ค่ำคืนนี้ไม่มีลม เสียงเคาะตรงหน้าต่างจึงได้ยินชัดมากเป็นพิเศษ
สีหน้าของเจียงจั้นเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาพลันยืนขึ้น
อาหมานพุ่งเข้ามาหาอย่างกะทันหัน “คุณชายรอง เดี๋ยวบ่าวไปยกน้ำชามาให้เจ้าค่ะ!”
“หลีกไป” เจียงจั้นผลักอาหมานออกด้วยสีหน้าเข้มขมวด แล้วเดิน ฉับๆ ไปยังหน้าต่าง
เขาฟังไม่ผิดแน่ มีคนอยู่ตรงหน้าต่าง!
ฟ้ามืดแล้ว แล้วนี่เป็นห้องส่วนตัวของน้องสี่ ตรงหน้าต่างกลับมีคนมาหา จะให้เขาปล่อยไปได้อย่างไร!
เจียงจั้นพุ่งไปยังหน้าต่างด้วยหน้าเขียว แม้แต่เสียงเรียกคำว่า “พี่รอง” ของเจียงซื่อ ก็ยังไม่สามารถหยุดฝีเท้าของเขาลงได้
หน้าต่างถูกเปิดออกอย่างแรง ลมเย็นพุ่งเข้ามาอย่างจัง
เจียงซื่อนับว่ายังนิ่ง แต่กลับเป็นอาหมานกับอาเฉี่ยว ที่เอามือปิดปากตัวเองอย่างไม่รู้ตัว
ตายแน่ๆ คุณชายรองกำลังจะจับได้แล้วว่าคุณหนูกับคุณชายอวี๋แอบพบกัน! ทำอย่างไรดี คุณชายรองจะจับพวกนางโยนเข้าคอกหมูหรือไม่
นี่คือความคิดของอาเฉี่ยว
ส่วนอาหมานปิดตาลงไม่กล้ามอง
คุณชายรองกับคุณชายอวี๋จะรบกันจนนองเลือดหรือไม่ ถ้าสู้กันขึ้นมาจริงๆ นางจะช่วยคุณชายรอง หรือคุณชายอวี๋ดี
อาหมานลืมตาขึ้นอย่างลำบากใจ นางมองไปยังหน้าต่าง แล้วตาก็เบิกกว้างในทันใด
คนที่ตะลึงตกใจยิ่งกว่าอาหมานคือเจียงจั้น
เขาสบตากับสุนัขตัวใหญ่ด้านนอกหน้าต่างจนนึกว่าตาลาย เลยยกมือขึ้นขยี้ตา
ใช่เอ้อร์หนิวไม่ผิดแน่!
เอ้อร์หนิวเกาะอยู่บนขอบหน้าต่างด้วยสองเท้าหน้าพร้อมกับท่าสูดดม
เจียงจั้นทำหน้าขรึมอย่างสมบูรณ์ จากนั้นเริ่มต่อว่าอย่างออกหน้า “เอ้อร์หนิว วันนี้ข้าจะฆ่าและกินเนื้อเจ้า!”
