เวลาล่วงเลยผ่านไปอย่างเร็วราวกับเพียงพริบตาเดียวเสียงร้องของจักจั่นก็เงียบสนิท
วันที่หกเดือนแปด เหมาะแก่การแต่งออกและแต่งเข้า ซึ่งเป็นวันมงคลของเซียงอ๋องพอดี
ขบวนรับตัวได้หยุดลงตรงด้านหน้าประตูจวนแม่ทัพเรียบร้อย เสียงกลองดังกระหึ่ม เสียงประทัดดังเปรี้ยง เหรียญมงคลถูกโยนกระจายเป็นกำ เสียงร้องดีใจของเด็กดังขึ้นเป็นพัก
เรื่องคึกคักที่ประชาชนในเมืองหลวงชอบดูมากที่สุดคืองานมงคลและงานอวมงคล และงานมงคลของวงศ์ตระกูลผู้ดีจะเป็นที่ชื่นชอบมากที่สุด
เวลาบังเอิญเจอเรื่องมงคล มันไม่เพียงแต่มีเรื่องสนุกให้ดู หากว่าโชคดียังได้เงินมงคลกลับไป แต่ต่อให้เลวร้ายที่สุดก็ยังมีหมัวหมัวมงคลเอาไว้กล่อมเด็กได้
เซียงอ๋องควบม้าสีแดงพุทรายืนรอด้านข้างเกี้ยวนิ่งๆ
ภายในเรือนเอกของจวนแม่ทัพ แม่ทัพใหญ่ชุยซวี่นั่งคู่กับองค์หญิงใหญ่หรงหยาง เขาเพิ่งสอนบุตรสาวเสร็จ
ชุยหมิงเย่ว์น้อมทักทายให้กับบุพาการี “ลูกจะจำให้ขึ้นใจเจ้าค่ะ”
ผ้าคลุมมงคลสีแดงได้ปิดรูปโฉมอันงดงามของนางไว้ แล้วใบหน้าใต้ผ้าคลุมก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาในทันใด
เซียงอ๋องไม่ได้เข้าไปรับ
นางได้ยินว่า ตอนที่นังหญิงชั่วแซ่เจียงออกเรือน เยี่ยนอ๋องเข้ามาถึงเรือนในและรับเจ้าสาวออกไปด้วยตัวเอง
ในเมืองหลวง วันที่ส่งตัวเจ้าสาว เจ้าบ่าวจะรออยู่ด้านนอกหรือเข้ามารับด้านในก็ได้ทั้งนั้น แต่เจ้าบ่าวส่วนใหญ่มักเลือกรอด้านนอก เพราะไม่อยากตกอยู่ในคำพูดที่ว่ามารีบเร่งเจ้าสาว
ยังไม่ทันเข้าพิธีไหว้ฟ้าดินก็กดดันฝ่ายหญิง จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร
มีผู้ชายส่วนน้อยเท่านั้นที่มีสถานะครอบครัวสู้ฝ่ายหญิงไม่ได้ หรือไม่เจ้าบ่าวก็ให้ความสำคัญกับเจ้าสาวมาก ถึงจะเลือกเข้าไปรับด้วยตัวเอง
ด้วยเหตุนี้ ตอนเยี่ยนอ๋องยกขบวนไปรับเจ้าสาวด้วยตัวเองจึงกลายเป็นที่จับตามองเป็นอย่างมาก
มีสถานะเป็นอ๋องซึ่งสูงส่งกว่าฝ่ายหญิงมาก แสดงว่าเยี่ยนอ๋องทำไปด้วยเหตุผลเดียว นั่นก็คือ ให้ความสำคัญกับพระชายามาก
การกระทำนี้ ทำให้หญิงสาวไม่รู้ตั้งเท่าไรรู้สึกอิจอา
พระชายาเยี่ยนอ๋องมีโชคชะตาดี เพียงรูปลักษณ์ดีก็ดึงดูดสายตาของเยี่ยนอ๋องได้ นับว่าเป็นนกกระจอกกลายร่างเป็นหงส์จริงๆ
