อวี้จิ่นวางเจียงซื่อลงแล้วเลิกคิ้วมองไปที่ประตู
เขาและเจียงซื่อไม่ได้มีช่วงเวลาอันเร่าร้อนด้วยกันมาตั้งนานแล้ว บรรดาสาวรับใช้ข้างกายของเจียงซื่อล้วนค่อนข้างให้ความสนอกสนใจ เวลานี้พวกนางจึงรู้ดีว่าต้องหลีกเลี่ยง
แล้วนี่ใครกัน ตาบอดหรือไร
ขณะที่กำลังรู้สึกประหลาดใจอยู่นั้น เสียงเคาะประตูก็หยุดลง ไม่นานต่อมาหน้าต่างก็คือถูกทุบ
อวี้จิ่นเดินตรงเข้าไปออกแรงดึงหน้าต่างเปิดออก พบว่าเอ้อร์หนิวใช้ขาหน้าทั้งสองพิงมาที่หน้าต่าง ส่วนขาหลังของมัน ใช้แรงดีดก่อนจะกระโดดขึ้นมาที่ตัวเขา
“โฮ่งๆๆ!” เอ้อร์หนิวกระดิกหางด้วยท่าทางเป็นมิตร
เดิมทีอวี้จิ่นที่ค่อนข้างจะโมโหก็คลายโมโหลง แล้วสัมผัสไปที่ศีรษะของมันก่อนจะตำหนิออกมาว่า “ลงไปเสีย!”
อ้อมกอดของเขามีไว้ให้เจียงซื่อเท่านั้น เจ้าเอ้อร์หนิวกระโจนเข้ามาในอ้อมกอดเขาทำไม
ขาทั้งสี่ข้างของเอ้อร์หนิวแตะไปที่พื้น มันเหล่ตามองอวี้จิ่นแล้วเดินไปตรงหน้าเจียงซื่อ ก่อนจะเห่าออกมาอยู่สองสามที
เจียงซื่อยิ้มและลูกไปที่บนขนอันอ่อนนุ่มของเจ้าหมาตัวโต “อย่าได้รีบร้อนไป ประเดี๋ยวเนื้อหมูนึ่งก็จะสุกแล้ว”
รอยยิ้มที่มุมปากของอวี้จิ่นจางหายไป เขาถามขึ้นว่า “เนื้อหมูนึ่งหรือ เนื้อหมูนึ่งอะไรกัน”
เจียงซื่อยิ้มแย้มแล้วตอบเขา “เช้าวันนี้ข้าให้พ่อครัวทำเนื้อหมูหนึ่ง”
เมื่อเห็นใบหน้าอันยิ้มแย้มของภรรยาสาว และหันไปมองเจ้าเอ้อร์หนิวจอมตะกละ อวี้จิ่นก็โมโหขึ้นทันที “เอ้อร์หนิวมีกระดูกกินก็บุญแล้ว กินเนื้อหมูนึ่งทำไมกัน”
นี่มันเกินไปแล้ว ไร้เหตุผลสิ้นดี ตอนที่เขาอยู่ในฝ่ายข้าราชการพลเรือน เขาอยากจะกินเนื้อหมูนึ่งจะตายกลับไม่ได้กิน แต่เจ้าสุนัขเอ้อร์หนิวอยากกินก็ได้กินทันที อีกทั้งมันอาจจะกินชามใหญ่เลยทีเดียว
อวี้จิ่นชี้ไปที่ประตูแล้วทำสีหน้าเคร่งขรึม “ออกไปเสีย”
เอ้อร์หนิวส่งเสียงครวญครางออกมาในลำคอด้วยความไม่พอใจ แต่เมื่อเห็นรังสีแห่งความอำมหิตแผ่ออกมาจากร่างเจ้านายของมัน ในที่สุดก็ตัดสินใจที่จะหลีกเลี่ยง เดินสะบัดหางออกไป มันไม่ลืมที่จะใช้อุ้งเท้าด้านหน้าเตะไปที่ประตูเพื่อปิดลง
ออกไปก็ได้ ขอแค่มีเนื้อหมูหนึ่งกินก็พอ
เมื่อสิ้นเสียงประตูปิด ภายในห้องก็กลับคืนสู่ความเงียบสงบดังเดิม
อวี้จิ่นเข้าไปจูงมือเจียงซื่อเอาไว้ แล้วกล่าวอย่างออดอ้อนว่า “อาซื่อ ข้าเองก็อยากกินเนื้อหมูนึ่งเช่นกัน”