เอ้อร์หนิวยกเท้าหน้าข้างหนึ่งขึ้นมา คล้ายว่ากำลังทักทายเจียงซื่อ และก็คล้ายว่ากำลังยั่วยุคุณชายรอง จากนั้นมันหันหลังและหายเข้าไปในความมืดที่หนาวเหน็บ
เจียงจั้นใช้มือดันขอบหน้าต่างและกระโดดออกไปอย่างฉับไว ไม่นาน เงาร่างก็หายไป
หน้าต่างเปิดออกกว้าง ลมหนาวพัดเข้ามาด้านในจนเจ้านายและบ่าวรับใช้สามคนถึงกับลืมการตอบสนองไปชั่วขณะ
มีเงาร่างคนหนึ่งกระโดดเข้ามาจากหน้าต่าง ด้วยรูปร่างที่มีน้ำหนักเบา ยามฝ่าเท้ากระทบพื้น เสียงนั้นเงียบสนิท
ผู้ที่เข้ามาสวมใส่เสื้อคลุมสีดำสนิท หลังจากเข้ามาด้านใน เขาหันหลังปิดหน้าต่าง ทำการถอดชุดคลุมออกแล้วสะบัดจนทำให้น้ำค้างบนเสื้อตกลงเต็มพื้น จากนั้นก็ยื่นเสื้อให้อาเฉี่ยวที่ยังยืนตะลึงอยู่ข้างๆ
ความคุ้นเคยกับความอิสระนี้ ทำเหมือนกับว่ากลับถึงเรือนตัวเองปานนั้น
ส่วนอาเฉี่ยวก็ได้นำเสื้อคลุมไปแขวนตรงราวแขวนอย่างเป็นธรรมชาติด้วยอีกคน
เจียงซื่อมองชายหนุ่มที่เดินเข้ามาแล้วสลับมองที่หน้าต่าง “เอ้อร์หนิว…”
อวี้จิ่นเดินเข้ามากุมมือเจียงซื่อและกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “สุนัขตัวนั้นคงคิดถึงเจ้ามาก จะตามมาให้ได้ เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน เป็นแพะรับบาปให้กับข้าได้ด้วย”
เจียงซื่อยกมุมปากขึ้น
ไม่มีใครอีกแล้วนอกจากคนเลวคนนี้ที่สามารถปล่อยให้สุนัขของตัวเองเป็นแพะรับปากโดยไม่สนใจใยดี
“ยังเช้าอยู่เลย ทำไมมาแล้วล่ะ” เจียงซื่อเอ่ยถาม
ถ้ามาช้าอีกสักนิด ก็คงไม่ถูกพี่รองจับได้แล้ว
อวี้จิ่นกะพริบตาและยิ้ม “รังเกียจที่ข้ามาเร็วไปหรือ ถ้าข้ามาช้ากว่านี้ ข้าก็ไม่อยากกลับแล้ว…”
อาเฉี่ยวฟังแล้วหน้าแดงจึงก้มหน้าลง ส่วนอาหมานเฝ้าอยู่ตรงหน้าต่างอย่างระวังตัว
เจียงซื่อตีอวี้จิ่นหนึ่งที “หยุดตีฝากปากเสียที รีบเข้าเรื่องเถอะเจ้าค่ะ!”
เขามาหาอย่างร้อนอกร้อนใจเพียงนี้ มีเรื่องจริงจังจะพูดด้วยแน่
อวี้จิ่นเลิกคิ้วขึ้นแล้วกวาดสายตามองสาวรับใช้สองคนหนึ่งที
เจียงซื่อถอนหายใจ “ถ้าไม่มีคนเฝ้าตรงหน้าต่าง พี่รองข้ากลับมาจะทำอย่างไรเจ้าคะ”
ถ้าเกิดพบเข้าจริงๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นไปได้ นางก็ไม่อยากให้พี่รองต้องมาตกใจกับสิ่งนี้
อวี้จิ่นยิ้มพร้อมกับกล่าว “ไม่หรอก ข้ารู้จักเจ้าเอ้อร์หนิวดี ถ้ามีมันอยู่ พี่รองของเจ้าอย่าคิดว่าจะได้กลับมา”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ องค์ชายเจ็ดเริ่มไม่สบอารมณ์
นี่มันกี่ยามแล้ว เหตุใดเจียงจั้นยังอยู่กับอาซื่อที่นี่!
