เสียนเฟยเก็บอาการตกใจพร้อมกับพยักหน้าให้เจียงซื่อ “ขอบใจคุณหนูเจียง”
นางอยากรู้มากว่าเจียงซื่อทำได้อย่างไร แต่ด้วยสถานะจึงจำต้องอดใจไว้
แล้วอีกอย่าง หากว่านางถามมากไป จนทำให้คนอื่นๆ คิดว่าตนสนใจในคุณหนูแห่งจวนติงผิงปั๋ว มันไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไรนัก
บางทีจวงเฟยอาจจะเอ่ยถาม?
เสียนเฟยเหลือบมองจวงเฟย
จวงเฟยยิ้มให้เจียงซื่ออย่างแผ่วเบา “ของขวัญจากคุณหนูเจียงช่างไม่ซ้ำใครจริงๆ วันนี้ช่างเป็นวันเปิดหูเปิดตาที่ได้เห็นปรากฏการณ์อันน่าทึ่งนี้”
นางประเมินคุณหนูเจียงคนนี้ต่ำไปเสียแล้ว
มีการแสดงอันน่าจดจำของคุณหนูโค่วแห่งจวนโซ่วชุนโหวอยู่ก่อนหน้า คุณหนูที่แสดงต่อ ไม่ว่าจะแสดงความสามารถอะไร ก็ง่ายต่อการถูกเปรียบเทียบ แต่คุณหนูเจียงสามารถทำให้ดอกเหมยผลิบานนั้น เป็นทั้งการแสดงที่มีความเข้ากันกับงานเลี้ยงแล้วยังเกินความคาดหมายอีก อาจกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องสง่างามที่หาชมได้ยาก
นางทำได้อย่างไร?
จวงเฟยมีความสงสัย แต่ก็ไม่สะดวกถาม
ในงานเช่นนี้ หากนางถามมากไป จะทำให้คนอื่นรู้สึกว่านางสนใจคุณหนูเจียงอย่างไม่ต้องสงสัย
อันที่จริง นางมีความสนใจหญิงสาวคนนี้จริงๆ แต่ไม่ใช่ความสนใจอย่างที่อยากได้มาเป็นลูกสะใภ้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…จวงเฟยกวาดสายตามองสู่อ๋องหนึ่งที ตอนที่บุตรชายลุกขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัวเมื่อครู่นี้ ทำให้นางต้องแอบระวังตัว
ลูกชายของนางไม่ใช่คนประเภทเลอะเลือนเมื่อได้เห็นหญิงงาม แต่กิริยาท่าทางอันไม่เหมาะสมที่แสดงออกมาเมื่อครู่นั้น เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวคนนี้ไม่ธรรมดา
จวงเฟยใช้สายตาเย็นชามองสาวน้อยคนตรงหน้าที่ยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางถอนหายใจ แต่มันน่าแปลกตรงไหนเล่า ชายหนุ่มกับหญิงงาม ยามเห็นหญิงงามแสดงกิริยาอันงดงามราวกับนางฟ้า ไม่ว่าจะเปลี่ยนเป็นชายใด หัวใจย่อมเต้นไม่เป็นจังหวะเหมือนกันมิใช่หรือ
นางมองอวี้จิ่นหนึ่งทีอย่างอดไม่ได้ แต่กลับเห็นฝ่ายตรงข้ามก้มหน้ากำจอกสุราหยก ทำให้ไม่เห็นสีหน้าของเขาได้
จวงเฟยรู้สึกประลาดใจ
เยี่ยนอ๋องไม่สนใจเลยรึ
อวี้จิ่นที่ถูกจวงเฟยมองว่าไม่สนใจ กำลังออกแรงบีบแก้วน้ำชาอยู่ เขากำลังพยายามเก็บความรู้สึกของการอยากพาคนออกจากงานไป
เขารู้อยู่แล้วว่าอาซื่อเป็นคนที่เหนือความคาดหมาย ทั้งฆ่าคน วางเพลิง ทั้งการทำให้ดอกเหมยผลิบาน
แต่นี่เป็นผู้หญิงของเขานี่…อวี้จิ่นกำลังรู้สึกทั้งภาคภูมิใจ ทั้งหงุดหงิดใจ และทั้งร้อนรน
เขาอยากควักลูกตาของเจ้าหกออกมาจริงๆ
“หม่อมฉันความสามารถต่ำต้อยยิ่งเพคะ” เจียงซื่อย่อตัวให้เสียนเฟยกับจวงเฟยอีกครั้ง จากนั้นเดินกลับไป ระหว่างเดินกลับ มีสายตานับไม่ถ้วนมองตามมาด้วย
