หลังจากที่หันหรานรายงานจบแล้วก็โค้งกายคำนับแล้วหันหลังจากไป
ตำหนักหยั่งซินอันกว้างใหญ่นี้จึงได้ยินเพียงเสียงของจิ่งหมิงฮ่องเต้ที่เอนกายไปยังเก้าอี้ไม้จันทน์แดง
จากนั้นจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็คิดในใจว่า เยี่ยนอ๋องถูกหักเงินสำหรับใช้จ่ายเป็นเวลาถึงหนึ่งปี แต่กลับสามารถนำเงินจำนวนหนึ่งหมื่นตำลึงออกมาได้ง่ายๆ เช่นนี้ เจ้าหมอนี่มีเงินไม่น้อย
แต่คำถามนี้เพียงผ่านเข้ามาในสมองของเขาแล้วถูกลืมไปอย่างรวดเร็ว
จะว่าไปแล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใดเลย
เจ้าเจ็ดใช้เงินจำนวนหนึ่งหมื่นตำลึงในการแลกกับชื่อเสียงอันดีงาม ซึ่งนับว่าคุ้มค่ายิ่งนัก
บางครั้ง ศักดิ์ศรีก็สามารถขับเคลื่อนหัวใจของผู้คนได้
เมื่อหันหรานเดินทางออกจากพระราชวัง เขาแหงนหน้ามองท้องฟ้าพบว่าเริ่มมืดลงแล้วจึงตั้งใจจะเดินทางกลับจวน
คิดไม่ถึงว่าผู้ใต้บัญชาการเจิ้นฝู่ของเขายืนรอออกไปอยู่ในที่ไม่ไกลนัก เมื่อเห็นเขาก็ได้รีบเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่เจิ้นฝู่ทำสีหน้าไม่น่ามองนัก หันหรานก็ขมวดคิ้วเข้าหากันเอ่ยถามว่า “เกิดเรื่องใดขึ้นหรือ”
หากไม่มีเรื่องสำคัญจริงๆ คาดว่าเจ้าหน้าที่เจิ้นฝู่ของจะไม่มายืนรอเขาอยู่นอกวังเช่นนี้
เจ้าหน้าที่เจิ้นฝู่ก้มหน้าลงแล้วพยายามกล่าวออกมาอย่างกล้าหาญว่า “ใต้เท้าขอรับ สองยายหลานเผ่าอูเหมียวหายไปแล้ว”
“หายไปแล้ว?” หันหรานคิดว่าเขากำลังฟังเรื่องตลก
บัดนี้สองยายหลานเผ่าอูเหมียวไม่ได้อยู่ในร้านค้าเล็กๆ แห่งถนนซีซื่อ แต่ถูกขังไว้อยู่ในคุกตามคำสั่งของฮ่องเต้ ซึ่งจัดการโดยองครักษ์จิ่นหลิน
บัดนี้ลูกน้องของเขากลับมารายงานว่าคุกของหน่วยองครักษ์จิ่นหลิน สถานที่สำหรับกักขังผู้กระทำความผิดร้ายแรงกลับมีคนเป็นๆ สองคนหายตัวไป?