เจียงซื่อกลอกตาขาวเงียบๆ
เอ้อร์หนิวเริ่มเสียคน เอ้ย เริ่มเสียหมาเพราะอวี้ชี ลองคิดดูว่ามันเป็นสุนัขที่นิสัยดีแค่ไหนในตอนแรก
“พวกเจ้าออกไปก่อน” ในเมื่ออวี้จิ่นพูดเช่นนี้ เจียงซื่อก็ทำตามอย่างไม่สงสัย นางปัดมืออันมีความหมายว่าให้อาเฉี่ยวกับอาหมานออกไปก่อน
หลังจากสาวรับใช้สองคนออกไปแล้ว อวี้จิ่นพลันดึงเจียงซื่อเข้ามายังอ้อมอกและกล่าวอย่างไม่พอใจ “เจียงเอ้อร์ทำไมถึงยังอยู่กับเจ้า”
การใกล้ชิดอย่างกะทันหันเช่นนี้ ทำให้เจียงซื่อผลักเขาออกตามจิตใต้สำนึกพร้อมกับอธิบาย “วันนี้เป็นวันตงจื้อ ข้าห่อเกี๊ยวไว้ให้พี่รอง พี่รองกลับจากที่ทำงานมากินแล้วรู้สึกอร่อย จึงมาขอบคุณข้าเจ้าค่ะ”
อวี้จิ่นขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจมากกว่าเดิม “เจ้ายังห่อเกี๊ยวให้เขาด้วย?”
“เขาเป็นพี่รองของข้านะ!” เจียงซื่อจนใจ
อวี้จิ่นกัดฟัน “ข้ารู้ว่าเขาเป็นพี่ชายเจ้า ไม่เช่นนั้นข้าคงทุบขาเขาหักแล้ว”
เจียงซื่อกลอกตาขาวให้เขาหนึ่งที “ถ้าเจ้ายังไม่รีบเข้าเรื่องอีก ข้าจะเข้านอนแล้วนะ”
อวี้จิ่นดึงนางนั่งลง เขายิ้มและกล่าว “งานเลี้ยงภายในพระราชวัง เสด็จพ่อตรัสถึงงานสมรสของข้า”
เจียงซื่อชะงักเล็กน้อย
ถึงแม้นางเชื่อว่าเขามีวิธี แต่นางก็ยังอยากรู้อย่างวิตกกังวลว่าเขาจะทำอย่างไรที่จะทำให้สองคนก้าวข้ามอุปสรรคแล้วได้อยู่ด้วยกัน
การที่ฝ่าบาทตรัสถึงการสมรสของอวี้ชี คงมิได้พระราชทานทันทีหรอกกระมัง
แล้วอวี้จิ่นก็กล่าวขึ้น “เมื่อปีใหม่ผ่านไปแล้ว เสียนเฟยกับจวงเฟยจะร่วมกันจัดงานชมดอกเหมยขึ้น นั่นเป็นงานเลี้ยงเลือกพระชายาให้กับข้าและสู่อ๋องโดยเฉพาะ”
เจียงซื่อแอบถอนหายใจกับสิ่งที่อวี้จิ่นพูด
อวี้ชีเอ่ยถึงพระมารดา แต่เรียกนางว่าเสียนเฟย มันทำให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่จืดจางของสองแม่ลูก
นางไม่สนใจเรื่องอื่นหรอก เพียงแค่เห็นใจและเอ็นดูบุรุษคนนี้เท่านั้น
อวี้จิ่นค่อนข้างไวต่อเรื่องของเจียงซื่อ เมื่อเขาเห็นว่าแววตาของนางพลันอ่อนโยนลง เขาจึงยิ้มและเอ่ยถาม “มีอะไรหรือ”
เจียงซื่อไม่โง่ถึงขนาดไปเอ่ยถึงความสัมพันธ์แม่ลูกของอวี้จิ่นกับเสียนเฟยแน่นอน นางหย่อนตาลงแล้วกล่าว “งานเลี้ยงชมดอกเหมยนั่น เกรงว่าข้าคงไม่มีสิทธิ์ที่จะได้รับคำเชิญกระมัง”
