ทันทีที่เอ้อร์หนิวได้รับอิสระ มันหันไปพ่นลมออกทางปากใส่อวี้จิ่น
สุนัขตัวใหญ่อ้าปากกว้างเผยฟันขาว มันหรี่ตาเฝ้าดูปฏิกิริยาของเจ้านายคล้ายเป็นปฏิปักษ์
อวี้จิ่นโกรธจนแทบคลั่ง พร้อมยกเท้าเตรียมเตะเต็มที่
เอ้อร์หนิววิ่งเข้าไปหลบหลังเจียงซื่อไวว่อง และเลียหลังมือของนายหญิงอย่างออดอ้อน
เจียงซื่อขมวดคิ้วเป็นเชิงห้ามปรามใส่อวี้จิ่น “เจ้าจะถือสาเอ้อร์หนิวทำไมกัน”
อวี้จิ่น “….” ชิงลงมือก่อนได้เป็นต่อ หากมัวรีรอคงได้เป็นรอง หากรีบขายเอ้อร์หนิวไปเสียตั้งแต่ตอนนั้น ป่านนี้เขาคงไม่ต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้!
เอ้อร์หนิว “โฮ่ง!”
ในจวนเยี่ยนอ๋อง เรือนหลักมีชื่อว่า อวี้เหอย่วน ซึ่งอยู่กลางของจวนอ๋องพอดี
สองสามีภรรยาเดินผ่านประตูเข้าไป ส่วนเอ้อร์หนิวก็ตามเข้าไปติดๆ
อวี้จิ่นชะงักฝีเท้าก่อนหันหลังกลับมา “กลับที่ของเจ้าไปเลย”
ก่อนจะแต่งงาน เขาจะพักอยู่ที่ห้องตำราที่เรือนด้านหน้า เพื่อรออาซื่อย้ายเข้าไปอยู่เรือนใหม่พร้อมกัน
ฉะนั้นที่ประจำของเอ้อร์หนิวจึงถูกจัดไว้ที่บริเวณด้านหน้า แต่ถึงกระนั้น มันก็สามารถวิ่งเล่นได้ตามใจชอบโดยที่ไม่มีใครคอยกะเกณฑ์
เอ้อร์หนิวหันไปมองอวี้จิ่นก่อนจะงับกระโปรงของเจียงซื่อไม่ยอมปล่อย
อวี้จิ่นเอื้อมมือเตรียมจะคว้าคอเอ้อร์หนิว ทว่าถูกเจียงซื่อห้ามไว้เสียก่อน
“ทำที่นอนให้เอ้อร์หนิวไว้ที่อวี้เหอย่วนด้วยเถอะเพคะ”
ราวกับว่าเอ้อร์หนิวฟังเข้าใจ มันส่งเสียงโฮ่งๆ เห็นพ้อง แล้วล้มตัวกลิ้งลงบนพื้นอย่างสบายอารมณ์ มันกลิ้งจนตัวไปหยุดอยู่ใต้เงาร่มที่มุมหนึ่ง และนอนลิ้นห้อยปักหลักอยู่ที่นั่น
อวี้จิ่นลอบสถบกับตัวว่าจะต้องกลับมาคิดบัญชีกับเอ้อร์หนิวให้ได้ แล้วชายหนุ่มก็เดินตามเจียงซื่อเข้าไปด้านใน
หลังจากที่เปลี่ยนอาภรณ์ และล้างไม้ล้างมือเป็นที่เรียบร้อย ในระหว่างมื้ออาหาร อวี้จิ่นกล่าวตัดพ้อขึ้นว่า “อาซื่อ เหตุใดข้าถึงได้รู้สึกว่าเจ้าปฏิบัติต่อเอ้อร์หนิวดีกว่าปฏิบัติต่อข้าเสียอีก”
เจียงซื่อเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะคลี่ยิ้มหวาน “เจ้าไม่ได้รู้สึกไปเองเสียหน่อย”
อวี้จิ่นตบโต๊ะพร้อมผุดลุกโดยพลัน เขาดึงเจียงซื่อเข้ามาประชิดตัว “เป็นเรื่องจริงงั้นรึ”
เจียงซื่อจ้องมองใบหน้าจริงจังเกินเรื่องพลางหัวเราะ “ทำไมรึ คำตอบไม่ถูกใจเลยจะลงไม้ลงมือกับหม่อมฉันเลยหรือเพคะ…”
อวี้จิ่นลดเสียง แววตาอันตรายจับจ้องไปที่ใบหน้าของหญิงสาว “ความจริงข้าก็ว่าจะทำเช่นนั้นแหละ…”
เจียงซื่อยิ้มพลางกะพริบตาปริบๆ “ข้าเองก็ด้วย”