หลังจากที่ความเงียบงันเวลาสั้นๆ ผ่านไปแล้ว สตรีชั้นสูงต่างเริ่มออกเสียงวิจารณ์ คนที่อยู่ใกล้กว่าถึงกระทั่งถามออกมาตรงๆ “คุณหนูเจียง เจ้าทำได้อย่างไรรึ”
เจียงซื่อยิ้มและตอบกลับ “ลูกเล่นเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น”
บนต้นไท่ผิง มีกู่นามว่าชุนกุย มีขนาดเล็กดุจผงฝุ่น แต่สามารถควบคุมให้มันทำสิ่งน่าอัศจรรย์ได้มากมาย อย่างเช่นทำให้ศพขยับได้ ทำให้ดอกไม้ผลิบานได้
สิ่งอัศจรรย์เมื่อสักครู่นี้ จะว่าไปแล้วก็คือการออกแรงบังคับกลีบดอกชั้นนอกสุดให้เปิดออกเพียงเท่านั้น แต่ในสายตาของคนที่ไม่รู้ความจริง มันเป็นกลลวงราวกับนางฟ้าเป็นคนกระทำ
ทุกสิ่งอย่างก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน ถ้าไม่น่าแปลกใจมากพอ ในสายตาของคนทั่วไป ก็เป็นเพียงกลลวงที่ไม่คู่ควรแก่การนำออกมาแสดง แต่ถ้ามีความลึกลับอย่างที่สุด ก็จะกลายเป็นเวทย์มนตร์ดุจเทวดาฟ้าสวรรค์
ทั้งสองสิ่งนี้จึงต่างกรรมต่างวาระ ไม่อาจนำมาเปรียบเทียบกันได้
มีการเต้นรำของโค่วหลิงปัว และดอกไม้ผลิออกราวกับมีเวทมนต์ของเจียงซื่อ พูดได้เลยว่า ไม่ว่าเฉินฮุ่ยฝูจะแสดงอะไร ก็ล้วนแต่จะกลายเป็นเพียงบันไดให้กับคนต่อไป
เห็นได้ชัดว่าเฉินฮุ่ยฝูได้คิดถึงตรงนี้แล้วเช่นกัน สีหน้าของนางซีดขาวอมเขียว น่าเกลียดเป็นอย่างมาก
เมื่อเผชิญกับสายตาต่างๆ ที่มองมา นางจึงจำต้องเดินออกไป นางย่อตัวให้พระสนมจากบริเวณไกลๆ “ถึงคราหม่อมฉันแล้ว ขอมอบการแสดงด้วยการเป่าขลุ่ยหนึ่งเพลงให้เหนียงเหนียงทั้งสองเพคะ”
นางดีดพิณ เล่นหมากล้อม เขียนพู่กัน วาดภาพและเต้นรำได้ทุกอย่าง แต่ไม่ว่าจะดีดพิณหรือเต้นรำ มีแต่จะกลายเป็นเรื่องตลกไป เมื่อเทียบกับการเป่าขลุ่ย อย่างน้อยก็ค่อนข้างน่าพอใจและไม่เกิดความผิดพลาด
เสียนเฟยพยักหน้า
ในบรรดาสตรีชั้นสูง นางรู้จักเฉินฮุ่ยฝู
เป็นบุตรสาวขององค์หญิงหนิงหลัว หากถามว่ามีความชื่นชอบหรือไม่
ตอบได้เลยว่า…ไม่มี!
แน่นอนว่า ไม่ว่าภายในใจจะคิดอย่างไร เสียนเฟยก็ไม่มีวันแสดงออกผ่านสีหน้าอย่างแน่นอน นางเพียงนั่งรอชมการแสดงต่อไปจากเฉินฮุ่ยฝู
มีนางกำนัลสวมชุดสีครามเดินเข้ามาพร้อมกับถาดที่วางขลุ่ยเซียวเซียงสีใสอยู่หนึ่งเลา
เฉินฮุ่ยฝูหยิบขลุ่ยขึ้นมาแล้วลองเป่าอยู่สองที
เสียงขลุ่ยนุ่มนวลไพเราะไม่ผลีผลาม
นางทำใจนิ่งและแอบให้กำลังใจตัวเอง ไม่มีอะไรน่ากลัว เพียงเป่าให้จบหนึ่งเพลงก็พอแล้ว อย่างไรเสีย การเป่าขลุ่ยก็แตกต่างกับการเต้นรำและการแสดงมาก ไม่ถึงขนาดสู้คนอื่นไม่ได้
เมื่อรวบรวมสติได้แล้ว เฉินฮุ่ยฝูวางขลุ่ยแนวนอนแนบกับริมฝีปากและเริ่มเป่า
เมื่อเสียงขลุ่ยดังขึ้น เสียงนั้นดูสดใสมีชีวิตชีวา ‘นกกระทาบิน’ เป็นบทเพลงที่คุ้นหูเป็นอย่างดี
