ไม่นานองค์ชายทั้งหลายที่จับจ้องอวี้จิ่นอยู่ก็ทราบเรื่อง
“อะไรนะ ลงโทษกักบริเวณเจ็ดวันงั้นรึ” หลู่อ๋องเอากำปั้นทุบโต๊ะ โต๊ะไม้ฮวาหลีถูกทุบแตกกระจาย
เขาทำผิดถูกกักบริเวณตั้งหลายเดือน เจ้าเจ็ดทำผิดโดนกักบริเวณเพียงแค่เจ็ดวัน เทียบดูแล้วเขาน่าจะเป็นลูกที่ถูกเลี้ยงอยู่นอกวังมาตั้งแต่เด็กถึงจะถูก
หลู่อ๋องโกรธจนอยู่นิ่งไม่ได้ “น่าโมโหเสียจริง ทำข้าถูกเสด็จพ่อลงโทษตั้งหลายครั้ง แถมยังแย่งสตรีที่ข้าหมายปองไปอีก ไม่นึกเลยว่าจะถูกลงโทษเพียงแค่นี้”
เท้าข้างหนึ่งถีบลอยเข้าไปที่ธรณีประตู
“เหตุใดท่านอ๋องถึงได้โกรธเพียงนี้เพคะ” พระชายาหลู่อ๋องเดินเข้ามาท่วงท่าอ่อนช้อย
หลู่อ๋องสำลักขึ้นมาทันที แล้วไอออกมา
พระชายาหลู่อ๋องตบหลังเขาเบาๆ รอให้หลู่อ๋องสงบลง แล้วเอ่ยถามด้วยท่าทีไม่สะทกสะท้าน “เมื่อครู่ทำไมถึงได้ยินท่านอ๋องพูดว่าสตรีที่หมายปองอะไรกัน”
แค่กแค่กแค่ก! หลู่อ๋องไอแรงยิ่งขึ้นอีก
พระชายาหลู่อ๋องมองหลู่อ๋องแล้วยิ้มออกมา “ท่านอ๋องกลัวหรือเพคะ”
แค่ก… เสียงไอของหลู่อ๋องหยุดลงกะทันหัน พลางลูบที่ปลายหางตา “พระชายาหูฝาดไปแล้ว ช่วงนี้ข้าไม่ได้ออกไปไหน นอกจากพระชายาแล้วจะมีสตรีใดอีก”
พระชายาหลู่อ๋องมองสำรวจหลู่อ๋อง สักพักก็ยิ้มออกมา “ท่านอ๋องชมข้าเกินไปแล้ว”
“สมควรแล้ว สมควรแล้ว” หลู่อ๋องเช็ดหน้าผาก หัวเราะแห้ง
ภรรยาผู้เหี้ยมโหดคนนี้ หากถูกนางจับได้จะต้องโวยวายใหญ่โตอีกแน่
เขาเป็นบุรุษ ถึงแม้โวยวายขึ้นมาจะไม่เสียเปรียบอะไร แต่หากเรื่องถึงหูเสด็จพ่อล่ะก็ จบเห่แน่
สิ่งที่เสด็จพ่อเกลียดที่สุดก็คือสามีภรรยาไม่ลงรอยกัน ขาดความสงบสุขในครอบครัว เรื่องนี้เสด็จแม่เป็นคนบอกเขา
สีหน้าอันน่าเกรงขามของจิ่งหมิงฮ่องเต้ฉายขึ้นมาในหัวหลู่อ๋อง ทำให้ตัวสั่นเทิ้มอยู่เงียบๆ
ต้องมีสักวันที่เสด็จพ่อควบคุมไม่ได้ เขาจะหย่ากับภรรยาที่น่ารังเกียจคนนี้ซะ!