อวี้จิ่นตะลึงไปชั่วขณะ
นี่เขาฟังผิดไปหรือ ตามเรื่องแล้ว เจียงซื่อต้องยืนกรานปฏิเสธต่างหาก
เจียงซื่อกลั้นหัวเราะไม่อยู่อีกต่อไป
นางผ่านชีวิตมาแล้วถึงสองครั้งสองครา หากจะเทียบความหนาของใบหน้า อย่างไรเสียของนางก็มากกว่าคนซื่อบื้อตรงหน้าอยู่หน่อยหนึ่ง
“กินข้าวกันเถิด ข้าหิวแล้ว” เจียงซื่อหยุดแกล้ง
อวี้จิ่นผิดหวัง แต่ก็เลิกคิดถึงเรื่องนั้นไป
ก็แค่รอให้ฟ้ามืด เขารอได้อยู่แล้ว อย่างไรเสียก็ต้องมีคราวที่อาซื่อเป็นฝ่ายขอร้องบ้างแหละ
หลังจากทานอาหารเรียบร้อย สาวรับใช้ก็ยกอ่างล้างหน้า ผ้าเช็ด และของใช้จำเป็นเข้ามาปรนนิบัติทั้งสอง
เจียงซื่อเดินเข้าไปในห้องชั้นในพลางล้มตัวลงนอนที่เตียง เมื่อเห็นว่าอวี้จิ่นเดินตามเข้ามาจึงส่งยิ้มพลางถาม “ท่านอ๋องไม่มีเรื่องอื่นที่ต้องทำบ้างเลยหรือ”
อวี้จิ่นสะบัดรองเท้าออก ล้มตัวลงนอนข้างเจียงซื่อแล้วดึงนางมาไว้ในอ้อมแขน “ไม่มีเรื่องใดสำคัญไปกว่าการนอนกลางวันกับเจ้าอีกแล้ว อีกอย่าง ข้าเป็นท่านอ๋องผู้เกียจคร้านจะมีเรื่องใดให้ทำกันเล่า…”
‘สำเริงสำราญรอวันตาย’ อย่างน้อยๆ คนอื่นก็จะได้คิดว่าเขาเป็นพวกใช้ชีวิตสำเริงสำราญไปวันๆ เพื่อที่พวกเขาจะได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสงบ
เจียงซื่อดันตัวชายหนุ่ม “ไม่ไปอ่านตำราที่ห้องตำราหรือ เจ้ามิได้บอกกับเสด็จพ่อว่าจะตั้งใจศึกษาร่ำเรียนให้มากขึ้นหรือ”
อวี้จิ่นหัวเราะหึๆ “ยิ่งเรียนก็ยิ่งปวดหัว ข้าว่าอย่างที่เป็นตอนนี้ก็ดีอยู่แล้ว”
“เช่นนั้นก็นอนเถิดเจ้าค่ะ” เจียงซื่อเอื้อมมือไปปลดตะขอที่เกี่ยวม่าน
ม่านบางสีแดงผืนใหญ่ค่อยๆ ทิ้งตัวลงมาราวกับแยกโลกใบเล็กออกมาอีกใบ
เจียงซื่อข่มตาหลับไม่ลง ในสมองยังคงครุ่นคิดถึงแต่ภาพวาดผืนนั้น
ฝ่ายอวี้จิ่นเองก็นอนไม่หลับเช่นกัน เพราะมัวแต่คิดถึงกำไลดอกหลิงเซียวที่ฮองเฮามอบให้เจียงซื่อ
ตอนที่กลับมาที่เมืองหลวงใหม่ๆ ดวงตาของเขายังคงมืดมิดคล้ายคนตาบอด
รสชาติชีวิตช่วงนั้นขมฝาดเอาเรื่อง
ในตอนนั้นเขายังเป็นเด็กน้อย เขาที่แต่งตัวเป็นสตรีเกือบถูกจับเข้าไปขายตัวอยู่ในหอโคมเขียว เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เขาปฏิญาณกับตนเองว่า เขาจะไม่ปล่อยให้ใครหน้าไหนมาควบคุมชีวิตของเขาอีกแล้ว
ความขมขื่นในวัยเยาว์ส่งผลให้เขาตั้งใจหาความรู้ และฝึกฝนศิลปะการต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย เขาเข้าไปร่วมฝึกอยู่ในสนามรบที่โหดร้ายที่สุดในหนานเจียงเพื่อให้ตนเองแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
