ทั้งสองเดินออกไป
ใบหน้าของเจียงซื่อไร้ความรู้สึก หนำซ้ำนางเองก็ไม่คิดจะเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน
ไม่ใช่ว่านางแสร้งทำไม่ได้ แต่สำหรับชุยหมิงเย่ว์แล้ว นางไม่มีวันทำเช่นนั้นเด็ดขาด
เมื่อชาติที่แล้ว คนๆ นี้ทำลายพี่ใหญ่ของนาง และมีแนวโน้มว่าจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการตายของพี่รอง
ต่อหน้าไทเฮาหรือฮ่องเต้จำต้องแสดงท่าทีนอบน้อมก็จริง แต่ต่อให้นางไม่ได้เป็นพระชายาเยี่ยนอ๋อง นางก็ไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องปฏิบัติกับชุยหมิงเยว์ด้วยรอยยิ้มอยู่ดี
ยิ่งไปกว่านั้น เป้าหมายในตอนนี้ของนางก็ถูกกำหนดไว้เรียบร้อยแล้วคือ การกำจัดชุยหมิงเย่ว์
ผลสุดท้ายจึงกลายเป็นชุยหมิงเย่ว์ที่เป็นฝ่ายเริ่มเรียกนางว่าพี่สะใภ้ก่อน
เจียงซื่อชะงักฝีเท้าเล็กน้อย
ชุยหมิงเย่ว์เดินตามมา พลางถามแผ่วเบา “พี่สะใภ้ไม่พอใจข้างั้นหรือ”
เจียงซื่อชำเลืองมองก่อนพยักหน้ารับ “อื้ม”
ชุยหมิงเย่ว์เกือบจะหลุดหัวเราะเพียงแต่เม้มปากไว้เสียก่อน “ท่านหมายความว่าอย่างไรหรือเพคะ”
เจียงซื่อเดินต่อพร้อมตอบเสียงเรียบ “ก็เมื่อครู่คุณหนูใหญ่ชุยถามข้า คำตอบของข้ายังไม่ชัดเจนพออีกหรือ”
ชุยหมิงเย่ว์รีบก้าวฉับตามไป นางถามเสียงสูง “ข้าไปทำอะไรให้ท่านโกรธเคือง ท่านถึงได้เอ่ยเช่นนี้”
การที่นางถามด้วยเสียงสูงเช่นนี้ราวกับว่าเมื่อครู่นางมิได้เป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน แต่เป็นเพราะเจียงซื่อเอ่ยวาจาหยาบคาย เสียงของนางดึงดูดสายตานางในที่อยู่ในบริเวณนั้น
คิ้วบางเป็นทรงของเจียงซื่อขมวดลงเล็กน้อย ประหนึ่งว่ากำลังสงสัย “คุณหนูใหญ่ชุยไม่ทราบเหตุผลเลยงั้นหรือ”
ใบหน้าของชุยหมิงเย่ว์แสดงออกว่าน้อยอกน้อยใจ ทว่าในใจสั่นไหวยิ่งนัก
ในที่สุดเจียงซื่อก็ยอมพูด!
