ตอนที่ 464 ที่แท้นางก็ชอบจีเฉวียน
พระองค์ไม่ได้ทรงคิดว่าตนเองจะรอดกลับไปตั้งแต่แรกแล้ว
พระองค์ทรงคิดที่จะเสียสละพระชนม์ของตนเพื่อปูทางให้กับนางมาตั้งแต่แรกแล้ว
ในที่สุดยามนี้ ริมพระโอษฐ์ของฮ่องเต้ก็แย้มสรวลออกมา พระองค์กุมดาบดำทองที่หักแล้วเอาไว้ มุ่งหน้าไปยังก้นทะเลลึก พุ่งสู่ความมืดมิดไร้สิ้นสุดแต่เพียงลำพัง
จะอย่างไรเสียย่อมต้องมีใครสักคนที่รับหน้าที่นำทางเพื่อขจัดความมืดมิดออกไป ให้ใต้หล้าได้พบกับความสว่างสดใสและสงบสุข
ช่างโชคร้าย….และก็โชคดีแล้ว ที่คนผู้นั้นก็คือพระองค์เอง
ในชั่วขณะที่เงาของพระองค์หายลับไปนั้น หัวใจของตู๋กูซิงหลันก็เย็นวาบตามไปด้วย
หัวใจของนางกระตุกอย่างรุนแรง ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างกำลังทุบลงไปบนหัวใจของตนเองจนมันจะแตกร้าว
“จีเฉวียน!” นางตะโกนเสียงดัง ขับพลังวิญญาณในร่างออกมา แทบจะสะบัดหลุดจากการรัดของจู๋จู๋ออกไป เส้นผมสีทองขาดกระจายไปกระจุกใหญ่ จู๋จู๋ส่งเสียงร้องขึ้นมา มันรู้สึกว่าบนศีรษะมีแต่ความร้อนระอุ เพียงครู่เดียวก็ต้องเหลือบตาขึ้นไปดู
พอได้เห็นก็ต้องร้องว่าย่ำแย่แล้ว ตู๋กูซิงหลันถึงกับกระอักเลือดสดๆออกมาคำโต
นางใช้มือข้างหนึ่งกุมหน้าอกเอาไว้ มืออีกข้างหนึ่งกุมดาบยักษ์ คนคุกเข่าลงไปข้างหนึ่งอยู่บนศีรษะของมัน
“เจ้าอย่าตายนะ” เสี่ยวจู๋จู๋รับบัญชาจากฝ่าบาท มิว่าอย่างไรก็ต้องปกป้องเจ้าให้ปลอดภัย!
เลือดสดๆไหลจากริมฝีปากลงไปตามลำคอ เปรอะเปื้อนไปครึ่งร่าง จู๋จู๋ชักจะร้อนรนแล้ว หางของมันขมวดจนม้วน ไม่เข้าใจเลยว่าอยู่ดีๆทำไมนางถึงได้กระอักเลือดออกมาได้?
ดวงหน้าที่งดงามล้ำโลกซีดขาวจนปราศจากสีเลือด ราวกับว่าประสบอาการบาดเจ็บอย่างหนักจนเกือบจะเอาชีวิต
ก่อนหน้านี้ตอนที่ต่อสู้กับอสุรกายโลกันตร์ ก็เห็นอยู่ชัดๆว่าเป็นฝ่าบาทที่ทรงรับความบาดเจ็บส่วนใหญ่ไว้นี่นา …..แล้วทำไมถึงได้เป็นเช่นนี้ไปได้?
