จิ่งหมิงฮ่องเต้ย่อมไม่อยากให้บุคคลที่ซ่อนตัวอยู่ในตำหนักฉือหนิงส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของไทเฮาแม้แต่น้อย
เมื่ออวี้จิ่นกล่าวถึงเรื่องคนจากเผ่าอูเหมียว อีกทั้งตั่วหมัวมัวคนจากตำหนักฉือหนิงนั่นใช้ประโยชน์จากโอกาสที่ไทเฮาเสด็จออกจากวังติดตามไป และติดต่อกับคนเผ่าอูเหมียว เรื่องนี้เขาจะเพิกเฉยไม่ได้
ยังมีอีกหนึ่งคำถามที่จิ่งหมิงฮ่องเต้ต้องการถาม “เจ้าเจ็ด คนของเจ้ารู้จักตั่วหมัวมัวได้อย่างไร”
คำถามนี้ถูกถามได้ดีเหลือเกิน พานไห่ก็แอบเหลือบมองอวี้จิ่นอย่างเงียบๆ เช่นกัน
หากเยี่ยนอ๋องตอบได้ไม่ดีละก็เกรงว่าจะโชคร้าย
พานไห่ผู้ซึ่งติดตามจิ่งหมิงฮ่องเต้มานานหลายปี เขารู้ดีถึงตำแหน่งความสำคัญในใจของไทเฮาที่มีต่อจิ่งหมิงฮ่องเต้
ไทเฮาเป็นแม่บุญธรรมของจิ่งหมิงฮ่องเต้ และเป็นผู้ที่ผลักดันเขาขึ้นสู่ตำแหน่งของจักรพรรดิ หลังจากที่จิ่งหมิงฮ่องเต้ขึ้นครองบัลลังก์แล้ว นางก็อยู่แต่ในวังหลังอย่างเงียบๆ โดยไม่กล่าวสิ่งใดมากมายนัก
จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้สึกเคารพและมีความกตัญญูกตเวทีต่อไทเฮาอย่างใจจริง
การที่คนจากจวนเยี่ยนอ๋องรู้จักคนจากตำหนักฉือหนิง นี่หมายความว่าอย่างไร
พานไห่แอบส่ายหน้าแล้วรู้สึกว่าเยี่ยนอ๋องช่างใจกล้าและมีความคิดเรียบง่ายเหลือเกิน
ผู้ที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ได้เป็นเพียงบิดาของเยี่ยนอ๋อง แต่เขาเป็นกษัตริย์ผู้ปกครองทั้งประเทศ ใต้หล้านี้ไม่มีคำว่าบิดาและบุตร ประโยคนี้ดูเหมือนจะไม่ได้กล่าวเกินจริง ต่อให้ฮ่องเต้มีความเมตตาเพียงไรก็มีความลำเอียงได้เช่นกัน
ดูเหมือนอวี้จิ่นจะไม่ได้คิดสิ่งใดมาก เขายิ้มขึ้นแล้วตอบว่า “แน่นอนว่าคนของลูกคงไม่รู้จักตั่วหมัวมัว เพียงแต่คนที่ลูกส่งไปจับตามองดูร้านนั้น เมื่อไหร่ที่มีคนแปลกหน้าน่าสงสัยเดินทางเข้าไปเขาก็จะติดตามไปด้วย”
“คนของลูกวิ่งตามไป แล้วได้ยินคนอื่นเรียกนางว่าตั่วหมัวมัว…”
สีหน้าของจิ่งหมิงฮ่องเต้เคร่งขรึมลง “เจ้าลูกตัวดี! เพียงแค่คนอื่นเรียกชื่อนาง เจ้าก็คาดเดาว่าเกี่ยวข้องกับตำหนักของไทเฮางั้นหรือ!”
