จิ่งหมิงฮ่องเต้จึงมองไปที่จางย่วนสื่อ
จางย่วนสื่อค่อนข้างจะมีอายุแล้ว ใบหน้าของเขาเหี่ยวย่นมีหนวดเคราสีขาวราวหิมะ
จากประสบการณ์มากมายเป็นแรมปี อีกทั้งประจำการอยู่ในโรงหมอหลวง บุคคลเช่นนี้มักสงบนิ่งดั่งเช่นขุนเขา แต่ขณะนี้ สายตาแห่งความหวาดกลัวและไม่สบายใจก็ยากที่จะปิดซ่อนเอาไว้
จางย่วนสื่อโค้งคำนับจิ่งหมิงฮ่องเต้อย่างสุดกำลัง น้ำเสียงแหบแห้งดังขึ้นในห้องโถง “ทูลฝ่าบาท สิ่งที่พระชายาเยี่ยนอ๋องกล่าวมานั้นถูกต้องแล้ว ที่มาของพิษนั้นคือยวนยางเถิงพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินจางย่วนสื่อกล่าวเช่นนั้น ทุกคนจึงหยุดการคัดค้านลงแล้วรอฟังเขากล่าวต่อไป
จางย่วนสื่อก้มศีรษะลงรายงานว่า “ยวนยางเถิงเป็นยาดีและใช้ในการล้างพิษได้ สิ่งนี้เป็นความจริงโดยไม่ต้องสงสัย แต่มีต้นหญ้าชนิดหนึ่งซึ่งมองดูจากภายนอกคล้ายกับยวนยางเถิง หากไม่ใช่ผู้ที่มีความรู้เรื่องยาก็คงยากที่จะแยกแยะ และเจ้าสิ่งนี้คือหญ้าชนิดหนึ่งในตระกูลหญ้าไส้ขาด นามว่าดอกโกวเหวิ่น”
ภาษาพื้นบ้าน หญ้าไส้ขาดเป็นเพียงคำเรียกทั่วไป บรรดาหญ้าที่มีพิษร้ายแรงหลายชนิดชาวบ้านล้วนเรียกพวกมันว่าหญ้าไส้ขาด และดอกโกวเหวิ่นก็เป็นหนึ่งในนั้น”
ดอกโกวเหวิ่นมีพิษร้ายแรงมากโดยเฉพาะรากและใบอ่อน ในปริมาณเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้ผู้ใดรับพิษถึงตายได้ในเวลาอันสั้น และภายนอกของมันมีลักษณะที่ชวนสับสน มองไปคล้ายกับยวนยางเถิงที่ทุกคนรู้จัก
โดยมากแล้วดอกโกวเหวิ่นจะขึ้นอยู่ทางใต้ ผู้คนในนี้โดยมากมักจะเกิดและเติบโตในเมืองหลวง จึงไม่เคยเห็นหรือแม้กระทั่งได้ยินชื่อมาก่อน
เมื่อได้ยินคำอธิบายจากจางย่วนสื่อ ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน
มีพืชพิษที่ลักษณะคล้ายกับยวนยางเถิงด้วยหรือนี่ ช่างน่ากลัวเหลือเกิน แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องตกตะลึงนั่นก็คือ ในเรือนของเฉินเหม่ยเหรินมียวนยางเถิงปลูกเอาไว้ และพระชายาเยี่ยนอ๋องกับจางย่วนสื่อพบดอกโกวเหวิ่นแทรกอยู่ท่ามกลางสวนยวนยางเถิงนั้นด้วย…เรื่องนี้ทำให้ทุกคนคาดไม่คิดจริงๆ
“ข้าขอดูดอกโกวเหวิ่นหน่อย”
เจียงซื่อเปิดผ้าเช็ดหน้าในมือออกเผยให้เห็นใบไม้และดอกไม้ที่อยู่ด้านใน
สายตาของทุกคนเบิกกว้าง พวกเขาพบดอกไม้สีเหลืองอ่อนมองไปคล้ายยวนยางเถิงยิ่งนัก
จิ่งหมิงฮ่องเต้ก้าวไปข้างหน้า ดวงตาของเขาดูลึกล้ำ “นี่…คือดอกโกวเหวิ่นหรือ”
