เนื่องจากมารดาผู้ให้กำเนิดเซียงอ๋องมีพื้นเพต่ำต้อย ส่งผลให้เขากลายเป็นองค์ชายที่โดดเด่นน้อยที่สุดในบรรดาองค์ชายทั้งหมด ดังนั้นการได้สตรีสูงศักดิ์ซึ่งเป็นดุจความภาคภูมิใจของฟ้าสวรรค์อย่างชุยหมิงเย่ว์มาเป็นคู่ครอง เขาควรจะยินยอมน้อมรับแต่โดยดี
เพียงแต่การยินยอมน้อมรับแต่โดยดีนั้นเกิดจากสถานะของชุยหมิงเย่ว์ในยามนี้ แต่ครั้นชุยหมิงเย่ว์เปลี่ยนสถานะมาเป็นพระชายาเซียงอ๋องเมื่อไร ความอัปยศและความโกรธแค้นในใจเซียงอ๋องคงจะรวมร่างดั่งเปลวเพลิงที่คุโชนขึ้นมาทันที
ทั้งที่ในขณะเดียวกัน งานอภิเษกพระราชทานที่เหล่าองค์ชายได้รับเมื่อเร็วๆ นี้มีทั้ง พี่หกที่ได้แต่งงานกับคุณหนูที่โดดเด่นที่สุดจากจวนโซ่วชุนโหว ส่วนพี่เจ็ดก็ได้สตรีที่แสนน่าทึ่งผู้นั้นมาครอบครอง แต่แล้วเหตุใดพอมาถึงเขากลับกลายเป็นชุยหมิงเย่ว์เสียได้
ในสายตาคนอื่นๆ การที่ชุยหมิงเย่ว์ช่วยชีวิตไทเฮาถือเป็นคุณูปการครั้งยิ่งใหญ่ก็จริง แต่ถึงกระนั้นในสายตาของเขา นางก็เป็นเพียงสตรีที่ไม่รู้จักระมัดระวังเท่านั้น
สตรีที่เคยมีสัมพันธ์สวาทกับบุรุษอื่นเพียงได้ช่วยชีวิตไทเฮาเอาไว้ ตัวเขาเลยกลายเป็นคนหน้าโง่ ต้องทนรับของมือสองเสียอย่างนั้น?
เซียงอ๋องยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น ความอดทนที่พยายามฝึกฝนมาหลายปีทำให้เขาค่อยๆ ตระหนักถึงความจริงได้แจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ มือของเขายังคงกำด้ามพู่กันที่หักพร้อมกับหัวเราะเยาะตัวเอง
เขามีสิทธิ์ปฏิเสธงั้นหรือ ใครสั่งให้เขามีมารดาเป็นนางในร่ายระบำ และจนถึงตอนนี้ก็เป็นได้เพียงนางสนมกันเล่า ตัวเขาไร้ซึ่งการสนับสนุนจากฝั่งมารดาโดยสิ้นเชิง
แม้ว่าเขามีศักดิ์เป็นถึงองค์ชาย และเป็นโอรสสายตรงของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน แต่ถึงกระนั้น เขาก็เป็นเพียงองค์ชายที่ไร้ที่พึ่งพา แล้วเขาควรทำตัวอกตัญญู และปฏิเสธอย่างนั้นหรือ
ก็ต้องปฏิเสธสิ… เซียงอ๋องรู้สึกว่าคำตอบนี้ช่างเย้ายวนใจอย่างหาที่เปรียบมิได้
หากเขาสามารถปฏิเสธได้อย่างที่องค์ชายเจ็ดปฏิเสธนางในที่เสียนเฟยส่งมาได้คงดีไม่น้อย… เพียงแต่ว่าเขาไม่ใช่องค์ชายเจ็ด
พี่เจ็ดอาจถูกเสด็จพ่อตำหนิด้วยเหตุที่เติบโตมาจากนอกวังถึงได้มิรู้ความ แต่พระองค์ก็จะไม่ทรงเก็บมาใส่ใจ ทว่าเขาทำเช่นนั้นไม่ได้
แล้วหากเขากล้าทำ คนแรกที่จะไม่ปล่อยเขาไปก็คือเสด็จพ่อ
“ท่านอ๋อง…” สาวรับใช้ที่เติบโตมากับเซียงอ๋องขานเรียกด้วยความเป็นห่วง
เซียงอ๋องจึงได้สติ และวางด้ามพู่กันในมือลง
“เอานี่ไปจัดการให้เรียบร้อย อย่าให้ผู้ใดเห็นเป็นอันขาด”
“ท่านอ๋องไม่ต้องกังวลไปเจ้าค่ะ” สาวรับใช้ก้มลงเก็บกวาดห้องตำราจนเกลี้ยง
เซียงอ๋องจ้องมองไปที่สาวรับใช้พร้อมสติที่ตกอยู่ในภวังค์