“เจ้าอย่าล้อเล่นกับข้า”
ท่ามกลางฤดูหนาวในเดือนสิบสอง เจ้าหน้าที่เจิ้นฝู่กลับเหงื่อผุดเต็มหน้าผาก
แต่เขาก็ไม่สนใจจะยกมือขึ้นเช็ดมัน ได้แต่ก้มหน้าลงกล่าวว่า “ใต้เท้าขอรับ พวกนางหายตัวไปจริงๆ พวกเราพบว่าประตูคุกถูกเปิดออก กุญแจนั้นไม่ได้รับความเสียหาย ผู้เฝ้าประตูยามเป็นลมหมดสติอยู่ด้านข้าง ในมือของเขายังถือกุญแจเอาไว้…”
ยิ่งหันหรานได้ยินดังนั้นสีหน้าของเขาก็ดูมืดมนลง “เจ้าหมายความว่าคนของเราเอากุญแจไปเปิดประตูให้พวกนางหนีออกไป และบรรดาผู้คุมคุกตลอดทางไม่มีใครเห็นพวกนางอย่างงั้นหรือ”
เจ้าหน้าที่เจิ้นฝู่พยักหน้าด้วยความลำบากใจ
“ไร้สาระ!” หันหรานไม่อยากอดทนอีกต่อไป เขาก้าวขาออกไปเตะเจ้าหน้าที่เจิ้นฝู่
เจ้าหน้าที่เจิ้นฝู่ไม่กล้าแม้แต่จะหลบเลี่ยง ปล่อยให้ขาของเขาเตะมาบนร่างของตนอย่างแรง
หลังจากที่หันหรานเตะออกไป เขาก็หลับตาลงพยายามผ่อนคลายความโกรธของตนลง “เจ้าเล่าเหตุการณ์มาอย่างละเอียด”
เจ้าหน้าที่เจิ้นฝู่เล่าถึงทุกอย่าง สุดท้ายเขาก็มองเข้าไปในดวงตาของหันหรานแล้วกล่าวว่า “ใต้เท้าขอรับ ได้ยินมาว่าผู้คนทางหนานเจียงมักมีวิชาแปลกๆ หญิงชราผู้นั้นจะมีคาถามนตราหรือไม่”
หันหรานเลิกคิ้วขึ้น “เจ้ารู้หรือไม่ว่าคาถามนตราคือสิ่งใด”
เจ้าหน้าที่เจิ้นฝู่ส่ายหน้า
“แล้วเจ้ายังกล่าวออกมาเพื่อสิ่งใด!”
“แต่ว่า นายท่านขอรับ แล้วท่านคิดว่าเราจะทำอย่างไรนับจากนี้…” เจ้าหน้าที่เจิ้นฝู่เอ่ยถามด้วยความตกใจ
หันหรานอยากจะเตะเขาอีกทีหนึ่งเหลือเกิน แต่เมื่อมองไปยังผู้เฝ้าประตูพระราชวังด้านนอกก็ได้อดทนแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ตามข้าเข้าไปข้างในเพื่อเข้าเฝ้าฝ่าบาท!”
เจ้าหน้าที่เจิ้นฝู่พยายามไม่ร้องไห้ และรีบตามหันหรานเข้าไปในพระราชวังอย่างรวดเร็ว
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ หันหรานขอเข้าพบ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ตกตะลึง
หันหรานเพิ่งออกไปไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงกลับมาอีกแล้ว
แย่แล้ว! เปลือกตาของเขากระตุกอีกครั้ง
เวลานี้จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่สนใจแล้วว่าเป็นตาซ้ายกระตุกหรือตาขวากระตุก จากประสบการณ์ของเขาสรุปได้ว่าเพียงแค่เปลือกตากระตุกล้วนไม่มีเรื่องดี
“ให้เขาเข้ามา”
เมื่อหันหรานเข้าไปข้างในก็ได้คุกเข่าลงทันที “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมผิดพลาดละเลยต่อหน้าที่ ขอโปรดลงโทษด้วย”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจแม้แต่น้อย เขายกมือขึ้นกุมขมับแล้วกล่าวว่า “ลองเล่าให้ข้าฟังที”
“เมื่อครู่เจ้าหน้าที่จากเจิ้นฝู่เข้ามารายงานกระหม่อมว่าสองยายหลานเผ่าอูเหมียวหายตัวไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ประหลาดใจมากเสียจนอ้าปากค้าง ผ่านไปชั่วครู่จึงได้ตรัสถามว่า “พวกเจ้าไปได้นำสองยายหลานเผ่าอูเหมียวกลับมาที่ศาลาว่าการหรือไม่”
หันหรานก้มหน้าลง เขารู้สึกว่าบัดนี้ใบหน้าของเขาดูหนาขึ้นกว่าเดิม “พวกนางหายตัวไปจากในคุก…”
“หันหราน คุกของพวกเจ้าลืมปิดประตูหรือ!”