งานอภิเษกของเซียงอ๋องกับเยี่ยนอ๋องจัดขึ้นในเวลาใกล้กันมาก ชุยหมิงเย่ว์คิดว่าผู้ชายสองคนปฏิบัติกับภรรยาต่างกัน ก็ย่อมเกิดความไม่พอใจ
แน่นอนว่า นางเก็บความไม่พอใจไว้ข้างใน มีเพียงตอนที่สวมผ้าคลุมแล้วไม่มีใครมองเห็น นางถึงจะแสดงความรู้สึกออกมาอย่างตามใจ
ชุยหมิงเย่ว์ปรับสภาพจิตใจอย่างรวดเร็ว แล้วมุมปากก็แสดงไว้ด้วยรอยยิ้ม
ต่างกันเพียงชั่วขณะไม่เป็นไร ใครเป็นฝ่ายยิ้มได้จนถึงปลายทางต่างหากถึงเป็นผู้ชนะ
แต่พอนึกถึงแผนการเล่นงานเจียงซื้อที่ล่มไม่เป็นท่า ไฟโทสะในทรวงอกของชุยหมิงเย่ว์ก็ลุกไหม้อย่างโชกโชน
ถ้าเช่นนั้นก็มาดูว่าหลังจากได้เข้ามาอยู่ในราชวงศ์เหมือนกันแล้ว พระชายาเยี่ยนอ๋องจะสู้กับนางอย่างไร นางไม่เชื่อว่าฝ่ายตรงข้ามจะโชคดีเสมอไป
กับวิธีการเล่นงานผู้อื่นโดยซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังนั้น เป็นสิ่งที่ชุยหมิงเย่ว์คุ้นเคยและถนัดเป็นอย่างดี
“ชุยอี้ ยังไม่แบกน้องสาวเจ้าขึ้นเกี้ยวอีก” แม่ทัพชุยเอ่ยเร่งด้วยเสียงขรึม
เพียงพริบตาเดียว บุตรชายกับบุตรสาวก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่หมดแล้ว
วินาทีนี้ แม่ทัพตื้นตันใจมาก
สมัยนั้น เขามีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับบุตรชาย คิดหวังตลอดว่าจะได้อาเคอผู้เป็นเพื่อนเล่นกันตั้งแต่เด็กมาเป็นภรรยา
แต่การได้พบองค์หญิงใหญ่หรงหยางโดยบังเอิญครั้งหนึ่ง ทำให้ชีวิตที่กำลังเดินบนเส้นทางแห่งความสุขเกิดการเปลี่ยนแปลงราวกับพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน ทั้งยังได้เปลี่ยนชะตาชีวิตของเขากับอาเคอ กระทั่งชะตาชีวิตขององค์หญิงใหญ่หรงหยางด้วย
มันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ดีนัก
วันนี้บุตรสาวกำลังจะออกเรือน บุตรชายก็ถึงเวลาหาภรรยาแล้ว เขาหวังเพียงว่าลูกๆ จะโชคดีกว่าเขา
แม้ว่าชุยซวี่ไม่มีความรู้สึกฉันท์สามีภรรยากับองค์หญิงใหญ่หรงหยาง แต่กับบุตรชายและบุตรสาว อย่างไรเสียก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขที่มิอาจทำลายได้
ชุยอี้ไม่เคยกลัวใคร กลัวก็แต่ท่านพ่อที่เอาแต่ทำหน้านิ่งเป็นไม้กระดาน เมื่อได้ยินดังนั้นก็ขานรับ ย่อตัวลงแล้วยกชุยหมิงเย่ว์ขึ้นหลังทันที