เจียงซื่อเหลือบมองเขา นางเผยอริมฝีปากกล่าวว่า “วันนี้ข้าสั่งให้ทางห้องครัวปรุงไว้มากโข แน่นอนว่ามีของเจ้าด้วย”
อวี้จิ่นดึงมือเจียงซื่อเข้ามานั่งลงบนเตียง กล่าวอย่างไม่เต็มใจนักว่า “หลายวันมานี้ที่ข้าไม่อยู่ในจวน เอ้อร์หนิวกินเนื้อหมูนึ่งทุกวันเลยหรือ”
เจียงซื่อไม่ได้หยอกล้อเขาอีกต่อไป นางยิ้มขึ้นแล้วกล่าวว่า “ไม่ใช่หรอก เจ้าชอบกินเนื้อหมูหนึ่งแต่ไม่ได้อยู่ที่จวน ข้าเองก็ไม่อยากทำ”
อวี้จิ่นจึงได้ยิ้มขึ้นแล้วเอื้อมมือไปสัมผัสหน้าท้องของเจียงซื่อเบาๆ “ลูกเป็นเช่นไรบ้าง ไม่ได้ทำให้เจ้าเหนื่อยล้าใช่หรือไม่”
“ค่อยยังชั่วแล้ว บัดนี้ไม่มีอาการอาเจียนหรืออื่นใด เพียงแค่รู้สึกง่วงนอนอยู่บ่อยๆ”
เมื่อกล่าวถึงลูก ใบหน้าของเจียงซื่อก็ดูนุ่มนวลขึ้นเล็กน้อย
ทั้งหมอหลวงและหมอเหลียงล้วนกล่าวว่าทารกในครรภ์ของนางปกติดี เด็กคนนี้ทำให้นางอุ่นใจมากจริงๆ
นางกำลังจะมีผู้ที่รักและผูกพันกันทางสายเลือด ซึ่งเมื่อชาติก่อนนางไม่เคยมี
นางจินตนาการถึงสิ่งเหล่านี้ แล้วรู้สึกว่าบางทีนางมักจะสัมผัสได้ถึงความไม่จริง แต่สายใยรักอันผูกพันและมหัศจรรย์กับทารกในครรภ์มักคอยเตือนนางว่านี่คือความจริง
“เขาเคลื่อนไหวบ้างหรือไม่” อวี้จิ่นเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น
ตอนที่อยู่ในฝ่ายข้าราชการพลเรือน เวลาที่เขาใช้คิดถึงลูกน้อยกว่าภรรยามากนัก โดยมากแล้วมักจะคิดถึงไปพร้อมกันโดยบังเอิญ อย่างเช่นว่า ลูกในครรภ์ทำให้อาซื่อกินไม่ได้นอนไม่หลับหรือเปล่า…
แต่เมื่อครั้นที่มือของเขาสัมผัสเขากับหน้าท้องของภรรยา การมีอยู่ของเจ้าตัวน้อยก็ดูสมจริงขึ้นมาก
เจียงซื่อส่ายหน้า “ยังไม่รู้สึกใดๆ หมอเหลียงกล่าวว่าอีกประมาณเดือนหนึ่งก็สามารถรู้สึกได้แล้วว่าลูกดิ้น”
สองสามีภรรยาสนทนาเกี่ยวกับเรื่องลูกอีกสองสามประโยค สีหน้าของอวี้จิ่นตกตะลึงชั่วครู่ “อาซื่อ เจ้าได้ยินเรื่องที่องค์รัชทายาทถูกปลดจากตำแหน่งแล้วหรือไม่”
เรื่องที่องค์รัชทายาทถูกปลดเป็นเรื่องที่ทุกคนล้วนพาพันตกตะลึง นับแต่บรรดาขุนนางเดินทางออกมาจากตำหนักเฟิ่งเทียนก็ได้เผยแพร่เรื่องนี้ออกไปทั่ว
“ข้ารู้เรื่องนี้แล้ว”
“ข้ามักรู้สึกว่าองค์รัชทายาทไม่ได้ใช้องครักษ์จินอู๋ให้ลอบปลงพระชนม์อันจวิ้นอ๋อง เพียงแต่ครั้งนี้น่าเสียดายเหลือเกินที่งานสักการะสวรรค์ครั้งนี้ไม่ได้ไปร่วมงานด้วย ไม่เช่นนั้นยังจะสามารถแอบดูได้ว่าความจริงเป็นเช่นไร” อวี้จิ่นกล่าวด้วยความรู้สึกเสียดาย