หันหรานฟังออกถึงน้ำเสียงอันเสียดสีบ้าคลั่งของจิ่งหมิงฮ่องเต้ เขาพยายามอดทนต่อความอาจอับอายแล้วเล่าสถานการณ์นั้นออกมาอีกครั้ง
หลังจากที่จิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ยินเรื่องนี้ เนิ่นนานทีเดียวก็ไม่ได้ตอบสนองสิ่งใดออกมา
เขาไม่อาจโต้ตอบได้ หากเขาไม่พยายามระงับอารมณ์ของตนเองก็คงจะสั่งประหารหันหรานไปแล้ว เดิมทีคนโง่เง่าเช่นเจ้าหันหรานควรจะถูกตัดคอไปตั้งนานแล้ว และเขาไม่ได้รู้สึกเสียดายเลย ทว่าหากจะแต่งตั้งผู้บัญชาการองครักษ์จิ่นหลินขึ้นมาใหม่ เรื่องที่เขาถูกสวมเขาก็จะมีคนรู้มากขึ้นอีกคนหนึ่ง…
จิ่งหมิงฮ่องเต้จะคิดเรื่องนี้ไม่ได้ เมื่อคิดขึ้นมาก็รู้สึกอยากจะฆ่าใครสักคน
“ไสหัวเจ้าออกไปเดี๋ยวนี้!”
หลังจากที่หันหรานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็กลิ้งตัวไสหัวตัวเองออกไป
เจ้าหน้าที่เจิ้นฝู่เห็นดังนั้นก็รีบปฏิบัติตาม
เมื่อเห็นทั้งสองคนพากันไสหัวออกไปดังนั้นจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็โมโหยิ่งนัก เขาเตะไปที่โต๊ะเสียจนสิ่งของกระจัดกระจายก่อนจะเดินทางไปหาฮองเฮา
“เหนียงเหนียงเพคะ ฝ่าบาทเสด็จมาอีกแล้ว” นางกำนัลเข้ามารายงานด้วยท่าทีมีความสุข
ริมฝีปากของฮองเฮากระตุกขึ้นเล็กน้อย
ฝ่าบาทคงจะเดินทางมารีบเร่งให้นางใช้สิบสี่เป็นเหยื่อล่ออย่างแน่นอน
ฝ่าบาทใจร้อนยิ่งนัก…
ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่กับเรื่องนี้ จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็เดินตรงเข้ามา ฮองเฮาเห็นดังนั้นก็รีบแสดงความเคารพ
จิ่งหมิงฮ่องเต้ไล่บ่าวรับใช้ออกไปแล้วกล่าวว่า “ฮองเฮา เรื่องนั้นจะรอช้าต่อไปไม่ได้แล้ว มิฉะนั้นจะสายเกินไป”
คนที่ถูกจับขังไว้ในคุกของหน่วยองครักษ์จิ่นหลินยังสามารถหนีออกมาได้ แล้วมีอะไรที่เป็นไปไม่ได้อีกเล่า
ฮองเฮาพยักพระพักตร์ตอบรับ
หลังจากที่ฮ่องเต้และฮองเฮาเสวยพระกระยาหารค่ำเรียบร้อยแล้ว องค์หญิงฝูชิงก็ได้เดินทางมา
“เสด็จพ่ออยู่ที่นี่ด้วยหรือเพคะ”
ฮองเฮาทรงยิ้มแล้วตรัสว่า “บังเอิญวันนี้มีอาหารที่เสด็จพ่อและเจ้าล้วนชื่นชอบ จึงได้เรียกเจ้ามาด้วยกัน”
เมื่อมองเห็นธิดาของตนซึ่งยิ้มแย้มดุจดอกไม้แต่ร่างกายสูบผอมไปมากโข หัวใจของฮองเฮาก็แทบทนไม่ไหว
นับตั้งแต่องค์หญิงสิบห้าเสียชีวิตไป อาเฉวียนก็มักจะฝันร้ายเสมอ ไม่รู้ว่านางร้องไห้กี่ครั้งกี่ครา และได้แต่โทษตัวเองว่าทำให้องค์หญิงสิบห้าต้องถึงแก่ชีวิต ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าทุกคนนางกลับทำท่าทางยิ้มแย้มยิ่งนัก
แต่บัดนี้เพื่อเป็นการสร้างสถานการณ์ขึ้นมา จึงจำเป็นต้องกล่าวเรื่องนี้ต่อหน้าอาเฉวียน…