อวี้จิ่นไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวเพียงเพราะคำตะคอกของจิ่งหมิงฮ่องเต้เมื่อครู่ เขากล่าวขึ้นอย่างเคร่งขรึมเช่นกันว่า “เสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ ใต้เท้าเจินเคยกล่าวกับลูกเอาไว้ว่า หากจะ ติดตามคดีใดก็ตามแต่ อย่าได้ปล่อยรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ไป อย่าได้ปิดกั้นตัวเองในการคาดเดา มีเพียงเท่านี้เราจึงจะสามารถคาดเดาได้อย่างถูกต้อง จากนั้นความจริงจึงจะเข้าใกล้เราได้มากที่สุด ที่กล่าวว่าฟ้าจะไม่ปล่อยผู้ใดไป ไม่ได้หมายความว่าคนเลวทำความเลวแล้วเหล่าทวยเทพจะปล่อยสายฟ้าลงมาฟาดฟันเขาจนตาย แต่หมายถึงผู้สืบคดีจะสืบสวนคดีอย่างตั้งอกตั้งใจทุกรายละเอียด เท่านี้จึงจะสามารถมอบความยุติธรรมให้แก่ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อได้…”
“สืบคดี! ผู้เสียหายอะไรกัน! เจ้าอายุยังน้อยเหตุใดจึงกล่าววาจาน่ารำคาญเช่นนี้!” จิ่งหมิงฮ่องเต้อดไม่ได้ที่จะตำหนิเขา
เจินซื่อเฉิงบอกเรื่องเหล่านี้ให้แก่บุตรชายของเขาด้วยหรือ ดูเหมือนจะมีเหตุผลอยู่เล็กน้อย…
อวี้จิ่นทำท่าทีผ่อนคลายลงเป็นปกติ เขายิ้มแล้วกล่าวว่า “ถึงอย่างไรลูกก็เชื่อในคำพูดของใต้เท้าเจิน อีกทั้งยังทำตามที่เขาบอก ‘ตั่วหมัวมัว’ ชื่อนี้ลูกได้ยินขณะกำลังสืบผู้ที่สร้างปัญหาขึ้นในวัง และบังเอิญในวังมีคนคนนี้อยู่ด้วย เสด็จพ่อ ท่านคิดว่าควรจะปล่อยเบาะแสนี้ไปหรือ”
เจินซื่อเฉิงที่กำลังดื่มชาอยู่ในจวนจามออกมาอย่างแรง
“นายท่านเป็นหวัดหรือเจ้าคะ” เจินฮูหยินเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
เจินซื่อเฉิงหยิบผ้าเช็ดมือขึ้นมาเช็ดน้ำชาซึ่งอยู่บนหนวด “ไม่เป็นไรหรอก ข้าสบายดี”
ให้ตายสิ ไอ้หน้าไหนกล้ากันนินทาข้า
จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ตำหนิในพระทัยเช่นกันว่า เจ้าเด็กตัวเหม็นนี่เคารพเหล่าเจินมากจริงเชียว เกรงว่าตัวข้าที่เป็นบิดายังไม่ได้รับความเคารพเช่นนี้…
หลังตำหนิในพระทัย จึงได้เอ่ยถามเรื่องจริงจังขึ้นว่า “เจ้าคิดวางแผนไม่ปล่อยเงื่อนงำนี้อย่างไร”
“แน่นอนว่าต้องตรวจสอบตั่วหมัวมัวอย่างถี่ถ้วน เช่น นางเข้าไปในวังได้อย่างไร สถานการณ์ก่อนที่จะเข้าไปในวังเป็นอย่างไร…” อวี้จิ่นกล่าวแล้วพยักหน้าเล็กน้อยไปทางพานไห่ “ทว่าเรื่องนี้อาจต้องรบกวนพานกงกงสักหน่อย เพราะข้าคงไม่สะดวกที่จะตรวจสอบด้วยตนเอง”
พานไห่พยายามระงับปฏิกิริยาของตนเพื่อไม่ให้พยักหน้า ก่อนจะกันไปมองไปที่จิ่งหมิงฮ่องเต้
