อวี้จิ่นรออยู่ที่ด้านนอกของเมืองชั้นใน มองเห็นร่างบางในเสื้อคลุมสีแดงทำจากขนจิ้งจอกหิมะซึ่งเดินตรงเข้ามาในระยะไกล มุมปากก็อดไม่ได้ที่จะเผยอยิ้มแล้วรีบตรงเข้าไปหา
เจียงซื่อเดินเข้าไปใกล้แล้วยิ้มให้แก่เขา “ข้าคิดเอาไว้แล้วว่าเจ้าจะเสร็จเร็วกว่าข้า”
อวี้จิ่นเหลือบมองดูนางกำนัลแล้วเอื้อมมือมาจับมือของเจียงซื่อกล่าวว่า “ไปกันเถอะ”
ทั้งสองคนเดินจับมือกันตรงไปข้างหน้า
นางกำนัลที่เดินติดตามอยู่ด้านหลังหันกลับไปที่ตำหนักฉือกง นางอดไม่ได้ที่จะคิดอยู่ในใจว่า เยี่ยนอ๋องและพระชายา ช่างรักกันมากเหลือเกิน ไม่แปลกใจเลยที่พระชายาเยี่ยนอ๋องไม่ได้แสดงท่าทีนอบน้อมต่อหน้าองค์หญิงใหญ่หรงหยาง
แม้ว่าประโยคที่เจียงซื่อสนทนากับองค์หญิงใหญ่หรงหยางอย่างดุเดือด นางกำนัลผู้นั้นจะไม่ได้ยิน แต่บรรยากาศความตึงเครียดระหว่างทั้งสองที่แผ่ซ่านออกมา ทุกคนล้วนสัมผัสได้
นางกำนัลผู้นั้นอดไม่ได้ที่จะกล่าวกับสหายซึ่งเดินทางออกมาส่งเจียงซื่อด้วยกัน และนางกำนัลอีกคนหนึ่งก็มีความรู้สึกเดียวกัน “ก็นั่นน่ะสิ แล้วลองมองไปที่พระชายาฉีอ๋อง อย่าว่าแต่ต่อกรกับองค์หญิงใหญ่หรงหยางเลย ทุกครั้งที่นางเดินทางมา แต่ละอากัปกิริยาราวกับถูกวัดมาด้วยไม้บรรทัด ท่าทีระมัดระวังฝังลึกเข้าไปถึงกระดูกดำ”
นางกำนัลทั้งสองคนสบตากัน ไม่รู้ว่าเหตุใดพวกนางจึงไม่มีความรู้สึกอิจฉาพระชายาฉีอ๋องเลย
ได้ยินมาว่าหลังจากที่พระชายาฉีอ๋องตั้งครรภ์ ก็ได้จัดหาสาวใช้ห้องข้างให้แก่ฉีอ๋องถึงสี่คน…
ระหว่างทางกลับไปบนรถม้า อวี้จิ่นเอ่ยถามเจียงซื่อว่า “ไทเฮาทำให้เจ้าต้องอึดอัดใจหรือไม่”
เจียงซื่อพิงกายไปที่ผนังรถม้า ยิ้มแล้วตอบว่า “ไทเฮาเป็นผู้ที่มีมารยาทยิ่ง อย่างมากนางก็คงกดดันข้าด้วยคำพูด แต่ข้าหน้าหนาถึงเพียงนี้ ไม่ว่าคำพูดใดก็ตั้งรับได้ทั้งนั้น”
อวี้จิ่นหัวเราะออกมาแล้วลูบไปที่แก้มของนาง “ดูเจ้าพูดเข้าสิ”
เจียงซื่อเอนกายเข้ามา เมื่อนางได้ยินเสียงหัวใจเต้นแรงของอีกฝ่ายก็รู้สึกโล่งใจอย่างยิ่ง