“อาเฉวียนซูบผอมมากทีเดียว” จิ่งหมิงฮ่องเต้กล่าว
ฮองเฮากล่าวเสริมขึ้นว่า “อืม ดูซูบผอมลงมากทีเดียว อาหารการกินไม่ถูกปากหรือ”
องค์หญิงฝูชิงรีบกล่าวขึ้นว่า “เสด็จพ่อเสด็จแม่ไม่ต้องกังวลพระทัยไปเพคะ ลูกสบายดี”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ถอนหายใจออกมาแล้วเอ่ยถามต่อหน้านางกำนัลมากมายว่า “นั่นสินะ หากเปรียบเทียบกันแล้วอาเฉวียนแข็งแรงกว่าองค์หญิงสิบสี่และสิบห้ามากเหลือเกิน…”
ดวงตาขององค์หญิงฝูชิงกะพริบแล้วก้มหน้าลง
ฮองเฮาเห็นดังนั้นก็ขมวดพระขนงขึ้น “ในเวลาเช่นนี้ฝ่าบาทอย่าได้กล่าวถึงอีกเลย”
“ข้าเพียงแค่มองเห็นอาเฉวียนแล้วจู่ๆ ก็สะเทือนใจเล็กน้อย บัดนี้องค์หญิงสิบห้าไม่อยู่แล้วคงไม่มีประโยชน์ที่จะกล่าวถึง ว่าแต่องค์หญิงสิบสี่เองนับตั้งแต่เสด็จแม่ของนางจากไปร่างกายก็ย่ำแย่ นางอยู่เพียงลำพังเช่นนี้ข้าเป็นห่วงยิ่งนัก…”
“ฝ่าบาททรงหมายความว่า…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เหลือบมองฮองเฮาด้วยแววตาอันลึกซึ้ง “ฮองเฮา เหตุใดไม่รับเจ้าสิบสี่มาเป็นบุตรบุญธรรมเล่า”
นางกำนัลภายในห้องโถงทุกคนต่างพากันทำสีหน้าประหลาดใจแล้วรีบก้มหน้าลงเพื่อปกปิดความคิดตน
ฮองเฮาตกตะลึงอยู่ชั่วครู่ก่อนจะคัดค้านขึ้นอย่างเด็ดขาดว่า “มิได้! ฝ่าบาทเพคะ ทรงลืมไปแล้วหรือไรว่าองค์หญิงสิบห้าสิ้นพระชนม์อย่างไร”
การตัดสินใจอย่างเด็ดขาดของฮองเฮาทำให้จิ่งหมิงฮ่องเต้ไปต่อไม่ถูก “แม้ว่าเฉินเหม่ยเหรินจะมีความผิดอยู่แต่องค์หญิงสิบสี่หาได้เป็นผู้สมรู้ร่วมคิด นางเป็นผู้บริสุทธิ์ ฮองเฮา เจ้าเป็นมารดาของคนทั้งใต้หล้า เหตุใดจึงไม่เปิดใจกว้างกับเรื่องเพียงเท่านี้…”
“ฝ่าบาททรงคิดว่าการที่หม่อมฉันไม่ยินยอมรับองค์หญิงสิบสี่เป็นบุตรบุญธรรมเพียงเพราะว่าหม่อมฉันไม่เปิดใจกว้างหรือเพคะ เป็นสัจธรรมที่บุตรจะต้องชดใช้แทนบิดามารดา แม้ว่าหม่อมฉันจะรู้สึกสงสารองค์หญิงสิบสี่สักเพียงไร หม่อมฉันก็ทำได้เพียงไม่ให้ใครมารังแกนางเท่านั้น เหตุใดจะให้นางเข้ามาเป็นองค์หญิงสายตรงเล่า หากว่าเรื่องใดก็ตามมีการตกรางวัลและลงโทษอย่างไม่เหมาะสม แล้วจะทำให้ผู้มีเจตนาร้ายได้รับบทเรียนอย่างไรเล่า ฝ่าบาทเพคะ นี่เป็นการเชิญชวนให้คนทำชั่ว หม่อมฉันไม่ยินยอมอย่างแน่นอน!”
“ข้าเพียงแค่เสนอความคิดเห็นเล็กน้อย เหตุใดฮองเฮาจึงต้องโกรธเคืองเพียงนี้”
การถกเถียงระหว่างฮ่องเต้และฮองเฮาทำให้นางกำนัลรับใช้ที่อยู่ในห้องโถงตกใจเสียจนไม่กล้าหายใจ ทุกคนพากันนิ่งเงียบ
หลังจากโต้เถียงกันอย่างดุเดือดแล้ว จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็เดินจากไปด้วยพระพักตร์ที่มืดมน