นางคิดว่าพอตัวเองรักษาดวงตาขององค์หญิงฝูชิงแล้วจะพ้นอาชญาไปได้งั้นหรือ หากถ้อยคำแสลงหูเหล่านี้ไปถึงหูไทเฮา นางไม่กลัวว่าพระองค์จะทรงกริ้วเลยหรืออย่างไร
ทำให้ไทเฮากริ้วอย่างนั้นรึ
คำถามนี้เคยแล่นวนในความคิดเจียงซื่อเช่นกัน แต่แล้วนางก็ยกมุมปากอย่างไม่ยี่หระ
ไม่ว่าจะชาติที่แล้วหรือชาตินี้ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบไทเฮา นางก็ทราบได้ทันทีว่าพระองค์ไม่ถูกใจนางเท่าใดนัก
ในเมื่อนางมิได้เป็นที่น่าพอใจอยู่แล้ว จะใส่ใจให้ได้สวรรค์วิมานอะไรขึ้นมา
เจียงซื่อมองตรงไปที่ชุยหมิงเย่ว์ พลางเอ่ยพร้อมรอยยิ้มบางเบา “ข้าคิดว่าเหตุผลเพียงพอในตัวมันแล้ว คุณหนูใหญ่ชุยเองก็น่าจะรู้แจ้งแก่ใจ ไม่คิดว่าต้องลำบากข้าให้มานั่งอธิบาย สาเหตุที่ข้าไม่ถูกใจคุณหนูใหญ่ชุยก็เนื่องจากเจ้ามีสัมพันธ์สวาทกับอดีตสามีพี่ใหญ่ของข้าอย่างไรล่ะ…”
“เจ้า!” ชุยหมิงเย่ว์แตะแส้รอบเอวของตัวเองโดยไม่รู้ตัว ทว่าจับไปแล้วกลับรู้สึกถึงความว่างเปล่า จึงนึกขึ้นได้ว่าทุกครั้งที่เข้าวังจะต้องปลดแส้ยาวที่เอวออก
เจียงซื่อถามขึ้นด้วยใบหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “คุณหนูใหญ่ชุยอับอายและคับแค้นใจจนอยากจะตีข้าเชียวหรือ”
นางในรอบๆ มองชุยหมิงเย่ว์ด้วยสายตาแปลกประหลาด
ไม่รู้ว่าท่ามกลางเหล่านางในที่ใช้ชีวิตอยู่กับความเบื่อหน่ายในวังหลวงจะเอาข่าวลือระหว่างชุยหมิงเย่ว์และจูจื่ออวี้ไปถกถึงไหนต่อไหน พวกนางไม่เพียงแต่ดูถูกความไร้ยางอายของชุยหมิงเย่ว์ แต่ยังอิจฉาชีวิตที่สุดแสนจะโชคดีของนางด้วย
ชีวิตคนเราไม่อาจเอามาเปรียบเทียบกันได้ คุณหนุใหญ่ชุยที่ชื่อเสียงป่นปี้ไม่มีชิ้นดีกลับกลายเป็นพระชายาเซียงอ๋อง นั่นก็เป็นเพราะคุณหนูใหญ่ชุยเป็นหลานสาวของไทเฮา เพราะหากลองเป็นสตรีนางอื่นแล้ว ไทเฮาคงไม่อนุญาตให้เรื่องนี้เกิดขึ้นเป็นอันขาด
เพียงแต่คำพูดเหล่านี้ไม่อาจนำมากล่าวถึงต่อหน้าผู้อื่นได้ เพราะหากเรื่องนี้ไปถึงหูของเหล่าพระองค์ท่าน พวกนางคงไม่ได้มีลมหายใจอีกต่อไป
แต่เมื่อยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้เหล่านางในรู้สึกไม่ถูกใจชุยหมิงเย่ว์มากเป็นเท่าตัว ดังนั้นเมื่อได้ยินเจียงซื่อกล่าววาจาจี้ใจดำ พวกนางก็ยิ่งรู้สึกถูกใจ
เมื่อต้องตกอยู่ท่ามกลางสายตาประหลาดหลายคู่ ชุยหมิงเย่ว์จึงเริ่มลุกโชนด้วยไฟแค้น นางพยายามข่มกลั้นความรู้สึกเหล่านั้นไว้พลางบอก “พี่สะใภ้คงพูดเล่น ข้าจะกล้าตีท่านได้อย่างไร อีกอย่างการเป็นกุลสตรีในตระกูลชั้นสูงไม่ควรลงไม้ลงมือกับผู้อื่นตามอำเภอใจ”