อวี้จิ่นเอ่ยถึงเรื่องตั่วหมัวมัวขึ้นมา “คนที่ส่งไปจับตาสองยายหลานเผ่าอูเหมียวเจ้าเรียกตัวกลับมาได้แล้ว ในไม่ช้าเสด็จพ่อจะส่งคนไปสืบ พวกเราอย่าได้เข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวายเหล่านี้เลย”
เจียงซื่อชะงักลงเล็กน้อย นางลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้าเอ่ยถามว่า “ที่เจ้าให้คำสัญญากับเสด็จพ่อไว้ ภายในสามวันจะทำการกอบกู้ชื่อเสียงซึ่งถูกอาโต้วทำให้เสื่อมเสียกลับคืนมา มีความคิดดีๆ แล้วหรือ”
“เจ้าคิดว่าเอาเช่นนี้ดีหรือไม่” อวี้จิ่นกายเข้ามาข้างหูของเจียงซื่อแล้วกระซิบเบาๆ
……
ภายในห้องทรงพระอักษร จิ่งหมิงฮ่องเต้เคาะฎีกาบนโต๊ะด้วยท่าทางหงุดหงิด “พานไห่ เจ้าไปตามหันหรานมา”
หันหรานเดินตรงเข้าไปในห้องพระอักษร เมื่อมองเห็นจิ่งหมิงฮ่องเต้ซึ่งดูสีหน้าไร้อารมณ์ หัวใจของเขาก็แทบจะหยุดเต้น นับตั้งแต่รู้ว่าฝ่าบาทถูกคนรักหักหลัง ในใจเขาก็รู้สึกได้ถึงการถูกกวาดล้างได้ทุกเมื่อ ชีวิตคนเรามันยากแท้ยิ่งนัก
เมื่อทอดพระเนตรไปยังผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลินซึ่งมีท่าทางนอบน้อมเช่นนั้น จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็รู้สึกหงุดหงิดใจ เขารู้สึกว่าก่อนหน้านี้หันหรานไม่ได้มีทีท่านอบน้อมเพียงนี้… นี่เขากำลังถูกคนอื่นเห็นอกเห็นใจอย่างนั้นหรือ
ทั้งสองคนล้วนมีความคิดของตนเองอยู่ในใจ ทำให้บรรยากาศดูคับคั่งอึดอัดอยู่ครู่หนึ่ง
พานไห่แอบขยิบตาให้กับหันหราน เขาคิดอยู่ในใจว่าก่อนหน้านี้เจ้าหันหรานเป็นคนเจ้าเล่ห์ไม่น้อย แต่บัดนี้เหตุใดถึงดูโง่เขลานัก
นั่นสิ อาจจะเป็นเพราะเรื่องที่รับรู้ถึงฝ่าบาทถูกสวมเขา ดังนั้นจึงไม่สบายใจเท่าไรนัก
ช่างโง่เขาเหลือเกิน เรื่องเช่นนี้ควรจะแสดงออกอย่างเฉยเมย ทำให้ฝ่าบาทคิดว่าเจ้าลืมเรื่องนี้ไปแล้วจึงจะเป็นวิธีจัดการที่ดีที่สุดสิ
หันหรานส่งสายตากลับไปให้พานไห่แล้วตำหนิอยู่ในใจว่า กงกงอย่างเจ้าจะไปเข้าใจอะไร เจ้าไม่มี…นี่!
พานไห่ม้วนแขนเสื้อขึ้น หากว่าฮ่องเต้ไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วย เกรงว่าเขาจะลงไม้ลงมือกับคนแซ่หันคนนี้แล้ว!