“ไปหาเขา!” ตู๋กูซิงหลันกุมหัวใจเอาไว้ ยามที่เงยหน้าขึ้นมา ดวงตาดอกท้อที่เคยมีแต่ความเย็นชาคู่นั้นก็ปกคลุมไปด้วยหมอก
หยาดน้ำตาเอ่อล้นขึ้นมา
ฟันของนางถูกย้อมไปด้วยเลือดที่แดงฉาน พอพูดออกไปคำหนึ่ง ก็กระอักเลือดออกมาอีกครั้ง
ชั่วขณะที่เงาหลังของจีเฉวียนหายลับไปกับร่างของอสุรกายโลกันตร์นั้น ในสมองของนางก็พลันปรากฏภาพทุกฉากทุกชั่วเวลายามที่เคยอยู่กับจีเฉวียนขึ้นมา
ตั้งแต่แรกเริ่มที่เกลียดชังมาจนถึงหัวใจบังเกิดความรัก
ตั้งแต่ตอนที่นางคอยเอาอกเอาใจเขาด้วยความหวาดระแวง มาจนถึงยามที่เขาทะนุถนอมเอาไว้บนฝ่ามือ
สองปี….บอกว่ายาวก็ไม่ยาว บอกว่าสั้นก็ไม่สั้น
เดิมทีเพราะเรื่องของฉางซุนอิง…..นางจึงไม่เคยเชื่อถือในความรักที่ออกจากปากของเขา
คิดไม่ถึงว่า……ที่นางก่อเรื่องขึ้นมามากมายจนถึงขนาดนี้ ทั้งหมดก็เป็นเพราะว่า…..หัวใจของนางร่ำร้องด้วยความรู้สึกนั่นเอง…
ที่แท้นางก็ ชอบจีเฉวียนเข้าแล้ว!
เพราะว่ารักจึงได้ผิดหวัง….ถึงได้ผลักไสเขาออกไปจนไกลอยู่ตลอดเวลา
เขาที่เป็นถึงฮ่องเต้แห่งต้าโจว กลับไม่เคยห่วงหน้าตา บากหน้ามาแต่ไกล
ยอมกระทั่งปลอมเป็นบุรุษบำเรอของนาง ต่อให้ต้องรับแส้ไปกี่ครั้งก็ยอมเพียงเพื่อจะได้เข้ามาอยู่ใกล้ๆนาง
ที่จริงตอนนั้นตู๋กูซิงหลันสมควรจะ…..เชื่อเขาได้แล้ว
เลือดแต่ละคำที่กระอักออกมานี้ ทำให้ตู๋กูซิงหลันเจ็บปวดไปจนถึงกระดูก สมองถึงได้คิดอะไรออกขึ้นมา
นางไม่อาจจะปฏิเสธตนเองได้ว่า……นางรักจีเฉวียนเข้าแล้ว
ยิ่งไม่อาจทนมองดูเขาจากไปตาย!
และยิ่งไม่อาจเหยียบย่ำไปบนซากศพของเขาเพื่อจะได้มีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างสุขสบาย
หากเป็นเช่นนั้น นางคงไม่อาจอยู่อย่างสงบสุขไปจนชั่วชีวิต!
“ฝ่าบาททรงสั่งเอาไว้ ….ไม่อาจให้เจ้าไปเสี่ยงอันตราย!” จู๋จู๋ยังคงยึดถือพระบัญชาของฝ่าบาทเอาไว้ อย่างไม่กล้าบิดพลิ้วแม้แต่น้อย
“หากเจ้าไม่ไปหาเขา ข้าก็จะฆ่าตัวตายตอนนี้เลย!” ตู๋กูซิงหลันขยับดาบยักษ์ ทรวงอกของนางปวดร้าวเสียจนร่างกายเหมือนถูกทิ่มแทงไปทั่วร่าง
“อย่า อย่า อย่า ….” จู๋จู๋เห็นว่านางมิได้กล่าวล้อเล่น ก็ร้อนลนขึ้นแล้ว
“ไม่ใช่อะไร….แต่เจ้าอสุรกายตัวนั้นมันแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ไปก็เท่ากับหาเรื่องตายเปล่า ….ฝ่าบาททรงใช้พระองค์เป็นเหยื่อล่อ ก็เพราะอยากจะมอบทางรอดให้กับเจ้า….ฮ่องเต้หญิง เจ้าอย่าได้ทำให้ตัวน้อยที่น่ารักและอ่อนแออย่างข้าต้องตกอยู่ในความลำบากใจได้หรือไม่?” จู๋จู๋อยากจะร้องไห้แล้ว
มันพึ่งจะพูดจบ ก็เห็นดาบยักษ์ของตู๋กูซิงหลันกรีดลงไปบนลำคอของนางเองจนกลายเป็นแผลหนึ่งขึ้นมา
จู๋จู๋ส่งเสียงกรีดร้องออกมาคำหนึ่งก็พุ่งตัวออกไปไล่ตามไปยังก้นทะเลลึก
พ่อแก้วแม่แก้ว! ฮ่องเต้หญิงองค์นี้ช่างโหดเ**้ยมเกินไปแล้ว นางฟั่นเฟือนถึงขนาดจะสับคอของตนเองแล้ว! แบบนี้ไม่ไหวแน่ ไม่ไหวแล้ว!