ในความทรงจำของเขา มีเพียงครั้งเดียวที่เคยเห็นยวนยางเถิงเมื่อครั้นเสด็จออกจากพระราชวัง ขณะนั้นมันกำลังออกดอกบานสะพรั่ง สีทองและสีเงินสลับกันแพรวพราว ไม่ต่างจากสิ่งที่พระชายาเยี่ยนอ๋องถือในมือตอนนี้เลย
ทว่าในตอนนั้นเขาเพียงแค่เหลือบมองดูอย่างไม่ได้สนใจมันนัก หากเอ่ยถามเขาว่าดอกไม้ที่อยู่ตรงหน้าคือดอกเหริ่นตงหรือไม่ เขาเองก็ไม่อาจบอกได้แน่ชัด
เมื่อไม่อาจแน่ใจได้ ก็ควรจะฟังคำของหมอหลวงผู้ที่มีความถนัดเฉพาะทางล้วนชำนาญกว่า เรื่องนี้จิ่งหมิงฮ่องเต้เข้าใจดี
“ทูลฝ่าบาท โปรดทอดพระเนตรดูความแตกต่าง นี่จึงจะเป็นดอกยวนยางเถิงพ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงจังหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าเสื้อและเปิดออกให้แก่จิ่งหมิงฮ่องเต้ทอดพระเนตร
เมื่อจิ่งหมิงฮ่องเต้พิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว จึงพบความแตกต่างเล็กน้อย
“ดอกโกวเหวิ่นนี้ พวกเจ้าค้นพบมันอยู่ในท่ามกลางยวนยางเถิงหรือ”
เจียงซื่อตอบรับ “เพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้จ้องมองไปที่เจียงซื่อครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปเอ่ยถามพานไห่ที่อยู่ด้านข้างว่า “องค์หญิงสิบสี่เป็นอย่างไรบ้าง”
พานไห่รีบตอบกลับทันทีว่า “กระหม่อมได้ส่งคนไปคอยดูอยู่ด้านนอกแล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่ไม่กล้าเข้าไปรบกวนองค์หญิงและเฉินเหม่ยเหริน…”
เนื่องจากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพระสนมของฮ่องเต้และองค์หญิง ดังนั้นหากไม่มีคำสั่งจากจิ่งหมิงฮ่องเต้ พานไห่จึงไม่กล้าจะกระทำการใดโดยพลการ
สายตาของจิ่งหมิงฮ่องเต้กวาดมองผู้คนในห้องโถง น้ำเสียงของเขาดูเย็นชาเล็กน้อยว่า “ข้าและฮองเฮาจะไปเยี่ยมองค์หญิงสิบสี่สักหน่อย ทุกคนอยู่รอในที่แห่งนี้ก่อน”
ทุกคนตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน
จากนั้นจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ยื่นมือออกไปทางฮองเฮา
ในสถานการณ์ที่เป็นทางการเหล่านี้ จิ่งหมิงฮ่องเต้ให้เกียรติองค์ฮองเฮาเสมอมา
ฮองเฮาวางมือลงในมือของจิ่งหมิงฮ่องเต้
“เจ้าเจ็ด เดินทางไปกับข้าพร้อมกับชายาของเจ้า”
อวี้จิ่นตอบรับ จากนั้นยื่นมือออกไปทางเจียงซื่อเช่นเดียวกับที่จิ่งหมิงฮ่องเต้ทำ
ภายใต้การจับจ้องของทุกคน เจียงซื่อยื่นมือออกไป วางมือของนางไว้ในมือของอวี้จิ่น สองสามีภรรยาเดินตามฮ่องเต้และฮองเฮาออกไปจากตำหนักฉางเซิง ปล่อยให้ทุกคนได้แต่จ้องมองอยู่ที่นั่น
เยี่ยนอ๋องและพระชายาเยี่ยนอ๋องกล้าเดินจับมือกันในที่สาธารณะ ช่างไร้ยางอายเหลือเกิน!
