พวกป้าๆ “?”
เรารึ? ( 朕เจิ้น= คำแทนตัวฮ่องเต้)
เล่นผีสางอะไรกัน?
บรรยากาศภายในลิฟท์อึดอัดขึ้นมา……ฮ่องเต้สุนัขมิใช่คนโง่ พระองค์มายังโลกใบนี้ได้ระยะเวลาหนึ่งแล้ว แฟนแปลว่าอะไร พระองค์พอจะเข้าพระทัยอยู่บ้าง
คุณป้า Aสีหน้าตกใจ “ยายหนูน้อยช่างน่าสงสารเสียจริงๆ อายุยังน้อยแค่นี้ คุณพ่อก็กลายเป็นโรคสมองเสื่อมไปแล้ว…..”
คุณป้าB “ยายหนูเป็นตัวอย่างของเด็กกตัญญูจริงๆ”
หรือไม่จริง? พอแก่ตัวลงก็เรียกตนเองฮ่องเต้ขึ้นมา ไม่ใช่โรคสมองเสื่อมแล้วจะเรียกว่าอะไร?
ก่อนหน้านี้จีเฉวียนทรงถูกเพลิงของอสุรกายทมิฬเผาผลาญลำคอ ตอนนี้ยังไม่ฟื้นฟูดี
เวลาพูดออกมาเสียงทั้งแหบแห้งทั้งสาก หากไม่ได้มองหน้า คนอื่นย่อมต้องคิดว่าเขาเป็นคนแก่จริงๆนั่นแหละ
ตู๋กูซิงหลันเหลือบตามองดู ‘คุณพ่อที่แก่จนสมองเสื่อม’ไปแล้วแวบหนึ่งก็ต้องอมยิ้มออกมาเบาๆ
จินตนาการของพวกป้าๆช่างบรรเจิดเกินไปแล้ว คุณป้ากลุ่มนี้ช่างน่ารักจริงๆ
คุณป้าCยังไม่ยอมถอดใจ หันมากล่าวกับตู๋กูซิงหลันอีกว่า “ยายหนูน้อย ลูกชายของฉันน่ะ หน้าตาดี เรียนจบหมอมาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ยังไงหนูก็ให้เบอร์ติดต่อทิ้งเอาไว้สิ คนหนุ่มคนสาวนะ เป็นเพื่อนกันเอาไว้ก็ดี”
“อาการป่วยของคุณพ่อหนู ไม่แน่ว่าลูกชายของฉันอาจจะพอหาทางช่วยอะไรได้บ้างนะ”
สถานที่อย่างเมืองหลวง มีแต่คนที่มีความสามารถ
คนหนุ่มคนสาวที่ยังไม่แต่งงานมีให้เห็นเยอะแยะไปหมด กลายเป็นเหล่าพ่อแม่ที่น่าสงสาร ต้องร้อนใจจนต้องรีบช่วยลูกชายหาสะใภ้ หรือกระทั่งพ่อแม่ที่ช่วยลูกสาวหาสามีก็มีถมไป
ถูกทาบทามในลิฟท์ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
ตู๋กูซิงหลันเพียงยิ้มให้อย่างมีมารยาท
นางยังไม่ทันเอ่ยปาก ก็ได้ยินเสียงจีเฉวียนตรัสอย่างเย็นชาว่า “จบมาจากฮาโวฮาเวิดงี่เง่านั่นมีประโยชน์อะไรกัน?”
ฮาร์วาร์ดสองคำนั่นฟังดูแล้วเหมือนพวกตลกงี่เง่าจะตายไป!
ว่าแล้ว พระองค์ก็ตรัสต่อไป “เราเกิดมาในราชวงศ์ สองมือปกครองใต้หล้า มีแต่ยอดสุนัขเฒ่าเช่นเราถึงจะคู่ควรกับซิงซิง”
พวกป้าๆทั้งหลาย “! ! !”
ราชวงศ์สุนัขเฒ่าบ้าบออะไรกัน!
“ยายหนูคุณพ่อของหนูป่วยไม่เบาเลยนะ จำเป็นต้องได้รับการรักษาจริงๆ!”
ป่วยก็ส่วนป่วยเถอะ มีที่ไหนยังจะมาจ้องจะตะครุบลูกสาวของตนเองอีก?
ตู๋กูซิงหลันที่อยู่ใต้หมวกและแว่นตากันแดดก็ตกตะลึงไปเช่นกัน
หากรู้แต่แรกว่าเขาจะต้องมาที่โลกปัจจุบันนี้ นางไม่ควรใช้คำว่าสุนัขเฒ่ามาเอ่ยชมเขา…..