“หันหราน ที่ถนนซีซื่อมีร้านเล็กๆ ที่เปิดโดยคนเผ่าอูเหมียว ข้าอยากรู้สถานการณ์ของพวกเขา แต่อย่าทำให้พวกเขาต้องแตกตื่น”
เมื่อได้ยินเรื่องที่ฮ่องเต้กำชับ หันหรานตอบรับทันที
“อ้อ แล้วก็ไปสืบดูท่านอาของพระชายาเยี่ยนอ๋องสักหน่อยว่าก่อนหน้านี้เขาเคยทำเรื่องชั่วร้ายใดหรือไม่”
หันหรานตอบรับ “พ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าไปได้แล้ว”
หลังจากที่หันหรานเดินทางจากไป จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็มองไปทางพานไห่ “เจ้าคิดว่าเบาะแสที่เยี่ยนอ๋องว่ามานั้นน่าเชื่อถือหรือไม่”
พานไห่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวขึ้น “กระหม่อมคิดว่าเยี่ยนอ๋องกล่าวได้สมเหตุสมผลพ่ะย่ะค่ะ”
พานไห่แอบถอนหายใจ มองดูแล้วฝ่าบาทคงไม่อยากจะเห็นผู้ที่สร้างปัญหานั้นเกี่ยวข้องกับไทเฮา
แต่บัดนี้ในฐานะคนสนิทที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้มาเนิ่นนานหลายปี เขาอุทิศตนแก่ฮ่องเต้เพียงผู้เดียว แต่ก็ไม่สามารถทำให้ความจริงต้องบิดเบือนเพียงเพราะเขารู้ว่าฮ่องเต้ไม่ชื่นชอบมัน
บุคคลนั้นน่ากลัวเหลือเกิน สามารถยุยงให้หยางเฟยมีความสัมพันธ์กับองค์ชายได้ สิ่งนี้นับว่าเป็นการโจมตีใหญ่ครั้งที่สองต่อฝ่าบาท ช่างไม่เกรงกลัวสิ่งใดเลย
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าลองไปตรวจสอบดูเถิด เช่นเดียวกัน อย่าตีพงหญ้าให้งูตื่น หากตรวจสอบพบเรื่องใด มารายงานให้ข้ารู้เป็นอันดับแรก”
“พ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่อยากกล่าวถึงสิ่งที่ทำให้ตนต้องรู้สึกหดหู่ใจ จึงได้เอ่ยสนทนาถึงหัวข้ออื่นขึ้นมาว่า “เจ้าว่าเยี่ยนอ๋องจะใช้วิธีใดในการกอบกู้ชื่อเสียงที่เสียหายของเขา”
พานไห่ทำสีหน้าอึดอัดใจ “กระหม่อมเองก็คิดไม่ออกพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าเองก็คิดไม่ออกเช่นกัน” จิ่งหมิงฮ่องเต้ยิ้มขึ้น
แววตานั้นแฝงไปด้วยความรอคอย ดูเหมือนเรื่องนี้เพิ่มความสนุกสนานกับเขาได้เล็กน้อย
……
เมื่อเจียงซื่อและอวี้จิ่นเดินทางกลับไปถึงจวนเยี่ยนอ๋องก็พบว่าเป็นเวลาเย็นแล้ว เดิมทีอวี้จิ่นตั้งใจจะอยู่กับนางจนกระทั่งรับประทานอาหารค่ำ แต่กลับถูกนางปฏิเสธและไล่ออกไป
“ข้าขอสนทนากับอาหญิงโต้วก่อน”
หากช่วงนี้ความสัมพันธ์ไม่ได้เป็นไปด้วยดีล่ะก็ จากนิสัยของเจียงซื่อแล้วคงขี้เกียจจะเข้าไปข้องเกี่ยวด้วย ต่อให้พี่รองของนางจะทำเรื่องเหลวไหลเหล่านี้ขึ้น นางก็รู้สึกว่าเขาสมควรจะถูกขังอยู่ในห้องขังสักสองสามปี ไม่ต้องกล่าวถึงญาติห่างๆ เช่นนี้
จากประสบการณ์ในชาติที่แล้วสอนให้นางรู้ว่านางไม่ควรใส่ใจผู้ใดมากเกินไป ยิ่งสำหรับคนที่ไม่ควรค่าแก่การใส่ใจก็ให้เมินเชยเสีย