หืม ฮ่องเต้และฮองเฮาก็จับมือกันเช่นกันหรือ? ทว่าทั้งสองคือผู้สูงสุดในใต้หล้า จะเปรียบเทียบกันได้อย่างไร
“พวกเจ้าว่า เฉินเหม่ยเหรินคือฆาตกรที่ข้าองค์หญิงสิบห้าจริงหรือ”
“องค์หญิงสิบห้าเป็นเพียงแพะรับบาปเท่านั้นผู้ที่ต้องการจะปลงพระชนม์ที่จริงแล้วคือ…”
“ข้าคิดไม่ออกจริงๆ เพียงแค่เหม่ยเหรินคนหนึ่ง เหตุใดจึง…”
สถานการณ์เช่นนี้กับเรื่องราวอย่างนี้ แม้ผู้ที่อยู่ในห้องโถงล้วนเป็นพระราชวงศ์ที่ตามปกติในชีวิตประจำวันมักจะกระทำการใดอย่างเปิดเผยไม่สนใจผู้อื่น แต่พวกเขาทั้งหลายก็ไม่กล้าเอ่ยประโยคเต็มออกมา
“น่าประหลาดใจยิ่งนัก” ทุกคนอยากรู้อยากเห็นเหลือเกิน
น่าเสียดายที่พวกตนไม่ใช่สองสามีภรรยาเยี่ยนอ๋อง…
ขณะที่ทุกคนคิดเยี่ยงนั้น ก็มีสายตาเหลือบมองมาทางองค์รัชทายาทเป็นครั้งคราว
เมื่อคิดไปว่าฮ่องเต้อนุญาตเพียงแค่เยี่ยนอ๋องและพระชายาเยี่ยนอ๋องติดตามไปด้วยเท่านั้น ส่วนองค์รัชทายาทและพระชายายังคงนั่งอยู่ในห้องโถงเช่นเดียวกับพวกตน ทุกคนก็ดูเหมือนได้รับความยุติธรรมสมดุลกัน
องค์รัชทายาท “…” ข้าไม่ได้เป็นผู้วางยาพิษสักหน่อย เหตุใดพวกเจ้าจึงมองมาเช่นนั้น
พวกเขาทั้งหลายเดินทางมาถึงตำหนักขององค์หญิงสิบสี่ โดยมีจิ่งหมิงฮ่องเต้เป็นผู้นำทาง
ด้านในมีบ่าวเฝ้าอยู่นับสิบคน แต่ทุกคนก็ไม่ได้ทำให้ผู้ที่อยู่ภายในต้องแตกตื่น
จิ่งหมิงฮ่องเต้หยุดฝีเท้าลงเล็กน้อย
เจียงซื่อกระซิบขึ้นว่า “เสด็จพ่อเพคะ แม้เราจะพบหญ้าไส้ขาดในตำหนักอวี้เฉวียน แต่ถึงอย่างไรนางรำผู้นั้นก็สิ้นใจไปแล้ว ไม่อาจพิสูจน์สิ่งใดได้”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยกมือขึ้นห้าม แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอันลึกล้ำว่า “สิ่งเหล่านี้ข้ารู้อยู่แก่ใจ เจ้าไม่จำเป็นต้องเอ่ยให้มากความ”
เจียงซื่อจึงหยุดคำพูดของตนลง
เดิมทีดอกโกวเหวิ่นควรจะเติบโตในเขตแดนใต้ แต่กลับมาขึ้นสอดแทรกท่ามกลางยวนยางเถิง หากจะบอกว่าเป็นเพียงเรื่องบังเอิญคงจะน่าขำเกินไป แต่ใดๆ ในโลกล้วนไม่แน่นอน นางต้องการจะเอ่ยเตือนออกไปจึงจะสบายใจ
อวี้จิ่นกุมมือนางเอาไว้แล้วกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “เสด็จพ่อฉลาดหลักแหลม เขาจะไม่มีวันลงโทษผู้บริสุทธิ์เด็ดขาด และจะไม่ปล่อยให้คนร้ายได้ลอยนวล…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เหลือบมองดูอวี้จิ่น เขาเดินเข้าไปและกล่าวเบาๆ ว่า “แจ้งเถิด”
บ่าวรับใช้จึงได้ตะโกนด้วยเสียงอันดังว่า “ฮ่องเต้และฮองเฮาเสด็จ”
ประตูเรือนใหญ่เปิดออก จิ่งหมิงฮ่องเต้เสด็จเข้าไปด้านใน
นางกำนัลที่อยู่ในเรือนคุกเข่าเรียงราย นางกำนัลที่อยู่ภายในซึ่งเพิ่งเดินออกมาก็รีบคุกเข่าลงเช่นกัน
สตรีนางหนึ่งสวมชุดในพระราชวัง แต่งหน้าจางๆ เร่งฝีเท้าเดินออกมา “ถวายบังคมฮ่องเต้ ถวายบังคมเหนียงเหนียงเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้หยุดยืนอยู่ตรงหน้าของสตรีนางนั้น ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงยากจะอธิบายว่า “เฉินเหม่ยเหริน?”