ยังไม่ทันได้ตั้งตัว ชุยหมิงเย่ว์ตกใจเกือบร้องออกมา
ตอนเกาะบนหลังชุยอี้ ชุยหมิงเย่ว์แทบอยากจะหยิกพี่ชายแรงๆ
ท่านพี่ไม่ได้เรื่อง มีอย่างที่ไหนหยาบกระด้างเช่นนี้ เกือบทำให้เสียภาพลักษณ์แล้ว
“พี่ใหญ่ ระวังหน่อย!” ชุยหมิงเย่ว์เอ่ยเตือนเสียงต่ำ
ตั้งแต่ในห้องนอนจนถึงกลางเรือน มีคนยืนเต็มไปหมด ชุยหมิงเย่ว์ไม่อยากให้ใครได้ยิน จึงพูดข้างหูชุยอี้ด้วยเสียงต่ำมาก
จากการออกเสียงเตือนของนาง ลมหายใจที่พ่นออกมาราวกับอยู่ตรงหลังใบของชุยอวี้ เขาถึงกับขนลุกขนชัน
เคยพูดแล้วว่า ชุยอี้รู้สึกกลัวน้องสาวคนนี้อย่างน่าประหลาด
เขาพูดไม่ถูกว่าเพราะเหตุใด แต่ทุกครั้งที่น้องสาวคุยกับเขาด้วยใบหน้านิ่ง เขารู้สึกขนลุกในใจอย่างไร้เหตุผล
เขาคิดมากไปเองแน่
ชุยอี้เกลี้ยกล่อมตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ไม่สามารถเกลี้ยกล่อมปฏิกิริยาที่เป็นสัญชาตญาณได้
ตอนที่ชุยหมิงเย่ว์พูดเบาๆ ข้างหู ช่วงล่างของขาเกิดการเซ ทำให้เจ้าสาวบนหลังร่วงหล่นลงไป
ผ้าคลุมมงคลลอยขึ้นมาแล้วตามด้วยเสียงของหนักตกสู่พื้น
บรรยากาศพลันนิ่งสงัด
ชุยหมิงเย่ว์ใช้มือดันพื้นไว้ แทบจะกัดริมฝีปากจนฉีกถึงจะควบคุมไม่ให้ตัวเองกรีดร้องออกมา
ชุยอี้ผู้สมควรตาย ทำอะไรอยู่แน่!
วินาทีนี้ ชุยหมิงเย่ว์เกิดความอยากหยิบแส้ขึ้นมาฟาดแรงๆ ใส่พี่ชาย
“อาอี้!” องค์หญิงใหญ่หรงหยางขานเรียก
ชุยอี้แบกชุยหมิงเย่ว์ขึ้นใหม่อย่างรีบร้อนพร้อมเอ่ยคำขอโทษซ้ำๆ “พี่ขออภัยๆ พี่ไม่ทันระวัง…”
เกิดความโกลาหลเช่นนี้ขึ้น ชุยอี้ทั้งทำตัวไม่ถูกทั้งตะขิดตะขวงใจ จึงแบกชุยหมิงเย่ว์ขึ้นแล้วเดินทันที
สี่เหนียง[1] วิ่งตามสุดชีวิต “อย่าเพิ่งไป ผ้าคลุมยังสวมไม่เสร็จเลย…”
ช่วงเวลาเพียงครู่เดียว งานมงคลดีๆ ก็กลายเป็นเรื่องตลกที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
คนในงานไม่กล้าวิจารณ์ ได้แต่มองหน้ากันและกัน
เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นในวันออกเรือน ไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไร ชีวิตของคุณหนูใหญ่ชุยหลังแต่งงานเข้าไปจวนเซียงอ๋องเกรงว่าจะไม่ราบรื่นนัก…