หากจะพูดอีกนัยหนึ่งคือ เจียงซื่อเป็นผู้มอบชีวิตใหม่ให้แก่เขา
วันนี้เขาได้กลับมาอยู่ที่นี่ และได้ลิ้มรสชาติของการมีอาซื่ออยู่เคียงข้าง แม้ว่าเขาจะไม่ปรารถนาสิ่งอื่นใดนอกเหนือจากนี้แล้ว แต่เขาก็ไม่อาจหลงลืมคำปฏิญาณที่ให้ไว้กับตัวเอง
แม้อวี้จิ่นเลือกได้ว่าจะไม่แก่งแย่งชิงดีกับผู้ใด แต่นั่นก็ต้องไม่ใช่การไหลไปตามกระแสคลื่น
หลังจากที่กลับมาอยู่เมืองหลวงได้ปีกว่า ทักษะและวิธีการที่สั่งสมมาครั้งอยู่ที่หนานเจียงแปรเปลี่ยนเป็นเบี้ยหมากและวิสัยทัศน์ในการใช้ชีวิต
การกลับมาที่เมืองหลวงในคราวนี้ เขาจึงไม่ใช่คนตาบอด หรือคนหูหนวกอีกต่อไป
นั่นหมายความว่า เขาเองก็เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับกำไลดอกหลิงเซียวมาบ้าง
อาซื่อรักษาดวงตาขององค์หญิงฝูชิงเท่ากับได้สร้างคุณความดีครั้งใหญ่ ฮองเฮาจะปูนบำเหน็จใหญ่ให้ย่อมเป็นเรื่องธรรมดา เพียงแต่ว่าการตอบแทนด้วยกำไลดอกหลิงเซียวไม่ยิ่งใหญ่ไปหน่อยหรือ
อวี้จิ่นสัมผัสได้ว่าเสียงลมหายใจของคนข้างๆ ยังไม่อยู่ในขั้นสงบนิ่ง เขาจึงออกปากถามว่า “อาซื่อ เจ้าถูกใจกำไลดอกหลิงเซียวที่ฮองเฮามอบให้หรือไม่”
เจียงซื่อพลิกตัวหันมาประจันหน้ากับอวี้จิ่น
ทั้งสองคนนอนอยู่บนเตียง แอบอิงกายแนบชิดจนนางสามารถนับตอหนวดที่เพิ่งขึ้นที่คางของอวี้จิ่นได้อย่างชัดเจน ส่วนเขาก็มองเห็นขนเส้นเล็กๆ ข้างแก้มของนางได้อย่างชัดเจนดุจกัน
เจียงซื่อชูมือขึ้นในอากาศ แขนเสื้อสีขาวราวหิมะไหลลงตามแรงโน้มถ่วง เผยให้เห็นกำไลดอกหลิงเซียวสีเขียวอ่อนบนข้อมือ
“กำไลนี้ช่างงดงามยิ่งนัก” เจียงซื่อกล่าวจากใจจริง
อวี้จิ่นเม้มปากเล็กน้อยก่อนจะเตือน “ไม่มีผู้ใดล่วงรู้พระประสงค์ของฮองเฮาได้ ฉะนั้นหากเจ้าไม่มีความจำเป็นใดก็อย่าไปที่วังหลวงบ่อยนักเลย”
เพราะหากมองเพียงผิวเผินก็คงสรุปว่า ฮองเฮารู้สึกซาบซึ้งในการช่วยเหลือครั้งนี้ถึงได้มอบของมีค่าอย่างกำไลดอกหลิงเซียวแก่พระชายาเยี่ยนอ๋อง แต่หากมองให้ลึกแล้วที่จริงอาจจะเป็นเพราะต้องการลากสองสามีภรรยาคู่นี้เข้าสู่วังวนน้ำขุ่นก็เป็นได้
แม้อวี้จิ่นรู้ว่าการมองคนอื่นในแง่ร้ายมิใช่นิสัยที่ดีนัก แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะเปลี่ยน
เจียงซื่อผงกศีรษะรับ “เรื่องนั้นข้าเองก็พอรู้ อาจิ่น เจ้าวางใจได้ ในเมื่อข้าตกลงใจจะแต่งงานกับเจ้าแล้ว ข้าก็เตรียมใจไว้ว่าจะไม่ปล่อยให้ตัวเองต้องตกอยู่ในความทุกข์ยากเช่นนั้นอีกแล้ว”
อวี้จิ่นสะดุดกับคำว่า “อีกแล้ว”
“อีกแล้ว?”