เจียงซื่อขยับริมฝีปากของนางเล็กน้อย แต่ท้ายที่สุดนางก็ไม่ได้กล่าวออกมาถึงเหตุผลที่องค์รัชทายาทถูกปลดจากตำแหน่ง ทำเพียงยิ้มขึ้นกล่าวว่า “ความจริงนั้นเป็นเช่นไร ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา”
อวี้จิ่นพยักหน้า “ก็จริงของเจ้า อาซื่อเจ้าไม่เห็นว่าตอนที่ข้ากลับมาจากฝ่ายข้าราชการพลเรือน ได้เห็นองค์รัชทายาทถูกนำตัวไปฝ่ายข้าราชการพลเรือนพอดี องค์รัชทายาทที่ถูกปลดนั้นยังจะต่อยข้าเข้าให้ด้วย”
“บัดนี้องค์รัชทายาทนั่นไม่ต่างกับสุนัขตกน้ำ เจ้าไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจเขา” เจียงซื่อกล่าวพลางนึกไปว่าท่านอ๋องผู้นี้แม้แต่หึงเอ้อร์หนิวได้ถึงหลายวัน ดังนั้นต้องตักเตือนเขาสักหน่อย
“อาจิ่น แม้ว่าข้าจะไม่ค่อยมีโอกาสสนทนากับเสด็จพ่อ แต่ก็พอจะมองออกว่าทรงให้ความสำคัญกับองค์รัชทายาทที่เพิ่งถูกปลดนี้มากพอควร…”
“เจ้าหมายความว่า…”
เจียงซื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงลึกล้ำว่า “บางทีเมื่อเสด็จพ่อหายพิโรธแล้ว อาจทรงเปลี่ยนพระทัยก็เป็นได้”
อวี้จิ่นชะงักลงแล้วทำท่าครุ่นคิด
หากว่าในอนาคต ฮ่องเต้เปลี่ยนใจคืนตำแหน่งให้แก่องค์รัชทายาท เขาก็ไม่ควรทำท่าทีย่ำแย่ต่อองค์รัชทายาทผู้นี้
ตัวเขาเองไม่มีสิ่งใดให้กังวล แต่ยังมีเจียงซื่อและลูกที่ยังไม่ได้ออกมาลืมตาดูโลก เขาจะทำให้ครอบครัวต้องเดือดร้อนไปด้วยไม่ได้เด็ดขาด
“อาซื่อ เจ้าวางใจเถิด ข้ารู้ดีว่าควรทำเช่นไร”
“อืม กินข้าวกันเถิด”
บนโต๊ะอาหาร จานชามได้ถูกนำมาวางไว้เรียบร้อยแล้ว ตรงกลางมีเนื้อหมูนึ่งจานโต มองไปช่างน่ากินยิ่งนัก เมื่อใช้ตะเกียบคีบไปที่เนื้อบางๆ ก็จะเผยถึงถั่วฝักยาวดองที่อยู่ข้างล่าง
อาหารมื้อนี้พวกเขากินอย่างมีความสุข อวี้จิ่นล้างปากแล้วกล่าวกับเจียงซื่อว่า “เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะไปอาบน้ำสักหน่อย อาบเสร็จแล้วข้าจะตามไป”
กฎของตระกูลใหญ่ทั้งหลาย โดยมากแล้วบุรุษมักไม่ค่อยเข้าไปเรือนด้านในนัก เวลาในยามค่ำคืนมักจะใช้ไปในห้องหนังสือ แต่กฎเหล่านี้ในจวนเยี่ยนอ๋องเปรียบเสมือนอากาศ
สำหรับอวี้จิ่นนั้น กฎบ้าบอเหล่านี้ไม่มีสิ่งใดสำคัญเท่ากับการได้นอนกอดภรรยาหลับอีกแล้ว
เจียงซื่อมองเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติจนเคยชิน “อืม เช่นนั้นข้าจะเข้าไปรอเจ้าในเรือน”