ใบหน้าของจิ่งหมิงฮ่องเต้ดูเคร่งขรึม “การสอบสวนต้องมีขึ้นอย่างแน่นอน แต่ก่อนที่จะได้หลักฐานที่แน่ชัด อย่าได้ทำให้ไทเฮาเป็นกังวล”
พานไห่ตอบรับทันที
“เสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นลูกขอตัวก่อน”
“อืม กลับไปเถิด” จิ่งหมิงฮ่องเต้ดูอารมณ์ไม่ดี เขากล่าวเบาๆ
อวี้จิ่นยังคงไม่ขยับเขยื้อน
จิ่งหมิงฮ่องเต้เหลือบมองเขา “เหตุใดเจ้ายังไม่ออกไป”
อวี้จิ่นยิ้มแห้งๆ “เสด็จพ่อรับสั่งให้ลูกกลับพร้อมกับอาซื่อมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้กระตุกมุมปากของเขาและสั่งพานไห่ว่า “ส่งคนไปตำหนักฉือหนิง ให้ไทเฮาพักผ่อนอย่าได้หักโหมนัก พระชายาเยี่ยนอ๋องก็ควรเดินทางกลับได้แล้ว”
……
ณ ตำหนักฉือหนิง
เมื่อไม่มีจิ่งหมิงฮ่องเต้และอวี้จิ่นเคียงข้าง น้ำเสียงของไทเฮาก็กลายเป็นเย็นชามากขึ้นเมื่อนางกล่าวกับเจียงซื่อ “พระชายาเยี่ยนอ๋อง ไม่ว่าเจ้าจะรู้เรื่องนี้ในวันนี้หรือไม่ก็ตาม แต่การให้ญาติของเจ้าสร้างปัญหาขึ้นเพราะตำแหน่งของเจ้า ก็นับว่าเป็นความผิดของเจ้า”
แน่นอนว่าเจียงซื่อไม่โง่เขลาที่จะโต้เถียงกับไทเฮา นางกล่าวขึ้นอย่างเชื่อฟังว่า “หลานเข้าใจเพคะ ทั้งหมดนี้มันเป็นความผิดของหลานเอง”
องค์หญิงใหญ่หรงหยางกล่าวออกมาอย่างเย็นชาจากด้านข้างว่า “พระชายาเยี่ยนอ๋องมีท่าทีที่ดีนัก” ก่อนหน้านี้ต่อหน้านางยังทำทีท่าเผยกรงเล็บแหลมคมออกมา แม่นางผู้นี้เสแสร้งได้เก่งกาจเหลือเกิน
เจียงซื่อยิ้มขึ้นเล็กน้อย “คำพูดของเสด็จอาทำให้หม่อมฉันละอายใจนัก เดิมทีนี่ก็เป็นความผิดของหม่อมฉัน หม่อมฉันจะไม่หลบเลี่ยงหลีกหนี นี่คือหลักการของหม่อมฉัน”
“แม่นางผู้นั้นถูกญาติของเจ้าบีบบังคับจนถึงแก่ชีวิต เจ้าจะรับผิดชอบอย่างไร ที่เจ้าว่าจะไม่หลีกหนีความรับผิดชอบ คงไม่ได้เอ่ยเพียงวาจาเท่านั้นใช่หรือไม่”
เจียงซื่อเหลือบมองไปดูองค์หญิงใหญ่หรงหยางแล้วกล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “เสด็จอาเองก็กล่าวว่าสตรีนางนั้นสิ้นใจเพราะญาติห่างๆ ของหม่อมฉันคนหนึ่ง ดังนั้นเขาจะต้องถูกลงโทษจากศาลอย่างแน่นอน และหม่อมฉันกับท่านอ๋องก็ไม่ได้เอ่ยเพียงแค่ลมปาก ท่านอ๋องได้สัญญากับเสด็จพ่อแล้วว่าจะรับเลี้ยงดูน้องชายของหญิงผู้นั้น หรือว่าเสด็จอาไม่ได้ยินกัน หรือเสด็จอารู้สึกว่านี่ยังไม่พอ เช่นนั้นต้องการให้หม่อมฉันชดใช้ด้วยชีวิตหรือ”
องค์หญิงใหญ่หรงหยางทำสีหน้ามืดมนเคร่งขรึม “ประโยคนี้ของเจ้าหมายความว่าอย่างไร”
“พอได้แล้ว!” ไทเฮาทรงกล่าวขัดจังหวะทั้งสองคนอย่างไร้ความอดทน “หรงหยาง ในเวลาเช่นนี้เจ้าควรกล่าววาจาให้น้อยลงหน่อย”