จู๋จู๋เดินทางด้วยความรวดเร็วอย่างยิ่ง เพียงครู่เดียวก็ติดตามจนกลับมายังก้นทะเลลึก
เมื่อไล่ตามมาตลอดเส้นทางอันยาวไกล ทำให้เห็นว่าอสุรกายโลกันต์ถูกล่อไปยังภูเขาไร้สิ้นสุด
ตู๋กูซิงหลันได้แต่ขมวดคิ้วมุ่น ดาบยักษ์ในมือกุมแนบแน่นกว่าเดิม
พอจู๋จู๋พานางมาถึงก้นทะเลลึก ก็เห็นเงาร่างสีม่วงเงาหนึ่งปรากฏขึ้นมาจากความมืดมิด
ตอนที่ 465 “ตามที่ศิษย์ปรารถนา”
นั่นคือดวงตาคู่หนึ่งที่นางคุ้นเคยอย่างที่สุด
ดวงตาที่ไม่เคยหวั่นไหว ราวกับว่าสิ่งใดๆในโลกนี้ก็ไม่มีคุณค่าในสายตาของเขาทั้งนั้น
เขาปรากฏตัวขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แบบ ในชุดสีม่วงที่เปล่งประกายน้อยๆตลอดทั่วทั้งร่าง เส้นผมสีดำพลิ้วไหว เป่าผ่านใบหน้าของนาง
ใบหน้าของเขาซุกซ่อนอยู่ในความมืดมิด เมื่ออยู่ใต้น้ำทะเลที่ลึกลงมาเช่นนี้จึงไม่อาจมองเห็นองคาพยบทั้งห้าได้อย่างชัดเจน เห็นเพียงเค้าโครงที่งดงามอย่างที่สุดเท่านั้น
แต่ว่าเพียงแค่เส้นสายแต่ละเส้นของเค้าโครงนี้ ก็เพียงพอที่จะทำให้รู้ถึงความปราณีตที่ละเอียดอ่อนงดงามอย่างที่สุดนั้นแล้ว
เส้นผมที่ให้สัมผัสที่เย็นสบายนั้นทำให้ตู๋กูซิงหลันถึงกับตัวแข็งค้างไปทั้งร่าง
นางเงยหน้าขึ้นมา ด้วยความตื่นตะลึงอยู่เนิ่นนาน ถึงได้เอ่ยออกมาสองคำอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า “ท่านอา…จารย์?”
ใช่แล้ว ไม่อยากจะเชื่อ
เบื้องหน้านี้คือจิตวิญญาณดวงหนึ่ง….ที่โปร่งแสง จนทำให้สามารถมองเห็นน้ำทะเลสีฟ้าที่อยู่ด้านหลังของเขาได้อย่างชัดเจน
เดิมทีท่านอาจารย์สมควรจะอยู่ในโลกปัจจุบัน …..ทำไมถึงได้มาปรากฏตัวขึ้นที่นี่ ทั้งยังอยู่ในสภาพของจิตวิญญาณเช่นนี้?
เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก็ทำเอาสมองของนางมีแต่ความมึนงงไปหมดแล้ว
วิญญาณทมิฬเองก็ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง มันปรากฏตัวขึ้นมา เกาะอยู่บนหัวไหล่ของตู๋กูซิงหลัน
กล่าวอย่างไม่หายประหลาดใจว่า “ตาเฒ่า ไม่ใช่สิ…ท่านอาจารย์ผู้หล่อของหล่อของหล่อ….นี่อายุไขของท่านก็สิ้นสุดแล้วเหมือนกันหรือ ถึงได้ติดตามมาจนถึงที่นี่?”
ตาเฒ่าที่ไม่รู้จักตายอย่างซื่อมั่วนี้ ต่อให้ตายไป นรกก็คงไม่กล้ารับเขาไว้หรอกมั้ง?
จะสนใจไปทำไมว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เอาเป็นว่าส่วนหนึ่งของเขามาแล้วจริงๆ ทั้งยังเป็นส่วนที่ยิ่งใหญ่อีกด้วย!