คนทั่วไปใส่ใจกับรายละเอียดเหล่านี้มาก เมื่อครู่นี้เจ้าสาวตกพื้น ผ้าคลุมมงคลหลุด มันเป็นลางร้ายมาก แล้วอีกอย่าง ไม่เคยเห็นพี่ชายคนไหนทำน้องสาวที่แบกไว้ด้านหลังตกพื้น…
มีคนจำนวนไม่น้อยอดไม่ได้จึงมองหน้าแม่ทัพชุยกับองค์หญิงใหญ่หรงหยาง
ชุยซวี่ไม่ได้เผยความรู้สึกออกมาเท่าไร
สำหรับเขาแล้ว จะอยู่ด้วยกันได้ดีหรือไม่ขึ้น ก็อยู่ว่าคนสองคนอยู่ด้วยกันอย่างไร ไม่เกี่ยวกับโชคลางอะไรทั้งนั้น
เพียงแต่ว่า บุตรชายทำขายหน้าพอควร
แน่นอนว่า ชุยซวี่ชินกับเรื่องแบบนี้แล้ว
องค์หญิงใหญ่หรงหยางเป็นคนรักศักดิ์ศรีหน้าตา ไม่ได้ใจกว้างเหมือนชุยซวี่ ทั้งใบหน้าเป็นสีเขียวช้ำ
ลูกไม่ได้เรื่อง นางไม่เคยอยู่อย่างสบายใจได้เลยสักวัน! สงสารหมิงเย่ว์ที่วันมงคลดีๆ เช่นนี้ถูกลูกไม่ได้เรื่องทำพัง…
องค์หญิงใหญ่หรงหยางคิดอยู่อย่างนั้น ความรู้สึกผิดต่อชุยหมิงเย่ว์พลอยเพิ่มขึ้น
โชคดีที่มีนาง จึงไม่กังวลว่าหมิงเย่ว์แต่งงานกับคนในราชวงศ์แล้วจะเสียเปรียบ
เซียงอ๋องยืนรอด้านนอกจวนแม่ทัพเริ่มร้อนใจ
ทวารบาลสิงห์คู่หน้าประตูจวนแม่ทัพผูกไว้ด้วยผ้าแดง บรรยากาศความรื่นเริงมีอยู่ทุกที่ แต่ตอนเซียงอ๋องเดินมา สภาพจิตใจดูหมองมัว
เดิมทีเขาเกลี้ยกล่อมตัวเองให้ยอมรับงานอภิเษกงาน ยอมรับภรรยาที่ชื่อเสียงมีจุดด่างพร้อยด้วยความคาดหวัง แต่ตอนขี่ม้าเมื่อสักครู่ เขาพลางได้ยินคำพูดคุยเล่นประโยคหนึ่งจากกลุ่มฝูงชน
“ได้ยินว่าเยี่ยนอ๋องใช้ชีวิตด้านนอกพระราชวัง ไม่นานมานี้ ยังได้หญิงรูปงามมาเป็นพระชายาเอกอีก พอมาถึงเซียงอ๋องเหตุใดถึง…”
เขาไม่เคยคิดว่าจะมีคนกล้าพูดเรื่องนี้อย่างเปิดเผย
แต่คนมาดูงานมีเป็นพันเป็นหมื่น จะหาคนๆ นี้ออกมาลงโทษหรืออย่างไร
เซียงอ๋องทำได้เพียงกลืนความคับข้องใจนี้เข้าไป และมองดูประตูจวนแม่ทัพอย่างเย็นชา
“เจ้าสาวออกมาแล้ว!”
ชุยอี้แบกชุยหมิงเย่ว์มาถึงหน้าเกี้ยว รอจนเจ้าสาวขึ้นเกี้ยวแล้วถึงถอนหายใจโล่งอก และยิ้มให้เซียงอ๋อง
เซียงอ๋องยิ้มกลับอย่างไม่เต็มใจนัก
“ขึ้นเกี้ยว…”
เสียงเป่าอันรื่นเริงจากปี่สั่วน่าดังขึ้น ขบวนรับเจ้าสาวเริ่มออกเดินทาง แต่เคลื่อนย้ายไปไม่เท่าไรก็หยุดลงกะทันหัน
——————————–
[1]สี่เหนียง หมายถึง ผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว ทำหน้าที่เป็นเพื่อนเจ้าสาว