ดูเอาเถอะเชื้อพระวงศ์สุนัขเฒ่าผู้นี้เอ่ยอย่างภาคภูมิใจขนาดไหน
นางนวดขมับ ได้แต่ยิ้มออกมาอย่างเก้อเขินทั้งยังไม่กล้าเสียมารยาท “นั่นเอ่อ….เขาไม่ใช่คุณพ่อของฉันหรอกคะ เป็นแฟนของฉันเองค่ะ”
ประโยคเดียวทำเอาคุณป้าทั้งหลายพูดอะไรไม่ออก
“ติ๊ง….” พอดีกับที่ลิฟท์มาหยุดอยู่ที่ชั้นแปดพอดี
ตู๋กูซิงหลันเข็นจีเฉวียนออกไป ทิ้งพวกป้าๆที่งงเป็นไก่ตาแตกเอาไว้ข้างหลัง
สาวๆสมัยนี้…..รสนิยมแปลกประหลาดเกินไปแล้ว?
ผู้ชายหนุ่มๆหล่อๆไม่เอา จะไปคว้าเอาคนแก่ที่ป่วยเป็นโรคสมองเสื่อม?
ช่างน่าเสียดาย น่าเสียดายเกินไปแล้ว
………………
เดิมทีสายพระเนตรของจีเฉวียนยังอยู่ที่ทองบนตัวป้าๆเหล่านั้น แต่ว่าตอนนี้ความสนใจทั้งหมดกลับพุ่งไปที่ประโยค ‘แฟน’ ของตู๋กูซิงหลันเมื่อครู่แล้ว
“ซิงซิง เมื่อครู่เจ้าบอกว่าเราคือใครนะ?” พระองค์หันพระพักตร์กลับไปมองดูนาง ด้วยความอยากฟังอีกครั้งหนึ่ง
“ราชวงค์สุนัขเฒ่า?” ตู๋กูซิงหลันตอบ
จีเฉวียนส่ายพระเศียร “นั่นมันเป็นที่เราพูดเอง ไม่ใช่ที่เจ้าพูด”
ตู๋กูซิงหลันคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ไม่ได้ตอบเขา ขณะเดียวกันก็เดินมาถึงร้านแฮร์สปาพอดี
พูดให้ง่ายๆก็คือร้านทำผม
นี่เป็นร้านแฟรนไชส์ที่ค่อนข้างหรูหราในเมืองหลวงเลยทีเดียว
พอเพิ่งจะเข้าไป จีเฉวียนก็เห็นว่ามีคนกำลังตัดผมอยู่
สีพระพักตร์ของพระองค์แปรเปลี่ยนไปในทันที ซิงซิงคิดจะตัดพระเกศาของพระองค์ทิ้งไปหรือ?
“ไม่ได้นะ ไม่ได้ ร่างกายและเส้นผมได้รับจากบิดามารดา ไม่สมควรทำให้เสียหาย” ฝ่าบาททรงอยากจะทรงวิ่งหนีแล้ว
“ตัดไม่ได้จริงๆหรือ?” ตู๋กูซิงหลันมองดูปอยผมที่รุ่ยลงมาจากใต้หมวกเหล่านั้น…..
เส้นผมที่เหยียดตรงและนุ่มลื่น
ตัดทิ้งไปก็ออกจะเสียดายอยู่บ้าง แต่ว่าเมื่ออยู่ในโลกปัจจุบัน หากผู้ชายไว้ผมยาวมากไปก็ดูค่อนข้างจะประหลาดอยู่บ้าง
ยิ่งไปกว่านั้น…ตัวร้ายผู้นี้ก็กลายเป็นข่าวโด่งดังไปแล้ว เกรงว่าตอนนี้ในอินเตอร์เน็ตคงจะกำลังควานหาผู้ชายผมยาวกันให้ควัก
ฝ่าบาททรงส่ายพระเศียร อย่างไม่ยินยอมตัดพระเกศา
หากไม่มีผมคงน่าเกลียดแย่!
พวกผู้ชายที่พระองค์ได้ทรงพบเห็นในวันนี้…….แต่ละคนเหมือนกันตัวประหลาดหัวโล้น!