เฉินเหม่ยเหรินเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย นอกจากใบหน้าอันตึงเครียดที่นางเคยพบเห็นของฮ่องเต้และฮองเฮาแล้ว ยังมีผู้คนอีกมากมายที่นางไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน
เส้นเลือดฟาดบนใบหน้านางจางหายไปทันใด
“เจ้าจะยอมรับผิดหรือไม่” จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยถามอย่างชัดเจน
เฉินเหม่ยเหรินสะดุ้งตัวสั่น
ไม่รอให้นางกล่าวสิ่งใดออกมา จิ่งหมิงฮ่องเต้ทำสีหน้าโกรธเคืองว่า “นางรำผู้นั้นให้การสารภาพแล้ว เจ้ายังต้องการโต้เถียงสิ่งใดอีก”
เมื่อได้ยินว่านางรำได้รับการสารภาพแล้ว ความตื่นตระหนกของเฉินเหม่ยเหรินก็ไม่อาจปกปิดได้อีกต่อไป นางทรุดตัวลงที่พื้นด้วยความสิ้นหวัง
“ทหาร ไปนำตัวองค์หญิงสิบสี่ออกมา ข้าเดินทางมาเช่นนี้นางยังไม่ออกมาคารวะอีกหรือ”
เมื่อจิ่งหมิงฮ่องเต้กล่าวว่าต้องการจะพบองค์หญิงสิบสี่ เฉินเหม่ยเหรินจึงหมอบลงที่พื้นแล้วร้องขอว่า “ฝ่าบาทเพคะ องค์หญิงสิบสี่กำลังป่วยหนัก ฝ่าบาทต้องการทราบสิ่งใด หม่อมฉันยอมรับทุกประการ ขอเพียงฝ่าบาทอย่าได้ทำให้องค์หญิงสิบสี่ต้องลำบากใจ นางไม่เกี่ยวข้อง นางเป็นผู้บริสุทธิ์เพคะ”
“เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงกล่าวมา” จิ่งหมิงฮ่องเต้ยืนอยู่ที่กลางลานด้วยสายตาเย็นชา
เฉินเหม่ยเหรินใช้หน้าผากกระแทกไปที่พื้นอย่างแรง “ขอโปรดฝ่าบาทอนุญาตให้หม่อมฉันเข้าไปพบองค์หญิงสิบสี่อีกสักหน ถือว่าเป็นการบอกลานางเถิดเพคะ”
เมื่อสตรีผู้นี้คุกเข่าร้องขอเช่นขอทาน จิ่งหมิงฮ่องเต้แม้จะโมโหแต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ใจอ่อนพยักหน้าเห็นด้วย
“ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท” เฉินเหม่ยเหรินเกรงว่าองค์จิ่งหมิงฮ่องเต้จะเปลี่ยนใจ จึงได้รีบวิ่งเข้าไปทางประตู ในขณะที่กำลังจะก้าวเข้าไปนั้นนางก็ได้ชะลอลงแล้วจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน
อวี้จิ่นเห็นร่างที่หายเข้าไปในประตูแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า
ไม่ใช่สตรีผู้เป็นที่รักสักหน่อย เหตุใดจึงใจอ่อนเล่า นิสัยเช่นนี้ของเสด็จพ่อจะต้องเปลี่ยนสักที