การที่ซื่อมั่วมาถึงเท่ากับว่าอะรไ? เท่ากับสัญลักษณ์ที่สื่อถึงคำว่าปลอดภัย เท่ากับความแข็งแกร่งในระดับที่โลกไม่อาจจะอธิบายอะไรได้!
จะอย่างไรนี่ก็เป็นศิษย์ที่เขาไม่อาจทอดทิ้งได้ จึงต้องมาหาด้วยตนเอง!
แล้วก็ไม่รู้จักมาตั้งแต่แรกๆ…..หากมารับศิษย์น้อยกลับไปเสียแต่แรกก็คงจะไม่ต้องมีปัญหามากมายเช่นนี้แล้วมิใช่หรือ?
ซื่อมั่วสะบัดแขนเสื้อเบาๆครั้งหนึ่ง ปากของวิญญาณทมิฬก็ปิดสนิทได้ทันที เปิดไม่ขึ้นอีกแล้ว
อู้ๆๆ…..ยังคงอารมณ์เสียง่ายอยู่เช่นเดิมไม่มีเปลี่ยน!” วิญญาณทมิฬบ่นพึมพำอยู่ในใจอย่างดุเดือด แต่ตู๋กูซิงหลันกลับไม่ได้สนใจมันแม้แต่น้อย
ยามที่อยู่ในโลกปัจจุบัน วิญญาณทมิฬนับได้ว่าเป็นเครื่องจักรสังหารชนิดหนึ่ง
แต่เมื่อมาอยู่ในโลกมิติโบราณนี้ มันก็เป็นได้แค่เพียงเครื่องรางชิ้นหนึ่ง ที่ตะกละและกลัวตาย
สายตาของซื่อมั่วทอดลงไปยังร่างของตู๋กูซิงหลัน ร่างของเขาล่องลอยอยู่กลางน้ำทะเลประหนึ่งอยู่ในความฝัน เสมือนภาพวาดที่พลิ้วไหว
ผ่านไปครู่หนึ่งริมฝีปากบอบบางถึงได้ขยับ “ตายไปหนหนึ่งแล้ว ยังคิดจะตายอีกหรือ?”
น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำ ไร้คลื่นอารมณ์ขึ้นลง ราวกลับว่าไหลผ่านผิวน้ำแข็งออกมา แต่ถึงอย่างไรก็ยังฟังออกว่าเจือความห่วงใยอยู่ในนั้น
ตู๋กูซิงหลันอ้าปากขึ้นมา แต่ก็ไม่รู้ว่าสมควรจะพูดอะไรดี
ตอนนี้จิตใจของนางสับสนวุ่นวายไปหมด อยู่ๆอาจารย์ก็ปรากฏตัวขึ้นมา หัวใจของนางจึงตกตะลึงไม่หาย แต่ว่าในขณะเดียวกันก็เป็นห่วงความเป็นความตายของจีเฉวียนด้วย
“ศิษย์เอ๋ย” ในขณะที่นางกำลังเป็นใบ้อยู่นั้น บุรุษผู้นั้นก็ยื่นมือออกมา ปลายนิ้วที่เรียวยาวสัมผัสกับริมฝีปากของนาง ปาดเช็ดรอยเลือดบนริมฝีปากของนางเบาๆ
เขาเคลื่อนไหวอย่างอ่อนโยน แบบที่มักจะทำยามนางได้รับบาดเจ็บขณะยังเป็นเด็กน้อย
“ไม่อนุญาตให้ตายแล้ว” เขาทางหนึ่งปาดเช็ดให้ ทางหนึ่งก็มองดูด้วยดวงตาสีม่วงที่ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใดแม้แต่น้อย
ในก้นบึ้งของแววตา มีความปวดใจจางๆ
“อาจารย์…….ท่าน……” ตู๋กูซิงหลันรู้อาการของตนดี บาดเจ็บเพียงเท่านี้ ยังไม่ตายไปได้
นางคิดอยากจะถามเขาว่ามาได้อย่างไร
แต่คำพูดยังไม่ทันถามออกจากปากก็ได้ยินซื่อมั่วเอ่ยว่า “ศิษย์ของข้าซื่อมั่ว ผู้อื่นไม่อาจรังแกได้”
ตู๋กูซิงหลัน “…..” ท่านอาจราย์ ที่ทำร้ายข้านั้นเป็นสัตว์อสูรตัวหนึ่ง มันแข็งแกร่งมาก
ซื่อมั่ว “อสูรก็ไม่ได้”
ตู๋กูซิงหลัน “อาจารย์ เคยตกลงกันแล้วว่าจะไม่แอบฟังความในใจผู้อื่นอย่างไรเล่า….”