เมื่อองค์รัชทายาททราบเรื่องก็ผิดหวังเป็นอย่างมาก เดิมยังคิดว่าอยากจะไปนั่งเล่นที่ตำหนักพระชายาสักหน่อย ทว่าหงุดหงิดจึงลากนางกำนัลมาผ่อนคลายไปแล้ว
ฉีอ๋องไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก แต่รับสั่งพระชายาฉีอ๋องออกไป “เจ้าเข้าวังไปอยู่กับเสด็จแม่ เกลี้ยกล่อมเสด็จแม่ว่าอย่าได้คิดมาก โกรธมากเดี๋ยวจะเสียสุขภาพเอา”
พระชายาฉีอ๋องพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ท่านอ๋องสบายใจได้ หม่อมฉันจะช่วยคลายกังวลให้เสด็จแม่เองเพคะ”
จะมีใครรู้จักลูกตัวเองเท่ากับคนเป็นแม่ เวลานี้เสียนเฟยโกรธจนกินข้าวไม่ลง
เมื่อคนเป็นแม่มอบของให้ลูก แต่ลูกไม่รับ เดิมก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร ทว่าทำให้ขุนนางพวกนั้นโวยวายขึ้นมารู้เรื่องกันทั้งหมด แล้วนางจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
นางคลอดลูกไม่รักดีคนนี้ออกมาได้อย่างไร หากรู้แต่แรกคงจะเอาหมอนอุดปากให้ตายไปแต่แรก จะได้ไม่ต้องโมโหเพราะเขาขนาดนี้
“เหนียงเหนียง พระชายาฉีอ๋องมาหาเพคะ”
เสียนเฟยผ่อนลมหายใจลง แล้วสั่งคนให้ไปเชิญพระชายาฉีอ๋องเข้ามา
“หม่อมฉันได้บัวหิมะพันปีใหม่มามอบให้กับเสด็จแม่เพื่อบำรุงร่างกายเพคะ”
“ก็มีแต้เจ้าที่ใส่ใจข้า”
พระชายาฉีอ๋องมองสำรวจเสียนเฟย เอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง “หม่อมฉันเห็นเสด็จแม่สีหน้าไม่ค่อยดีนัก ไม่สบายตรงไหนรึเปล่าเพคะ”
เสียนเฟยหัวเราะเยาะ “มีชีวิตอยู่ได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้วล่ะ!”
พอพูดถึงอวี้จิ่น พูดได้เลยว่าเสียนเฟยทั้งเกลียดทั้งเอือมระอา
รอยยิ้มสดใสฉายผ่านออกมาจากนัยน์ตาพระชายาฉีอ๋อง พร้อมกับคำปลอบใจด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “น้องเจ็ดยังเด็ก แถมเติบโตจากนอกวัง เสด็จแม่อย่าได้คิดเล็กคิดน้อยกับเขาเลย อีกอย่าง หากท่านโกรธจนเสียสุขภาพ เจ้าเจ็ดอาจจะไม่ใส่ใจท่าน แต่ท่านอ๋องทั้งหลายยังคงเป็นห่วงท่านอยู่ เดิมหม่อมฉันอยู่ในตำหนักจึงไม่ทราบเรื่องนี้ แต่ว่าท่านอ๋องเป็นห่วงเสด็จแม่นัก จึงบอกต่อหม่อมฉัน…”
เสียนเฟยถอนหายใจยาว “หากไม่มีเจ้าสี่ คงจะผ่านวันเวลาพวกนี้ไปไม่ได้…”
“เสด็จแม่อย่างพูดเช่นนี้เลยเพคะ หากท่านอยู่อย่างไม่มีความสุข ท่านอ๋องทั้งหลายก็ไม่อาจข่มตานอนหลับลงได้หรอกเพคะ”
เสียนเฟยฟังพระชายาฉีอ๋องปลอบใจอยู่สักพัก จิตใจก็เริ่มดีขึ้น จึงสั่งนางกำนัลนำของไม่น้อยมามอบให้พระชายาฉีอ๋อง บอกว่าเอาให้เป็นของขวัญรับหลานสาว
พระชายาฉีอ๋องปฏิเสธอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็รับไว้แล้วจากไป