“ก็ได้ ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปจัดการเรื่องนั้นสักหน่อย” อวี้จิ่นกล่าวจบก็เดินทางจากไป
ไม่นานหลังจากนั้น อาเฉี่ยวก็เข้ารายงานว่า “เหนียงเหนียง อาหญิงโต้วเดินทางมาถึงแล้วเจ้าค่ะ”
โต้วซูหว่านเดินตรงเข้ามา นางถอดเสื้อคลุมออกสะบัดหิมะแล้วยื่นไปให้สาวรับใช้หน้าประตูก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน
“ด้านนอกหิมะตกอีกแล้วหรือ อาหญิงเชิญนั่งก่อนเถิด” เจียงซื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง
ผ้าม่านแน่นหนาเสียจนนางมองไม่เห็นบรรยากาศด้านนอก
ฤดูหนาวไม่ดีเอาเสียเลย หากต้องการจะเปิดหน้าต่างกว้างตั้งแต่เช้าจรดเย็นก็ไม่อาจทำได้
โต้วซูหว่านนั่งลงแล้วยิ้มว่า “นั่นสินะ จู่ๆ หิมะก็ตกลงมาอีกครั้ง”
นางกล่าวจบก็นิ่งเงียบไป
ด้วยสติปัญญาเฉลียวฉลาดของโต้วซูหว่าน เห็นได้ชัดว่าในเวลานี้เจียงซื่อเรียกนางมาต้องเกิดเรื่องผิดปกติอย่างแน่นอน
เจียงซื่อชื่นชอบที่โต้วซูหว่านเฉลียวฉลาดเช่นนี้ เพราะเมื่อสนทนากับผู้เฉลียวฉลาดก็ไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมจนเกินไป
“ไม่ทราบว่าอาหญิงโต้วได้ติดต่อกับอาชายบ้างหรือไม่”
โต้วซูหว่านมองไปทางเจียงซื่อ ร่างกายของนางดูตึงเครียดขึ้นมา
พี่ชายของนางก่อเรื่องขึ้น…อีกแล้วหรือ
เมื่อความคิดนี้เพิ่งจะผ่านเข้าไปในสมอง นางก็ได้ยินเจียงซื่อกล่าวว่า “อาชายก่อเรื่องขึ้นแล้ว”
โต้วซูหว่านเลิกคิ้วขึ้นแล้วโพล่งออกมาว่า “เกิดอะไรขึ้นกัน”
เจียงซื่อเล่าถึงเรื่องราวเป็นมาเป็นไป ก่อนจะหันไปเอ่ยถามโต้วซูหว่านว่า “อาหญิงมีความคิดเห็นเช่นไร สามารถกล่าวกับข้าได้”
ใบหน้าของโต้วซูหว่านอับอายเสียจนแดงเรื่อ นางอ้าปากขึ้น ความคับข้องใจก็ล้นหลามทำให้ดวงตาของนางแดงเรื่อทันที
นางเพียงอยากจะมีชีวิตที่ดีแบบคนธรรมดาทั่วไป เหตุใดจึงยากนักหนา
ในจวนปั๋ว ทุกคนล้วนคิดว่าคุณหนูสี่เก่งกาจยิ่งนักและยากที่จะเข้าถึง แต่นางกลับรู้สึกว่าการได้อยู่ร่วมกับคุณหนูสี่เป็นสิ่งที่สบายใจมากจริงๆ นางไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อม ไปจำเป็นต้องประนีประนอม ในทางกลับกันยิ่งเรียบง่ายเพียงใด ทั้งสองคนก็ยิ่งมีความสุขกายสบายใจเท่านั้น
เหตุใดจึงไม่ให้นางใช้ชีวิตอย่างสุขสบายสักพักเล่า
เจียงซื่อยังคงรอคอยคำตอบของโต้วซูหว่าน
นางไม่ใช่คนดีอะไร หากว่าโต้วซูหว่านปกป้องพี่ชายผู้ไร้หัวใจนั้น ที่จริงนางก็พอจะเข้าใจได้ แต่ด้วยเหตุนี้นางคงจะอยู่ให้ห่างและเร่งหาชายหนุ่มที่เชื่อถือได้เพื่อแต่งงานกับนาง ให้นางออกไปจากที่นี่ นับว่าใจดีมากแล้ว
อาชายโต้วทำตัวเละเทะดั่งดินโคลน เป็นไปไม่ได้เลยที่จะคาดหวังให้เขาปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น หากเข้าไปเกลือกกลั้วด้วยก็คงจะถูก ลากไปจมอยู่ในโคลนตมนั้นเช่นกัน