นางเพิ่งกินอาหารเสร็จ หากให้นอนเอนกายลงทันทีคาดว่าคงจะไม่สบายตัว นางจึงตั้งใจเข้าไปเดินเล่นในเรือนก่อนสักสองสามรอบ ทว่ายังไม่ทันรอจนอวี้จิ่นกลับมา กลับได้ข่าวว่าหลู่อ๋องเดินทางมาที่จวน
จวนอ๋องนั้นเรียงรายกันเป็นแถว อีกทั้งจวนหลู่อ๋องและเยี่ยนอ๋องอยู่ใกล้กัน ก่อนหน้านี้สองพี่น้องพบหน้ากันก็มักมีเรื่อง ดังนั้นจึงไม่เคยเดินทางไปมาหาสู่กันก่อน
ในเวลานี้ หลู่อ๋องเดินทางมาเพื่อสิ่งใด?
เมื่ออวี้จิ่นอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยกลับมา เจียงซื่อก็เล่าเรื่องที่หลู่อ๋องเดินทางมาจวนให้เขาฟัง
อวี้จิ่นได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน “เขามาที่นี่ทำไม อาซื่อ เจ้าเข้าไปพักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปดูว่าเขามาทำไม”
การที่เขาเดินทางออกมาจากฝ่ายข้าราชการพลเรือนคาดว่าคงจะรู้แล้ว ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธไม่ออกไปพบ
การที่เป็นอิสระไม่ถูกใครบังคับเป็นเอกลักษณ์ของอวี้จิ่น ทว่าหากเอาแต่ใจตนเองก็คงจะแย่
บัดนี้เขาเป็นคนมีครอบครัว จะทำตัวเอาแต่ใจไม่ได้
หลู่อ๋องนั่งรออยู่ในห้องรับรองแล้วมองไปรอบด้านด้วยท่าทางเบื่อหน่าย
จวนของเจ้าเจ็ดนี่ช่างตกแต่งเรียบง่ายเหลือเกิน เอ๋ ประเดี๋ยวก่อน!
หลู่อ๋องลุกขึ้นยืนทันใด แล้วก้าวขาไปทางโต๊ะทรงสูงตัวหนึ่ง บนโต๊ะนั้นมีแจกันใบหนึ่งวางอยู่
แจกันทรงคอขวดสูงลายครามดอกไม้และปลา มองไปดูเรียบง่าย แต่มันก็เรียบง่ายจริงๆ
หลู่อ๋องที่เติบโตมาท่ามกลางกองเงินกองทอง แน่นอนว่าเขามองออกได้เพียงพริบตาเดียว เมื่อมองดูอยู่สักครู่จึงได้แน่ใจว่าแจกันคอขวดทรงกระเทียมใบนี้เป็นของโบราณที่ตกทอดมาตั้งแต่ราชวงศ์ฮั่น!
แจกันทรงหัวกระเทียมใบนี้ราคาสูงลิบ
น้องเจ็ดถูกโยนออกไปจากพระราชวังตั้งแต่เด็ก ครั้งนี้ที่เข้าไปยังฝ่ายข้าราชการพลเรือนได้ยินมาว่าถูกหักค่าตอบแทนเป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม เขาจะไปเอาเงินมาจากที่ใด!
เมื่ออวี้จิ่นเดินทางมาถึงห้องรับรอง หลู่อ๋องก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามถึงเรื่องแจกันนั้น
อวี้จิ่นยิ้มขึ้นเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “อ้อ ก่อนหน้านั้นข้าได้ซื้อเครื่องประทินผิวให้พระชายามาร้านหนึ่งไม่ใช่หรือ คิดไม่ถึงว่าจะได้กำไรจากร้านนั้นมากทีเดียว”