัก”
เกี๊ยวในจานนี้มีทั้งแผ่นแป้งสีม่วง สีเขียวและสีเหลือง รสชาติเป็นเช่นไรนั้นยังไม่รู้ เพียงดูจากสีสันที่น่ามองก็รู้สึกน่ากินเหลือเกิน
อาจี๋ยิ้มขึ้นแล้วอธิบายว่า “คุณชายขอรับ เกี๊ยวห้าสีนี้คุณหนูสี่เป็นคนห่อด้วยตนเอง และกำชับกับคนในครัวว่าให้เหลือเอาไว้ให้คุณชายหนึ่งจาน”
เจียงจั้นได้ยินดังนั้นก็รู้สึกซาบซึ้งใจยิ่ง เขารีบใช้ตะเกียบคีบเกี๊ยวสีเหลืองตัวหนึ่งใส่เข้าไปในปาก ดวงตาของเขาเป็นประกายกล่าวว่า “นี่คือเกี๊ยวไส้ปลา อร่อยยิ่งนัก!”
เขาไม่รู้ว่าเป็นปลาอะไร แต่เนื้อปลาบดที่ทำเป็นเกี๊ยวนั้นรสชาติหอมหวานไม่อาจลืมเลือน
“สีเขียวเล่า สีเขียวไส้อะไรหรือคุณชาย” ดูเหมือนอาจี๋จะรู้สึกตื่นเต้นยิ่งกว่าตนได้กินเองเสียอีก เขารีบเอ่ยถามทันที
เจียงจั้นใช้ตะเกียบคีบเกี๊ยวสีเขียวขึ้นมากิน ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ไส้ผัก ด้านในมีเห็ดหูหนูและถั่วงอก”
“คุณหนูสี่ช่างมีฝีมือเหลือเกิน”
เจียงจั้นเหลือบมองดูอาจี๋ “คุณหนูสี่เป็นอย่างไร ไม่ต้องให้เจ้าบอกหรอก”
แน่นอนว่าน้องสาวของเขามีฝีมือประณีต อีกทั้งเฉลียวฉลาด รองเท้าที่เขาสวมใส่อยู่นั้นน้องสี่ก็เป็นคนทำด้วยตนเอง
เกี๊ยวร้อนๆ ในจานถูกใส่ลงไปในกระเพาะอาหาร บัดนี้หัวใจของเจียงจั้นรู้สึกอบอุ่นขึ้น น้องสี่คิดถึงเขาเพียงนี้ หากเขาไม่เดินทางไปขอบคุณสักหน่อยคงจะรู้สึกไม่ดี
เมื่อเหลือบมองไปที่ท้องฟ้าก็พบว่าท้องฟ้าในฤดูหนาวได้มืดลงแล้ว แท้จริงบัดนี้เพิ่งจะเลยเวลาอาหารเย็น ยังเร็วเกินไปที่จะเข้านอน
อืม เข้าไปหาน้องสีที่เรือนไห่ถังสักหน่อยดีกว่า
เจียงจั้นตั้งใจดังนั้นและไม่ได้พาอาจี๋ไปด้วย เขามุ่งหน้าตรงไปที่เรือนไห่ถังทันที
ขณะนี้ประตูที่สองยังคงเปิดอยู่ แม่บ้านที่เป็นคนเฝ้าประตูหลบอยู่ข้างในห้องเล็กๆ เพื่อเพิ่มความอบอุ่นแก่ร่างกาย นางมองออกไปด้านนอกเป็นครั้งคราว เมื่อเห็นว่าเจียงจั้นเดินทางมาก็ได้รีบวิ่งออกไปทักทาย
บัดนี้ในจวนมีผู้ใดไม่รู้บ้างว่าคุณชายรองที่เดิมทีไม่เป็นเรื่องเป็นราว บัดนี้กลับมีหน้าที่การงานดี ดีไม่ดีอาจมีโชคดีมากกว่านี้
เจียงจั้นโบกไม้โบกมือแล้วรีบเดินตรงเข้าไป
เจียงจั้นได้ยินอาเฉี่ยวรายงานว่าคุณชายรองเดินทางมา นางตกตะลึงเล็กน้อยแล้วรีบเดินออกไปทักทาย
เจียงซื่อรู้อยู่แก่ใจว่าอวี๋ชีเป็นคนที่พูดคำไหนคำนั้น ในปีนี้คงจะเป็นเทศกาลตงจื้อครั้งสุดท้ายที่นางอาจจะอยู่ในจวนปั๋ว ดังนั้นนางจึงได้คิดทำเกี๊ยวขึ้นมาจากใจ ให้แก่ท่านพ่อ พี่ใหญ่และพี่รอง
จะว่าไปแล้ว เกี๊ยวห้าสีเช่นนี้นางได้เรียนมาจากทางใต้
“น้องสี่ออกมาข้างนอกทำไมเล่า หนาวจะตายแล้ว”
เจียงซื่อมองไปที่พี่ชายของตนแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “พี่รองทำงานเหนื่อยแล้วมิใช่หรือ อากาศหนาวเหน็บเช่นนี้ยังจะออกมาเดินลาดตระเวนอีก”
เจียงจั้นยิ้มออกมาเผยเห็นฟันขาวผ่อง เขาเดินเข้าไปด้านในพร้อมกับเจียงซื่อแล้วนั่งลง “ไม่เหนื่อยหรอก ได้กินเกี๊ยวที่น้องสี่ส่งไปให้แล้วยิ่งไม่เหนื่อยเลย”
“พี่รองชอบก็ดีแล้ว”
เจียงจั้นมองไปที่น้องสาวของตน ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ช่างน่ามองเหลือเกิน มิน่าเล่า พี่อวี๋ชีแม้จะเป็นถึงองค์ชายก็ยังชื่นชอบนาง
เมื่อคิดได้ดังนั้น จู่ๆ เขาก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจสหายขึ้นมาทันที
น้องสาวผู้เพียบพร้อมผู้นี้ จะไม่เกี่ยวข้องอันใดกับพี่อวี๋ชีอีกแล้ว
“พี่รองเป็นอะไรไปหรือ” เจียงซื่อสังเกตได้ถึงอาการผิดปกติไปจึงได้เอ่ยถามเจียงจั้น
เจียงจั้นหัวเราะออกมาเพื่อปกปิด แล้วกล่าวว่า “ไม่มีอะไรหรอก เกี๊ยวของน้องสี่นั้นอร่อยยิ่งนัก จึงได้ตั้งใจเดินทางมาขอบคุณสักหน่อย”
“ไว้ข้าจะทำให้พี่รองกินอีก”
เจียงจั้นรีบโบกไม้โบกมือว่า “ไม่เป็นไรหรอก หากเจ้าทำอาหารบ่อยไป มืออาจจะด้านได้” แต่เมื่อครุ่นคิดถึงรสชาติของเกี๊ยวห้าสีเขาก็รู้สึกเสียดายจึงได้เอ่ยขึ้นว่า “ให้บ่าวสองคนนั้นเรียนรู้จากเจ้า เมื่อถึงเวลาอยากกินก็ให้พวกนางทำ”
อาหมานและอาเฉี่ยวกลอกตามองพร้อมกัน
ทันใดนั้นเองจู่ๆ ก็มีเสียงเคาะดังขึ้นบริเวณหน้าต่าง