ท่านอ๋องชุบเลี้ยงพวกปัญญาชนอยู่ไม่น้อย หากรายจ่ายเยอะเกินไป ของดีๆ จากแม่สามีพวกนี้ก็จะช่วยได้อีกแรงหนึ่ง
เมื่อเห็นพระชายาฉีอ๋องกลับมา ฉีอ๋องใบหน้าเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ “ลำบากเจ้าแล้ว”
พระชายาฉีอ๋องยิ้ม “ไม่ลำบากเลยเพคะ ช่วยท่านอ๋องได้ก็นับว่าเป็นเกียรติของข้าอย่างยิ่ง”
ฉีอ๋องจับมือของพระชายาฉีอ๋องไว้ “เช่นนั้นเจ้าไปทำธุระของเจ้าเถอะ ข้ายังมีเรื่องบางอย่างต้องจัดการที่ห้องหนังสือ”
“ท่านอ๋องรีบไปทำธุระเถอะเพคะ”
ฉีอ๋องเดินมาถึงหน้าประตู พลางหันหลังกลับมามองโดยไม่ได้ตั้งใจ เมื่อเห็นพระชายาฉีอ๋องตรวจดูของขวัญด้วยท่าทางเบิกบานใจ จู่ๆ ในใจก็เกิดความรู้สึกระอา
พระชายาฉีอ๋องราวกับรู้สึกได้ จึงเงยหน้ามอง
“ท่านอ๋องมีเรื่องอะไรอีกหรือเพคะ”
“ไม่มีอะไร” ฉีอ๋องยิ้มออกมา พร้อมกับเดินจากไป
เรื่องที่เยี่ยนอ๋องถูกลงโทษกักบริเวณถูกเล่าต่อไปถึงจวนตงผิงปั๋ว
เฝิงเหล่าฮูหยินรีบส่งคนไปเชิญเจียงซื่อมาหา แล้วเอ่ยกำชับออกไป “ซื่อเอ๋อร์ ท่านอ๋องนัดเจ้าไปดูขบวนจอหงวนหลางด้วยกัน แสดงว่าเขาเอาใจใส่เจ้า รอหลังจากเจ้าแต่งงานกับเขาไป จำไว้ว่าต้องเกลี้ยกล่อมเขาให้มากว่าอย่าได้ทำอะไรตามใจชอบ”
เจียงซื่อยิ้มร่า “ข้าชื่นชมนิสัยของท่านอ๋องนัก”
ส่งนางกำนัลเจี้ยวอิ่นให้เขางั้นรึ
เสียดายนางยังไม่ได้แต่งเข้าจวนไป มิเช่นนั้นถึงแม้อวี้ชีจะไม่ไล่ออกไป นางก็จะไล่ออกไปเอง
ให้โอกาสสตรีผู้อ่อนโยนเก่งกาจเพียบพร้อมพวกนั้นมาเพิ่มความรำคาญใจให้ตัวเอง หึ อย่าได้หวังเลย
บางทีอาจเพราะชาติภพที่แล้วเห็นพระชายาหลู่อ๋องไล่ตีหลู่อ๋องตามถนนอย่างรุนแรง และอันที่จริงเจียงซื่อก็รู้จักฮ่องเต้ผู้สูงศักดิ์ท่านนั้นอยู่เล็กน้อย
ฝ่าบาทไม่มีทางกริ้วเพราะเรื่องพวกนี้หรอก
“ชื่นชมงั้นรึ” เฝิงเหล่าฮูหยินพูดเสียงสูง “เจียงซื่อ เจ้าอย่าลืมนะว่าเวลานี้ทั่วทั้งเมืองล้วนรับรู้แล้วว่าหลักๆ ที่เยี่ยนอ๋องถูกใจเจ้านั้นเป็นเพราะหน้าตาของเจ้า เมื่อเจ้าแต่งงานเข้าไป แล้วมีข่าวลือออกมาว่าเจ้าได้รับความรักเป็นพิเศษ นั่นมันก็เป็นสิ่งยืนยันว่ามันเป็นเรื่องจริง คนก็จะนินทากันไปในทางที่แย่มากขึ้น”
เจียงซื่อประหลาดใจ “ยังต้องการพิสูจน์ความจริงกันอีกหรือเจ้าคะ”
เฝิงเหล่าฮูหยินโกรธจนลมแทบจับ
เจียงซื่อลุกขึ้น “ท่านย่าอย่าได้เป็นห่วงเลย ข้าไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในข่าวลือของคนพวกนั้นสักหน่อย เรื่องอภิเษกสมรสกับเยี่ยนอ๋องฝ่าบาทเป็นคนกำหนด ผู้อื่นจะแอบนินทาลับหลังอย่างไรก็เท่านั้น แต่หากใครกล้ามาพูดจามั่วซั่วต่อหน้าข้า ข้าไม่ปล่อยไว้แน่!”