อวี้จิ่นหัวเราะออกมา
เสียงหัวเราะนั่นเป็นเสียงใสแต่ดูมีความหนักแน่นและอยู่กึ่งกลางระหว่างเสียงของบุรุษกับชายหนุ่ม เสียงนั้นราวกับเป็นสุราชั้นดีที่หมักได้เต็มที่ ซึ่งฟังแล้วชวนให้รู้สึกใจสั่นเล็กน้อย
“เจ้าหัวเราะอะไร” เจียงซื่อเอียงตามองเขา
อวี้จิ่นยกมือขึ้นแล้ววางลงที่ผมของเจียงซื่อ จากนั้นออกแรงขยี้ “เจ้าเด็กโง่ เจ้าต้องได้รับเทียบเชิญอยู่แล้ว”
เจียงซื่อยื่นมือปิดผม แต่กลับทับโดนมือที่ยังไม่ขยับไปไหนของเขา
นางกดมือเขาไว้ เขามองหน้านาง
สองคนสบตากัน ภายในห้องเงียบลงทันใด
หลังจากได้สติ อวี้จิ่นถอนหายใจเฮือกใหญ่
ก่อนเข้าพิธีสมรส เขาไม่กล้าทำอะไรเด็กสาวคนนี้นี่แน่นอน ไม่เช่นนั้น คนที่ทุกข์ทรมานจะเป็นเขาเอง
เขาดึงมือออกแล้วนำผมที่หลุดออกมาทัดไว้หลังใบหูให้นางพร้อมกับเอ่ยเสียงอ่อนโยน “เอาเป็นว่า ในสองสามวันนี้ เจ้าไม่ต้องคิดวิตกสิ่งใด เจ้าไปฉลองวันปีใหม่อย่างวางใจก็พอ พอถึงงานเลี้ยงชมดอกเหมยก็ไม่ต้องทำอะไรเป็นพิเศษ เดี๋ยวข้าจัดการทุกอย่างเอง”
เจียงซื่อขยับปาก มีใจอยากถามว่าเขาจะทำอย่างไร แต่พอได้สบตาอันแวววับที่ยิ้มอย่างอ่อนโยนคู่นั้น ก็ทำให้ต้องกลืนคำพูดกลับไป
“งั้นข้ากลับก่อน” อวี้จิ่นก้มหน้าจุมพิตที่หน้าผากเจียงซื่อ จากนั้นก็เปิดหน้าต่างและกระโดดออกไป
เจียงซื่อเดินไปตรงหน้าต่าง เขาหันกลับมาโบกมือให้ จากนั้นก็หายเข้าไปในความมืดอย่างรวดเร็ว
“คุณหนู คุณชายอวี๋ไปแล้วหรือเจ้าคะ” เมื่อได้ยินเสียงปิดหน้าต่าง อาหมานจึงเดินเข้ามา
เจียงซื่อกล่าวหน้านิ่ง “ไปนอนได้แล้ว”
สีหน้าของสาวรับใช้ที่รู้สึกเสียดายอวี้ชีกลับเร็วนั่นมันคืออะไร!
และเวลานี้ ตรงทางเข้าประตูรอง มีเสียงกรีดร้องของหญิงรับใช้เฝ้าประตูดังขึ้น
ตายแล้ว คุณชายรองถูกปีศาจจับตัวไป!
ไม่ใช่ คุณชายรองกำลังวิ่งตามปีศาจอยู่
“มีปีศาจ….” เสียงกรีดร้องของหญิงรับใช้เฝ้าประตูดึงดูดให้คนออกมาดูจำนวนไม่น้อย
ตรงมุมหลบคนมุมหนึ่ง เจียงจั้นเอามือกุมก้นที่ถูกกัดจนเป็นรูเอาไว้ พร้อมกับแสดงอาการโกรธจัดออกมา “ฝากไว้ก่อนเถอะ เอ้อร์หนิว ฝากไว้ก่อน!”
เอ้อร์หนิวพับขาหลังลงแล้วนั่งรอ
“…”