“เอาเถอะ…..ไม่ตัดก็ไม่ตัด” ยากนักที่ตู๋กูซิงหลันจะยอมง่ายๆสักครั้ง
จากนั้นนางก็พาพระองค์ไปยังจุดที่มีผู้คนบางตา ใช้หนังยางมันพระเกศาเป็นมวยผม
จากนั้นก็ไปที่ร้านขายเสื้อผ้าที่อยู่ข้างๆ เลือกเสื้อผ้าแบบตะวันตกสีน้ำเงินเข้มให้กับพระองค์
รูปร่างของจีเฉวียน ไม่ว่าส่วนไหนนางก็เคยเห็นมาหมดแล้ว เสื้อผ้าพวกนี้แค่ดูเพียงแวบเดียว นางก็รู้แล้วว่าแบบไหนที่เหมาะกับเขา
พนักงานหญิงเห็นนางสวมใส่เสื้อผ้าราคาถูก ในใจก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมา สีหน้าไม่ค่อยสู้ดี
เธอไม่ค่อยอยากจะให้คนบนรถเข็น….ที่ดูเหมือนจะเป็นผู้ชายแก่ๆคนหนึ่งสวมใส่เสื้อผ้าชุดนี้
เพราะว่า….ราคาก็ไม่ใช่จะถูกๆ
“เอาชุดนี้แหละ” ขณะที่ตู๋กูซิงหลันยื่นมือออกไปจะหยิบ ก็มีมืออีกข้างยื่นออกมา
เป็นมือที่ทั้งขาวนวลและนุ่มนิ่ม ปลายเล็บแหลมๆสีเขียวใบชาเฉียดผ่านหลังมือของนางไป
“หืม?” อีกฝ่ายสวมแว่นตาดำอันใหญ่และใส่หน้ากากปิดปาก กวาดตามองมา สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที
“บังเอิญจริง พวกเราเจอกันอีกแล้ว” ซ่งเจียงเสวี่ยยิ้มอ่อนๆ
หลังมือของตู๋กูซิงหลันถูกปลายเล็บแหลมของนางข่วนจนบวมน้อยๆ นางคร้านที่จะสนใจซ่งเจียงเสวี่ย
เพียงหันไปหาพนักงานหญิงคนนั้น แล้วเอ่ยย้ำอีกครั้งว่า “เอาชุดนี้ค่ะ”
พนักงานหญิงสีหน้าไม่สู้ดี….. เธอไม่รู้จริงๆว่ายายคนจนนี่ไปเอาความมั่นใจและเย่อหยิ่งมาจากไหนกัน
“ต้องขอโทษด้วย ฉันก็จะเอาชุดนี้เหมือนกัน”
ถึงแม้ว่าจะถูกตู๋กูซิงหลันเมินใส่ ซ่งเจียงเสวี่ยก็ยังคงไม่เปลี่ยนสีหน้า
เธอถอดแว่นกันแดดและผ้าปิดปากออก หันไปสบตากับพนักงาน “เอาไปใส่ถุงได้เลยค่ะ ฉันรับชุดนี้”
พอพนักงานหญิงได้เห็นใบหน้าของเธอ ก็ตื่นเต้นจนจะเป็นลม
นั่นๆๆๆ….นั่นคือ ราชินีจอเงิน ซ่งเจียงเสวี่ย?
ทำไมเธอถึงได้มาที่ห้างสือไต้ได้!
ตั้งแต่ที่ตู๋กูซิงหลันออกจากบริษัทเทียนหยิ่ง ซ่งเจียงเสวี่ยก็แอบตามมาตลอดทาง
เพียงแต่เมื่อครู่นี้คลาดกันไป พอวนไปวนมาอยู่หลายรอบก็เหลือบเห็นรถเชอรี่QQคันนั้นของเธอ จึงตามมาจนถึงที่นี่
พอดีกับที่….ได้เห็นผู้ชายที่อยู่บนเก้าอี้รถเข็นคันนั้น
ผู้ชายคนนี้….คนที่อยู่เบื้องหลังตู๋กูซิงหลันคนนั้นหรือ?
บุคคลลึกลับที่คอยปกป้องนางมาตลอดหลายปีคนนั้น?
บุรุษที่ทำให้โลกของเหล่านักพรตทั้งหลายต้องแตกตื่นด้วยความตกใจ?
ดวงตาดอกท้อหลังแว่นตากันแดดของตู๋กูซิงหลันเปล่งประกายเย็นยะเยือกขึ้นมา
นางยกสองมือขึ้นกอดอก ลดแว่นตาลง แสงเย็นชาในดวงตาดอกท้อเปลี่ยนเป็นเอาเรื่อง
ขณะที่พนักงานหญิงคนนั้นกำลังกุลีกุจอพับเสื้อผ้าใส่ถุง สายตาก็ยังอดไม่ได้ที่จะเหลือบมามองดูนาง
“สิ่งของที่เจ้ถูกใจ ใครหน้าไหนกล้าแตะก็ลองดู?” นางเอ่ยขึ้นมากล่าวด้วยน้ำเสียงเ**้ยมเกรียมพลาง เดินเข้าไปหาอย่างสง่างาม
ในที่สุดก็ค่อยยอมเสียสายตาหันมามองซ่งเจียงเสวี่ยตรงๆ
“กล้าแตะต้องของๆเจ้ เธอคิดถึงจุดจบเอาไว้แล้วใช่ไหม?”