ในงานเช่นนี้ การบรรเลงเพลง ‘นกกระทาบิน’ มีความสนุกสนาน เข้ากับบรรยากาศได้เป็นอย่างดี และยังมีความหมายว่าให้สยายปีกออกแล้วบินให้สูง เป็นการตอบสนองเรื่องการเลือกพระชายาเอกไปด้วย
ไม่มีคุณความดีไม่มีความผิด เสียนเฟยฟังไปพยักหน้าไป
เมื่อบทเพลงเริ่มเข้าสู่ช่วงสำคัญ เฉินฮุ่ยฝูที่ยิ่งผ่อนคลาย กับเสียงขลุ่ยที่ดังลอดผ่านออกมาก็ยิ่งนุ่มนวล
เฉินฮุ่ยฝูเองก็ยังรู้สึกตกใจ ครั้งนี้เป็นครั้งที่นางแสดงได้ดีที่สุดเลยก็ว่าได้
ความมั่นใจของนางพลันพุ่งขึ้นมาเต็มอก
และในเวลานั้น นางเกิดอาการคันอย่างน่าประหลาด
ความคันนั้นเกิดขึ้นมาอย่างกะทันหันและมีความรุนแรงมาก จนนางไม่สามารถยับยั้งได้เลย ฝีปากพลันกระตุกอย่างแรง
เสียงขลุ่ยเริ่มแตกเป็นเสียงสูงจนแสบแก้วหูในทันใด มันแสบราวกับมีมีดคมบาดลงที่ผิวปานนั้น
แม้ว่าทุกคนฟังเพลงอย่างใจลอย ยามพูดคุยหยอกล้อเล่นแล้วมีเพลงสนุกๆ จากเสียงขลุ่ยก็นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่เลว แต่พอเสียงขลุ่ยพลันเปลี่ยนไป ทุกคนขมวดคิ้วและมองคนกลางเวทีพร้อมกันอย่างทันทีทันใด
เฉินฮุ่ยฝูตกใจมาก แต่นางพยายามรักษาความนิ่งเอาไว้
เสียงขลุ่ยเสียงสูงดังขึ้นเรื่อยๆ เสียงซุบซิบนินทารอบข้าง ทำให้นางหน้าแดงขึ้นมาทันใด
เกิดอะไรขึ้น เหตุใดจึงคันขนาดนี้
ห้ามคิด ยิ่งคิดจะยิ่งคัน สุดท้ายนางก็ไม่สามารถควบคุมริมฝีปากได้อีกต่อไป จึงโยนขลุ่ยลงแล้วเริ่มเกาตามขอบแก้ม
เล็บมือทั้งห้านิ้ว ยามแตะลงที่ใบหน้าอันเนียนนุ่ม จู่ๆ อาการคันก็หายไป
แต่เสียงอุทานกลับดังขึ้นเป็นระลอก ตามมาด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ มันกลายเป็นพลังยิ่งใหญ่ที่พุ่งเข้าใส่จนทำให้นางรู้สึกแทบเวียนหัวตาลาย
“ให้ตายเถอะ ถึงเป่าเพลงดีๆ ไม่เป็น ก็ไม่ถึงกับต้องรุนแรงเพียงนี้ ทำกับใบหน้าตัวเองถึงเพียงนี้ ไม่กลัวว่าจะเสียโฉมเอาได้หรือ”
“คงไม่ถึงขั้นทำให้รูปโฉมเสียหายหรอก แต่ไม่สามารถพบหน้าผู้คนได้สิบวันหรือครึ่งเดือนอาจมีความเป็นไปได้”
“โถๆ ตรงนี้ของคุณหนูเฉินมีปัญหาหรือเปล่านะ” สตรีนางหนึ่งชี้ตรงสมอง
“ใครจะรู้กันเล่า นางทำได้น่ากลัวเสียเหลือเกิน กล้าทำกับตัวเองถึงเพียงนี้ วันหลังพวกเราต้องอยู่ให้ห่างนะ”
“ใช่ๆ”
เฉินฮุ่ยฝูยืนเหม่ออยู่ตรงกลาง จนลืมตอบสนองไปชั่วขณะ
นางทำอะไรลงไป! นางอยู่ที่ไหน! นางเป็นใคร!
ความเจ็บปวดนั้นตามมาในภายหลัง และความเจ็บปวดนั้นก็มาพร้อมกับความละอายและยากจะยอมรับได้
“ยังไม่กลับไปอีก!” สำหรับเสียนเฟย รอยข่วนหลายรอยนั่นถือว่าเป็นเรื่องอัปมงคลยิ่งนัก นางจึงกล่าวเสียงเรียบ
เฉินฮุ่ยฝูปิดปากกรีดร้องแล้วเดินกลับมาอย่างโซซัดโซเซ ความรู้สึกนางพังทลายลงหมดสิ้นเมื่อได้ยินเสียงวิจารณ์ที่รุนแรงเหล่านั้น แล้วนางจึงเริ่มร้องไห้เสียงดัง
บรรยากาศพลางเงียบลงอย่างน่าอึดอัดและน่าประหลาดใจไปชั่วขณะ…