เจียงซื่อไม่ได้ใส่ใจสิ่งที่นางพูด เพียงแต่หัวเราะออกมาเบาๆ
ชุยหมิงเย่ว์ได้ยินเสียงหัวเราะนั้นก็ทราบได้ว่าเป็นการเยาะเย้ย
เหล่านางในก้มศีรษะลงต่ำกว่าเดิม เพราะต้องซ่อนรอยยิ้มไว้ให้มิด
การเป็นกุลสตรีในตระกูลชั้นสูงไม่ควรลงไม้ลงมือกับผู้อื่นตามอำเภอใจ แต่สามารถยุ่มย่ามกับสามีคนอื่นได้ตามอำเภอใจ นี่ไม่ไร้เหตุผลยิ่งกว่าหรือ
ชุยหมิงเย่ว์ไม่คิดว่าการรับมือเจียงซื่อจะยากเย็นถึงเพียงนี้ คำพูดไร้ซึ่งความปรานีของเจียงซื่อเล่นเอานางไม่ต่อไม่ถูก
พระชายาเยี่ยนอ๋องเป็นพวกภายนอกอ่อนโยน แต่ปากคอเราะราย นางพูดเพียงไม่กี่คำก็ทำให้พระชายาเยี่ยนอ๋องปะทุได้แล้ว เพียงแต่นางคิดไม่ถึงเลยว่าก้อนหินที่จงใจขว้างไปดันกลิ้งมาทับเท้าตัวเองเสียอย่างนั้น
หากนางยังว่าต่อไม่ลดละ และพระชายาเยี่ยนอ๋องยังพูดถ้อยคำแสลงหูไม่หยุดปาก แล้วนางยังควรเป็นพระชายาเซียงอ๋องอยู่หรือไม่
เมื่อบทสนทนานี้ไปถึงหูไทเฮา พระองค์จะต้องโกรธเจียงซื่อเป็นแน่ แต่นางก็เกรงว่าบัญชีเก่าที่ตัวเองก่อไว้จะถูกรื้อขึ้นมาด้วย
“เดินทางปลอดภัยนะเพคะ โปรดยกโทษที่ข้าไม่อาจไปส่งพี่สะใภ้ถึงที่” ชุยหมิงเย่ว์โค้งคำนับเพียงครึ่งเดียวแล้วหันหลังเดินกลับไป
เมื่อกลับไปถึงตำหนัก ไทเฮาสังเกตเห็นว่าชุยหมิงเย่ว์ตาแดงจึงถามขึ้นว่า “เป็นอะไรไปรึ”
ชุยหมิงเย่ว์ก้มหน้า “เปล่าเพคะ”
“เมื่อครู่ยังดีๆ อยู่เลย แล้วไฉนพอให้ไปส่งพระชายาเยี่ยนอ๋องถึงได้กลับมาพร้อมตาแดงก่ำเช่นนี้” ไทเฮารุกคืบ
ชุยหมิงเย่ว์เงียบงันอยู่นานกว่าจะตอบ “เพราะหมิงเย่ว์เคยทำผิด ท่านพี่สะใภ้เลยไม่ชอบใจหมิงเย่ว์เพคะ…”
ในเมื่อเรื่องนี้จะต้องถึงหูไทเฮา สู้นางชิงบอกเองก่อนจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องเป็นฝ่ายถูกต้อน
ไทเฮาได้ฟังเช่นนั้น ใบหน้าของนางก็พลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
ในเมื่อนางเป็นคนเลือกให้หมิงเย่ว์แต่งงานกับเซียงอ๋อง แต่พระชายาเยี่ยนอ๋องกลับจงใจย้ำความผิดของหมิงเย่ว์ไม่ยอมปล่อยไปเช่นนี้ ก็เท่ากับว่านางหาได้ใส่ใจกับชื่อเสียงของราชวงศ์ไม่ และยิ่งไปกว่านั้นคือนางไม่แม้แต่จะเห็นหัวไทเฮาคนนี้ด้วยซ้ำ
แต่เพราะความสัมพันธ์อันดีระหว่างแม่ลูกของนางและฮ่องเต้ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ทำให้นางไม่อาจวิพากษ์พระชายาเยี่ยนอ๋องอย่างรุนแรงได้
พระชายาเยี่ยนอ๋องเพิ่งรักษาดวงตาขององค์หญิงจนหายดี ทั้งฮ่องเต้และฮองเฮาต่างก็ยินดีกันถ้วนหน้า การจะเล่นงานพระชายาเยี่ยนอ๋องยามนี้จึงมิใช่เรื่องชาญฉลาดนัก
ไทเฮาทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดีจึงยกมือขึ้นตบมือชุยหมิงเย่ว์เบาๆ “อย่าไปใส่ใจหลานสะใภ้เจียงเลย ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นเด็กดี”
ชุยหมิงเย่ว์พยักหน้าแช่มช้า
เจียงซื่อเข้าวังมาวันแรกก็ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้และฮองเฮาเสียแล้ว แม้แต่ไทเฮาก็ได้แต่ระงับความโกรธของตนเองเอาไว้ นางไม่มีทางทนดูเจียงซื่อก่อรากฐานจนแข็งแกร่งหน้าตาเฉยเป็นอันขาด…
รอจนชุยหมิงเย่ว์กลับไป ไทเฮาก็หันไปถามความจากนางในที่เดินตามทั้งสองออกไป “พระชายาเยี่ยนอ๋องและคุณหนูใหญ่ชุยมีเรื่องบาดหมางอะไรกัน”
นางในขอประทานอภัยก่อนจะตอบ “ในตอนนั้น บ่าวเดินตามไปทีหลังเพคะ พระชายาและคุณหนูชุยสนทนาเสียงเบา บ่าวเลยฟังได้ไม่ชัดเจนเพคะ”
เรื่องบางเรื่องแม้ได้ยินก็ไม่อาจปริปากบอกไป
พระชายาเยี่ยนอ๋องพูดโพล่งออกมาว่าคุณหนูใหญ่ชุยมีสัมพันธ์กับบุรุษที่มีภรรยาแล้ว แต่ถึงกระนั้นไทเฮาก็เป็นผู้เลือกให้คุณหนูใหญ่ชุยเป็นพระชายาเซียงอ๋อง หากบอกเรื่องนี้ให้ไทเฮาทราบ ไทเฮาอาจจะกริ้วและพาลมาลงที่นางในต่ำต้อยอย่างพวกนาง
ไทเฮาจึงมิได้ซักไซ้ถึงรายละเอียด เพียงแต่รู้สึกไม่พอใจกับความอุกอาจของเจียงซื่อ แต่ในขณะเดียวกันกันรู้สึกรำคาญใจกับความไม่ระมัดระวังของชุยหมิงเย่ว์
อย่างไรเสีย นางก็ยอมรับเรื่องที่ชุยหมิงเย่ว์เฉือนเนื้อตัวเองมาทำยารักษาให้นาง นางถึงได้เก็บงำความรำคาญใจนั้นไว้เพียงลำพัง
ครั้นชุยหมิงเย่ว์กลับไปถึงจวนขององค์หญิงใหญ่แล้ว นางเดินเข้าไปพร้อมกำแส้ไว้ในมือ ทว่านางกลับไม่เห็นเงาของกวางดังเช่นที่ผ่านมา
นางหยุดยืนข้างรั้ว และนึกขึ้นได้ว่า เพราะใกล้ถึงเวลาออกเรือน ดังนั้นเมื่อกวางถูกตีจนตาย จะไม่มีการนำกวางตัวใหม่เข้ามาเพิ่ม
ชุยหมิงเย่ว์หันไปจ้องมองที่สาวรับใช้ที่ทำหน้าที่ดูแลกวาง
สาวรับใช้ผู้นั้นถึงกับเข่าอ่อน นางทรุดตัวลงข้างรั้ว
……
ฝ่ายเจียงซื่อเดินกลับมายังตำหนักคุนหนิง ซึ่งดูเหมือนว่าเวลาล่วงเลยไปนานมากแล้ว
องค์หญิงฝูชิงอารมณ์ดียิ่งนัก นางกระตือรือร้นอยากสนทนากับผู้มีพระคุณที่ช่วยรักษาดวงตาผู้นี้เหลือเกิน
ฮองเฮาเฝ้ามองบุตรีที่รักมีความสุขอยู่เช่นนั้น ฝ่ายฮ่องเต้ก็มิได้ตรัสรับสั่งอะไร ทั้งสองกำลังอิ่มเอมใจจึงไม่ได้เร่งเร้าให้เยี่ยนอ๋องและพระชายาไปน้อมทักเสียนเฟย
ในยามปกติ นางเป็นฮองเฮาที่สุดแสนจะเคร่งครัด แต่นั่นเป็นตอนที่นางไม่ได้อยากเรียกร้องสิ่งใด แต่ทว่าตอนนี้ อาเฉวียนสนิทสนมกับพระชายาเยี่ยนอ๋อง ฉะนั้นทั้งเสียนเฟย จ้วงเฟย หรืออะไรเฟยก็ตามแต่ จำต้องรอไปก่อน
ในตำหนักอวี้เฉวียน เสียนเฟยทนรอไม่ไหวอีกต่อไป