ซื่อมั่ว “ลูกศิษย์ไม่ใช่ผู้อื่น” คือสมบัติล้ำค่าที่เขาถนอมเอาไว้ในฝ่ามือตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่
ตู๋กูซิงหลัน “……” จริงๆเลย ไม่พบกันมาสองปี ท่านอาจารย์ยังพูดจาอย่างไม่สนใจใครทั้งสิ้นดังเดิม
จู๋จู๋ลืมตาโตจนกลมกว้างอย่างเงียบๆ มันเหลือบตาดูฮ่องเต้หญิงที่อยู่บนศีรษะ แล้วก็เหลือบตาไปมองดูจิตวิญญาณสีม่วงที่งดงามจนทำให้ตาบอดได้ดวงนั้น
“เอ่อคือ …..ข้าเพียงแต่คิดว่า…..ฮ่องเต้ของพวกเรานั้นยังพอจะมีหนทางช่วยเอาไว้ได้” มันพูดกับตู๋กูซิงหลันว่า “ฮ่องเต้หญิงผู้ยิ่งใหญ่ ท่านมิใช่ว่าต้องการเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเหลือฝ่าบาทหรอกหรือ?”
ทำไมพอแค่เจออาจารย์เข้า……ก็โยนฝ่าบาททิ้งไปไกลโพ้นเลยเล่า?
ฝ่าบาทช่างน่าสงสาร…..ฮือฮือฮือ
จู๋จู๋มองออกไปไกลยังทิศทางที่ตั้งของภูเขาไร้สิ้นสุด ที่นั้นแสงเพลิงลุกท่วมไปทั่วทุกทาง กลายเป็นสมรภูมิที่น่าหวาดกลัว
มันยังสามารถเห็นเงาร่างของฝ่าบาทเคลื่อนไหวอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิง ดาบนั้นหักไปแล้ว …..พระองค์พุ่งตัวลงไปในปล่องของภูเขาไฟ
จู๋จู๋เอ่ยเพียงประโยคเดียว ก็เห็นสีหน้าของซื่อมั่วมีความเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย
พอเขากวาดตามาทางมันครั้งหนึ่ง ทั้งๆที่สายตานั้นก็สงบราบเรียบ…..ไม่มีสิ่งอื่นเจอปนอยู่แท้ๆ
แต่ว่าสายตาที่สงบราบเรียบนั้นกลับแหลมคมประหนึ่งปลายดาบทิ่มแทงจนมันรู้สึกเจ็บปวด
“ท่าอาจารย์……” ตู๋กูซิงหลันเอ่ยปากขึ้นมาอีกครั้ง คิดจะบอกเขาว่า นางต้องการจะไปช่วยคนแล้ว
“ฮ่องเต้ของชาวมนุษย์ผู้นั้น….” ซื่อมัวหันไปที่ด้านหลังมองไปยังภูเขาไร้สิ้นสุดที่อยู่ไกลออกไป “ นั่นเป็นการเลือกทางของเขาเอง ไม่จำเป็นจะต้องให้เจ้าไปช่วย”
“แต่ว่า…..” ตู๋กูซิงหลันไม่เข้าใจว่าเขาไปทราบเรื่องอะไรมาบ้าง
“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น” ซื่อมั่วส่ายศีรษะเบาๆ “ศิษย์เอ๋ย ใต้หล้านี้แต่ละคนล้วนมีลิขิตของชีวิตตนเอง เขาเองก็มิได้นอกเหนือ การได้เสียสละชีวิตเพื่อมวลชนในใต้หล้า เป็นชะตาที่ถูกกำหนดเอาไว้ตั้งแต่เขาเกิดมาแล้ว”
จู๋จู๋ “ไม่ไม่ไม่ ฝ่าบาทของพวกเรายอมตายเพื่อฮ่องเต้หญิงมากกว่าต่างหาก….”