สาวรับใช้อายุมากกว่าเขาเพียงไม่กี่ปี นางอยู่ในวัยที่บานสะพรั่งเต็มที่ อากัปกิริยานุ่มนวล กอปรกับรูปร่างอวบอิ่ม เผยให้เห็นทรวดทรงองค์เอวยามเคลื่อนไหว
เซียงอ๋องคว้าตัวสาวรับใช้เอาไว้แล้วกดนางลงบนโต๊ะ
แท่นแขวนพู่กันกลิ้งลงบนพื้น ส่งเสียง ขลุกๆ ใบหน้าของสาวรับใช้ขึ้นสีแดงระเรื่อพร้อมส่งเสียงเรียกท่านอ๋อง
“เงียบหน่า ตอนนี้ข้าอารมณ์ไม่ดี” ครั้นเซียงอ๋องกล่าวจบก็ฝังใบหน้าลงบนลำคอขอขาวนวลของสาวรับใช้
หญิงสาวไร้ซึ่งการขัดขืน ปล่อยให้คนบนร่างทำตามแต่ใจต้องการ
นางเติบโตมาพร้อมกับองค์ชายแปด อย่างไรเสียนางก็เป็นคนขององค์ชายแปด
ไม่นานภายในห้องตำราก็มีเสียงลมหายใจหอบถี่ดังขึ้น หมู่นกกาที่เกาะอยู่ที่กิ่งไม้ริมหน้าต่างต่างก็ขัดเขินจนต้องกระพือปีกบินหนีไป
งานอภิเษกพระราชทานของเซียงอ๋องและชุยหมิงเย่ว์ถือเป็นข่าวใหญ่ ไม่นานเรื่องนี้ก็แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง และไปถึงหูของเจียงซื่อ
อาหมานตื่นตะลึงจนออกนอกหน้า “คุณหนู คุณหนูชุยผู้ไร้ยางอายจะกลายมาเป็นน้องสะใภ้ของคุณหนูแล้วนะเจ้าคะ!”
เจียงซื่อนั่งอยู่บนชิงช้าในสวนพลางส่งยิ้มจางๆ “ก็ใช่น่ะสิ นึกไม่ถึงเลยจริงๆ”
เมื่อชาติภพที่แล้ว พระชายาของเซียงอ๋องมิใช่ชุยหมิงเย่ว์
แต่จนบัดนี้ เจียงซื่อจำเป็นต้องยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงเรื่องๆ หนึ่งอาจส่งผลให้เรื่องอื่นๆ เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย อย่างการที่จี้ฉงอี้ยังมีชีวิตอยู่ หรือการที่ชุยหมิงเย่ว์ได้กลายมาเป็นพระชายาของเซียงอ๋อง
ครั้นคิดตกก็ไม่เห็นว่าเป็นเรื่องแปลก
เนื่องจากในชาติที่แล้ว เรื่องน่ารังเกียจของชุยหมิงเย่ว์ไม่ถูกเปิดโปง นางยังคงเป็นหนึ่งในสตรีสูงศักดิ์ดังเดิม นางมีอนาคตที่ดีโดยมิจำเป็นต้องลงแรง
แต่ในยามนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว ชุยหมิงเย่ว์มิใช่คนที่จะนั่งๆ นอนๆ ไม่ทำอะไร ครั้นนางพยายามดิ้นรนให้หลุดจากบ่วงพันธนาการ สิ่งแวดล้อมรอบๆ ย่อมเปลี่ยนตามเป็นธรรมดา
เสียงฝีเท้าดังขึ้นพร้อมกับเจียงจั้นที่มาปรากฏตัวตรงหน้าเจียงซื่อ
“วันนี้พี่รองไม่ต้องไปเข้าเวรหรือเจ้าคะ”
เจียงซื่อยังคงนั่งอยู่บนชิงช้า นางเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นพี่ชาย
การทำงานอยู่ในหน่วยองครักษ์จินอู๋มากว่าครึ่งปีทำให้เจียงจั้นดูเปลี่ยนไปไม่น้อย
ร่างกายชายหนุ่มสูงขึ้นกว่าเก่า ไหล่ทั้งสองข้างค่อยๆ ขยายกว้างขึ้น คิ้วของเขาให้ความรู้สึกสงบกว่าที่เคยเป็น ทั้งยังมาพร้อมกับเงาร่างของคนวัยฉกรรจ์
ทว่าความสงบนี้หายวับไปทันทีที่ได้พบกับน้องสาว
“น้องสี่ เจ้าได้ข่าวหรือยังว่าคุณหนูชุยผู้นั้นจะได้เป็นพระชายาเซียงอ๋อง อีกหน่อยนางก็จะกลายเป็นน้องสะใภ้ของเจ้า!”