เฝิงเหล่าฮูหยินเห็นเจียงซื่อไม่ฟังคำเกลี้ยกล่อม แถมยังทำท่าพาลใช้อำนาจบาตรใหญ่อีก หากแต่งงานเข้าวังไปจะสร้างปัญหาหรือไม่
“หลานขอตัวลาก่อนเจ้าค่ะ”
“เจียงซื่อ เจียงซื่อ…” เฝิงเหล่าฮูหยินตะโกนเรียกอยู่สองสามทีแต่เจียงซื่อก็ไม่หันกลับมา จึงได้แต่โกรธจนตัวสั่น
อาฝูพยายามก้มหัวให้ต่ำลงมากที่สุดเพื่อลดการมีอยู่ของตัวเอง
มิน่าล่ะใครๆ ก็อยากขึ้นที่สูง คุณหนูสี่กลายเป็นพระชายาอ๋อง แม้แต่เหล่าฮูหยินยังยอมจำนน ช่างน่าอิจฉาเสียจริง
เหตุการณ์วุ่นวายค่อยๆ เงียบลงตามเยี่ยนอ๋องที่ถูกกักบริเวณ และมือสังหารจอหงวนหลางที่เป็นคนต่างถิ่นจู่ๆ ก็ตาย ทำให้การสืบสวนของผู้ตรวจการหลายนายชะงักไป
เวลาล่วงเลยผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็เข้าสู่ช่วงต้นฤดูร้อนแล้ว ต้นไห่ถังในเรือนไห่ถังบานสะพรั่งราวกับเปลวไฟที่ลุกโชน บรรยากาศการเตรียมงานแต่งของจวนปั๋วเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
ไม่นาน คุณหนูสี่ก็ต้องแต่งงานงานเข้าจวนอ๋องแล้ว
พอคิดถึงตรงนี้ แม้แต่คนรับใช้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรือนไห่ถังก็เชิดหน้าชูคอกันขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ มีความรู้สึกภูมิใจอย่างบอกไม่ถูก
ทว่าบรรยากาศที่ดีงามเช่นนี้กลับไม่ได้มีผลอะไรต่อเจียงซื่อ
เมื่อใกล้วันอภิเษกสมรส นางก็ออกไปข้างนอกน้อยมาก หากไม่ดื่มชาอยู่ในเรือนก็อ่านตำราฆ่าเวลา บางครั้งก็ฟังอาหมานที่เอาเรื่องซุบซิบนินทาจากข้างนอกมาเล่าให้ฟัง
วันนี้อาหมานพูดถึงข่าวคราวของจวนอันกงกั๋ว จู่ๆ เจียงซื่อก็นึกถึงเรื่องหนึ่งออกมา
ในเวลานี้เมื่อชาติภพที่แล้ว จี้ฉงอี้ตายไปแล้วชัดๆ…