ทุกสิ่งที่ฝ่าบาททรงปกป้องเอาไว้ในตอนนี้ ก็เพื่อฮ่องเต้หญิง!
วิญญาณทมิฬเองก็ทำท่าอย่างเห็นพ้องด้วย
ตาแก่ซื่อมั่วที่ไม่ยอมตาย….คงจะมิได้อิจฉากระมั้ง?
พอมาเห็นศัตรูความรักตรงหน้าเป็นต้องตาแดงใส่ …..ดังนั้นถึงได้อยากให้อีกฝ่ายตายๆไปเสีย?
ขณะที่วิญญาณทมิฬคิดเช่นนั้นอยู่ มันก็พลันรู้สึกว่ารอบกายมีแต่ความอึมครึมและวังเวง ราวกับว่ามีวิญญาณแค้นนับพันนับหมื่นกำลังจดจ้องมาที่มันอย่างไรอย่างนั้น
มันรีบหันไปมองที่ซื่อมั่วในทันที ท่านอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ ท่านไม่รู้หรอกว่าเจ้าฮ่องเต้สุนัขผู้นั้นคิดจะงาบศิษย์รักของท่านอยู่ตลอดเวลาถึงเพียงไหน
หากไม่ใช่เพราะว่าตัวน่ารักอย่างข้าคอยสกัดขัดขวางเอาไว้ เกรงว่าเจ้าฮ่องเต้สุนัขนั้นคงจะจับศิษย์รักของท่านกลืนลงไปอย่างเรียบร้อยแต่แรกแล้ว!
เจ้าฮ่องเต้สุนัขนั่นจะมาเทียบเคียงกับท่านได้อย่างไร?
ท่านเป็นดั่งจันทรากลางฟ้า ส่วนเขาอย่างมากก็เป็นได้แค่เสี้ยวแสงโคม……
วิญญาทมิฬชะเลียจนจบไปรอบหนึ่งแล้ว ก็ยังไม่เห็นว่าอารมณ์ของซื่อมั่วจะเปลี่ยนแปลงอะไร
วิญญาณทมิฬต้องร้อนลนจนกระโดดโลดเต้นขึ้นมาในทันที ….มันรู้สึกว่าอีกประเดี๋ยวตัวมันมีหวังต้องถูก ‘วิญญาณแค้น’ นับพันนับหมื่นกลืนลงไปแน่ๆ
“ท่านอาจารย์ ตั้งแต่เล็กท่านเคยสอนข้าเอาไว้ว่า ไม่อาจยอมแพ้แก่โชคชะตา” ตู๋กูซิงหลันกุบดาบยักษ์ในมืออย่างแนบแน่ “ข้าจะไม่ปล่อยให้เขาต้องตาย”
ซื่อมั่วมองดูนาง ร่างที่ล่องลอยอยู่ขวางอยู่ตรงหน้าของนาง ไม่ให้นางเข้าใกล้ภูเขาไร้สิ้นสุด
กระทั่งภูเขาไร้สิ้นสุดพ่นเปลวเพลิงและลาวาออกมาจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน เขาถึงได้เอ่ยขึ้นมาว่า “ต่อให้ตนเองตายก็ไม่ยอมให้เขาตาย?”
คำถามนี้ทำเอาตู๋กูซิงหลันตะลึงไปแล้ว…..
นางกุมหัวใจของตนเองเอาไว้ ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่านางชอบจีเฉวียนเข้าแล้ว แต่ว่าความชอบนี้ ก็ยังไม่ได้ถึงขั้นรักจนแยกแยะสิ่งใดไม่ออกทั้งสิ้น
แต่ว่าชีวิตนี้ของนาง ก็ไม่ต้องการติดค้างจีเฉวียนเช่นกัน
ดังนั้น นางจึงผงกศีรษะต่อหน้าซื่อมั่ว
“ข้าไม่อาจปล่อยให้เขาตายได้”
คำตอบนี้ของนาง ทำเอาสายตาของซื่อมั่วอึมครึมลงไป เมื่อมองดูลาวาที่ทะลักออกมาอย่างถล่มทลาย เขาก็ยอมเอ่ยว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ให้เป็นไปตามความปรารถนาของเจ้าเถอะ”
…………………………………
ตอนต่อไป “ซื่อมั่วผู้ตามใจศิษย์”