เจียงซื่อหลุดหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้ “ก็ใช่น่ะสิเจ้าคะ ไม่เคยคิดมาก่อนเลยจริงๆ”
อาหมานที่ยืนอยู่ข้างๆ เงยหน้าขึ้นเหม่อมองท้องฟ้า
เมื่อครู่คุณหนูก็ตอบเช่นนี้ ดูไม่ตื่นเต้นเลยสักนิด
เจียงจั้นกลับเป็นฝ่ายร้อนใจ เขาเอื้อมมือไปคว้าเชือกชิงช้าเอาไว้พลางบอกอย่างเป็นกังวล “น้องสี่ ชุยหมิงเย่ว์เกลียดเจ้าเข้ากระดูกดำ พวกเจ้าต่างก็เข้าไปอยู่ในราชวงศ์ด้วยกันทั้งคู่ นางเป็นถึงบุตรีขององค์หญิงใหญ่หรงหยาง ทั้งยังเป็นหลานสาวของไทเฮา ข้าเพียงแต่เกรงว่าครั้นถึงคราวเคราะห์ เจ้าอาจจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ…”
เจียงซื่อหลุดหัวร่อ
“น้องสี่หัวเราะอะไรงั้นหรือ”
เจียงซื่อเงยหน้าขึ้นมองเจียงจั้นพร้อมส่งยิ้ม “สมแล้วที่พี่รองเป็นยอดองครักษ์จินอู๋ ถึงได้มีตามองเห็นคราวเคราะห์…”
เจียงจั้นเริ่มมีน้ำโห “น้องสี่ นี่ข้ากำลังจริงจังอยู่นะ!”
เจียงซื่อยืนขึ้นประจันหน้ากับเจียงจั้น พลางกล่าวด้วยท่าทีแน่วแน่ “พี่รองวางใจได้เจ้าค่ะ น้องของพี่เสียอะไรก็เสียได้ แต่จะไม่ยอมเสียเปรียบอย่างแน่นอน”
“แต่ว่า…”
เจียงซื่อแย้มยิ้มพลางถาม “พี่รองไม่ไว้ใจข้า หรือไม่ไว้ใจอาจิ่น”
“อาจิ่น?” เจียงจั้นผงะไปก่อนจะส่งสายตาแปลกประหลาดไปที่น้องสาว
เจียงซื่อถึงได้รู้ตัวจึงรีบแก้ฉะฉาน “เยี่ยนอ๋อง”
เจียงจั้นรู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างยิ่งยวด
อาจิ่น? น้องสี่เรียกแล้วเสนาะหูแปลกๆ
หึ นี่ยังมิได้ออกเรือนไปเลย มาเรียกอาจิ่นได้อย่างไรกัน ต้องเป็นเพราะเยี่ยนอ๋องทำตัวไร้ยางอายบอกให้น้องสี่เรียกแน่ๆ
“เป็นเยี่ยนอ๋องก็ต้องเรียกเยี่ยนอ๋อง มาเรียกอาจ่งอาจิ่นอะไรกัน ไม่น่าฟังเลยสักนิด” เจียงจั้นกล่าวสอนด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“พี่รองพูดถูกเจ้าค่ะ”
เพราะเจียงจั้นกล่าวด้วยความหวังดี จึงทำให้เจียงซื่อจนใจ ชายหนุ่มลูบดาบที่เอวพลางเดินไป
เหตุใดยามที่น้องสาวจะออกเรือนถึงได้หดหู่เยี่ยงนี้
ไปตายเถอะอาจิ่น!