องค์หญิงใหญ่หรงหยางเม้มริมฝีปากแล้วไม่กล้ากล่าวสิ่งใดอีก
ไทเฮาทอดพระพักตร์ไปทางเจียงซื่อ แววตาสื่อถึงความไม่เห็นด้วย “พระชายาเยี่ยนอ๋อง หรงหยางนับว่าเป็นผู้อาวุโสกว่าเจ้า วาจาของเจ้าอย่าได้ฉะฉานนัก”
เจียงซื่อก้มหน้าลง “หลานเข้าใจแล้วเพคะ”
ไทเฮาไม่ชื่นชอบผู้ที่ไม่รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่ หากมีองค์หญิงใหญ่อยู่ด้วยล่ะก็ในอนาคตพระชายาเยี่ยนอ๋องอย่าหวังเลยว่าจะเอาอกเอาใจไทเฮาได้สำเร็จ
เจียงซื่อเหลือบตามองไปยังองค์หญิงใหญ่หรงหยางแล้วหัวเราะอย่างเยือกเย็นในใจ
สำหรับคนเช่นองค์หญิงใหญ่หรงหยางนี้ สิ่งเดียวในสมองของนางก็คือการทำให้ไทเฮาพอพระทัย
“ไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทกำชับว่าให้พระชายาเยี่ยนอ๋องเดินทางออกจากวังได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ” ข้าหลวงคนหนึ่งเข้ามารายงาน
ไทเฮาสูดลมหายใจเข้าแล้วกลั้นเอาไว้ชั่วครู่
เดิมทีนางต้องการจะตำหนิติเตียนพระชายาเยี่ยนอ๋องสักหน่อย แต่ดูเหมือนฮ่องเต้จะค่อนข้างรีบร้อน อ้อไม่สิ ผู้ที่รีบร้อนน่าจะเป็นเยี่ยนอ๋องเสียมากกว่า
เขากังวลว่าภรรยาของตนจะถูกทำร้ายจิตใจหรือเปล่า
ไทเฮาจะไม่เข้าใจเรื่องที่อ้อมค้อมเช่นนี้ได้อย่างไร นางหันไปเหลือบมองเจียงซื่อ แววตาคู่นั้นก็ดูลึกล้ำขึ้น
ในตอนนั้นฮ่องเต้และหยวนฮองเฮาก็มีความสัมพันธ์อันดีเช่นนี้…
ดวงตาของไทเฮาเย็นชาลงเล็กน้อย ก่อนจะละทิ้งความคิดจัดการเจียงซื่อแล้วหันไปพยักหน้ากล่าวว่า “ไปเถิด ข้าไม่รั้งเจ้าเอาไว้แล้ว”
“เสด็จย่าพักผ่อนเถอะเพคะ หลานขอกราบทูลลา” เจียงซื่อทำการคารวะ
องค์หญิงใหญ่หรงหยางก็ลุกขึ้นตามแล้วกล่าวว่า “เสด็จแม่เพคะ ลูกเองก็ไม่อยากอยู่รบกวนแล้ว เดินทางออกไปนอกวังคงเหนื่อยล้าไม่น้อย พักผ่อนให้เต็มที่เถิดเพคะ”
ทั้งสองคนเดินทางออกมาจากตำหนักฉือหนิงด้วยกัน
“พระชายาเยี่ยนอ๋องมีแผนอย่างไรในการกอบกู้ชื่อเสียงที่เสียหายไปหรือ” องค์หญิงใหญ่หรงหยางกระซิบถาม นัยน์ตาของนางเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง
เจียงซื่อยิ้มขึ้น “เสด็จอาไม่ลองคิดดูบ้างหรือเพคะ หากว่าองครักษ์จิ่นหลินสืบไปถึงตัวผู้บงการขึ้นมาแล้วจะปฏิเสธอย่างไรดี”
ดวงตาขององค์หญิงใหญ่หรงหยางเบิกกว้างขึ้นทันที ริมฝีปากของนางกระชับ “เกี่ยวข้องอันใดกับข้า”
“กล้าทำแต่ไม่กล้ารับ นี่ดูไม่เหมือนกับนิสัยของเสด็จอาเลยนะเพคะ เสด็จอาทรงจำไว้นะเพคะ หากหมูไปแต่ไก่ไม่มาก็จะนับว่าเสียมารยาท” เจียงซื่อกล่าวจบก็สะบัดแขนเสื้อเดินจากไป