จากความหมายนั้น อาซื่อกำลังจะบอกว่าตนเองเคยตกอยู่ในสถานการณ์ทุกข์ยากมาก่อนงั้นหรือ
เจียงซื่อรู้ว่าตนเผลอหลุดปากออกไปจึงรีบส่งยิ้มกลบเกลื่อน “ก็เมื่อครั้งที่ข้าได้ไปร่วมงามเลี้ยงที่จวนหย่งชังปั๋วแล้วดันไปได้ยินข่าวเล่าข่าวลือโดยบังเอิญ ตอนนั้นข้ายังเด็กนัก อารมณ์หุนหันพลันแล่น ล้มป่วยอยู่นานกว่าจะคิดตก”
หากพูดกันตามจริงแล้ว เมื่อตอนปลายฤดูใบไม้ผลิที่นางได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง เจียงซื่อผู้แสนจะทะเยอทะยานและเย่อหยิ่งก็ได้ตายจากไปแล้ว
นางจบชีวิตลงเพราะเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของชายผู้หนึ่ง นางจบชีวิตลงท่ามกลางสายตาเย้ยหยันของเด็กสาวพวกนั้น
เมื่อมาคิดย้อนดูตอนนี้ ช่างไม่คุ้มเอาเสียเลย
แต่แล้วจู่ๆ สายตาของอวี้จิ่นก็พลันเย็นเยียบ “อาซื่อ เจ้าอยากระบายความทุกข์นั้นหน่อยไหม”
เจียงซื่อส่ายหัว “คนไร้ค่าเช่นนั้น แม้แต่เวลาก็ไม่ควรเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ นอนกันเถอะ”
“อื้อ”
ด้านในม่านสงบเงียบลงในเวลาอันรวดเร็ว
เจียงซื่อลืมตาตื่นขึ้นมาก่อนจะพบว่าข้างกายของนางว่างเปล่า
“ท่านอ๋องเล่า” เจียงซื่อสวมเสื้อคลุมพลางหันไปถามอาเฉี่ยว
“ท่านอ๋องตื่นก่อน ตอนนี้ฝึกดาบอยู่เพคะ”
เจียงซื่อมิได้แปลกใจ
อวี้จิ่นรักษาวินัยมาแต่ไหนแต่ไร เขาไม่เคยผ่อนปรนกับตัวเองเลยสักครั้ง
เดิมทีนางตั้งใจว่าจะงีบแค่ครู่เดียว แต่กลายเป็นว่าเผลอหลับไปเสียนาน คงเป็นผลพวงจากเมื่อคืน
เจียงซื่อนวดขมับที่ปูดบวมของตัวเองก่อนจะล้างหน้าล้างตาแล้วเดินออกไปด้านนอก
อวี้ชีฝึกดาบอยู่ที่สนามประลอง ส่วนนางก็จะไปเดินชมในห้องตำราเสียหน่อย
ตลอดทางที่เดินไปมีบ่าวรับใช้คอยโค้งคำนับอยู่ไม่ขาดพร้อมกล่าวร้องทัก “พระชายา”
เจียงซื่อพยักหน้าเล็กน้อย แล้วเดินนำอาหมานผ่านประตูวงเดือนไปยังห้องตำราที่เรือนด้านหน้า
ที่หน้าห้องตำรามีเด็กรับใช้ยืนเฝ้าอยู่ ครั้นเห็นเจียงซื่อก็ผงะไปชั่วครู่ก่อนจะรีบถวายความเคารพ