อีกไม่นานก็จะเข้าเดือนหก งานอภิเษกคืบใกล้เข้ามาทุกที เหมาะแก่เวลาที่จะตระเตรียมของกำนัลแล้ว
จวนตงผิงปั๋วถือว่าเป็นชนชั้นสูงที่เข้าสู่ช่วงยุคปลาย เนื่องจากนายท่านรองเจียงเป็นเพียงข้าราชการพลเรือน ตามวัฏจักรแห่งการขึ้นลงของอำนาจของเหล่าตระกูลสูงศักดิ์แล้วก็นับว่าเป็นเรื่องปกติทั่วไป
แต่เนื่องจากเจียงซื่อกำลังจะได้แต่งงานเข้าไปเป็นเชื้อพระวงศ์ เรื่องนี้ถึงได้ต่างออกไป
ครั้นถึงวันที่เจ้าสาวจะรับของกำนัล ข้าวของมากมายจึงถูกส่งมาไม่ขาดสาย อาเฉี่ยวมัวแต่สาละวนอยู่กับลูกคิดตรงหน้าแต่ไม่เป็นผล จึงต้องขอความช่วยเหลือจากคนในฝ่ายบัญชีของจวนปั๋ว
เฝิงเหล่าฮูหยินสบายอารมณ์อย่างยิ่งยวด
ในที่สุดข้าที่ตั้งตารอมานานก็ได้เห็นหนูสี่ออกเรือนเสียที
แม้สองสามเดือนมานี้จะรู้ดีว่างานอภิเษกพระราชทานจะไม่ถูกเปลี่ยนแปลง แต่ก็อดหวั่นใจมิได้
สิ่งที่ทำให้นางมีความสุขอย่างยิ่งคือหลังจากวันรับของกำนัลนี้แล้ว นางก็จะมีข้ออ้างที่เหมาะสมในการบอกปฏิเสธพวกคนที่หมายจะมาเชื่อมสัมพันธ์ได้อย่างตรงไปตรงมาเสียที
เรื่องของความสัมพันธ์ ย่อมมีทั้ง ‘ได้มา’ และ ‘เสียไป’
เพราะอย่างไร การได้แต่งงานกับบุตรสาวจากตระกูลสูงศักดิ์ก็ถือเป็นหน้าเป็นตาแก่วงศ์ตระกูล
ภายในเรือนไห่ถังแทบจะไม่มีที่ว่างสำหรับวางของกำนัลที่ส่งมาอีกแล้ว
“คุณหนู นี่เป็นของที่แม่นางฉูฉู่ส่งมาเจ้าค่ะ” อาหมานหยิบหีบใบเล็กพลางยื่นให้ และสักพักก็หยิบหีบใบยาวส่งตามไป “ส่วนนี่เป็นของที่คุณหนูใหญ่เซี่ยส่งมาให้เจ้าค่ะ”
ยามนี้หลูฉูฉู่เข้าไปช่วยงานในร้านเครื่องประทินผิวของเจียงซื่อ เพราะนางตั้งใจจะตั้งรกรากที่เมืองหลวง ส่วนคุณหนูใหญ่จวนหย่งชังปั๋วยังอยู่ในช่วงปีแห่งการไว้ทุกข์จึงไม่อาจมาร่วมงานมงคลเช่นนี้ได้ แต่ทว่าของกำนัลที่ส่งมาก็มีความอลังการไม่น้อย
เจียงซื่อคิดถึงเซี่ยชิงเหยาแล้วภายในใจก็มีความรู้สึกผิดอยู่ด้วย แต่ทำได้เพียงรอให้ปีแห่งการไว้อาลัยผ่านพ้นไปก่อนจึงไปมาหาสู่กันได้ตามปกติ
ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความปีติยินดี วันเวลาหมุนผ่านไปรวดเร็วราวกับกะพริบตา และอีกสามวันก็จะถึงวันที่เจียงซื่อจะออกเรือน