มารดาของสะใภ้เจ็ดอย่างนั้นหรือ
ขนาดจำนวนบุตรีของตัวเอง จิ่งหมิงฮ่องเต้ยังนับถูกนับผิด จึงไม่แปลกหากเขาจะไม่ทราบว่ามารดาของเจียงซื่อคือผู้ใด
ฮ่องเต้ชำเลืองมองไปทางฮองเฮา
ทว่าฮองเฮาจำเรื่องนี้ได้ขึ้นใจ นางจึงเอ่ยย้ำความทรงจำของฮ่องเต้ “ฝ่าบาท มารดาของพระชายาเยี่ยนอ๋องมาจากจวนอี๋หนิงโหวเพคะ”
ในวินาทีนั้น นางหวนนึกย้อนไปถึงอดีตระหว่างซูซื่อและองค์หญิงใหญ่หรงหยาง
แล้วภายในใจก็เริ่มพรั่นพรึงไม่เป็นสุข
การกล่าวถึงความบาดหมางระหว่างซูซื่อและองค์หญิงใหญ่หรงหยางอาจทำให้องค์หญิงใหญ่หรงหยางเกิดความขุ่นเคือง ซึ่งนั่นอาจรวมไปถึงไทเฮาด้วย แต่การทำเช่นนั้นก็แลกมาด้วยความรู้สึกดีๆ จากพระชายาเยี่ยนอ๋อง
นางมีตำแหน่งฮองเฮา เป็นพระมารดาของแผ่นดิน เดิมทีนางไม่มีความจำเป็นต้องสนใจว่าพระชายาเยี่ยนอ๋องจะคิดเห็นกับนางเช่นไร แต่ครั้นได้เห็นฝีมือเก่งกาจของเจียงซื่อแล้ว สามัญสำนึกของนางบอกว่าไม่ควรทำเช่นนั้น
เจียงซื่อเคยรักษาดวงตาขององค์หญิงฝูชิง อีกทั้งบัดนี้ยังช่วยชีวิตไทเฮาเอาไว้ จึงไม่รู้ว่าอนาคตนางจะไปได้ไกลเพียงใด
การทำชุ่ยๆ แบบขอไปทีกับการทำด้วยความตั้งใจจริงแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
นางเองก็เริ่มรู้สึกดีกับพระชายาเยี่ยนอ๋องตั้งแต่ที่นางรักษาดวงขององค์หญิงฝูชิง
หลังลังเลอยู่พักหนึ่ง ฮองเฮาก็ตัดสินพระทัยได้ ตรัสแก่ฮ่องเต้ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ฝ่าบาท พระองค์คงยังพอจำได้ไหมเพคะว่าซูซื่อและราชบุตรเขยชุยซวี่ พระสวามีขององค์หญิงใหญ่หรงหยางเคยเป็นคู่หมั้นกันมาก่อน...”
ใบหน้าของจิ่งหมิงฮ่องเต้เปลี่ยนไปในบัดดล แววตาของเขาขับประกายลุ่มลึกขึ้นทันใด
ซูซื่อและองค์หญิงใหญ่หรงหยางมีเรื่องบาดหมางต่อกัน ส่วนตั่วหมัวมัวก็เข้ามาอยู่ในวังได้ด้วยเส้นสายขององค์หญิงใหญ่หรงหยาง…
เขาชำเลืองมองไปทางฮองเฮาแวบหนึ่งก่อนจะหันไปมองใบหน้านิ่งเรียบของเจียงซื่อ ฮ่องเต้ดำดิ่งลงในความคิด
ตอนนี้สะใภ้เจ็ดสงสัยเรื่องสาเหตุการเสียชีวิตของซูซื่อ หรือว่าการเสียชีวิตของนางจะเกี่ยวข้องกับหรงหยาง
จิ่งหมิงฮ่องเต้ครุ่นคิดเพียงลำพัง แต่จู่ๆ กลับรู้สึกหนาวสะท้านขึ้นมาเฉยๆ
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรไปที่เจียงซื่อ
เจียงซื่อมองตอบด้วยสายตาสงบนิ่ง แววตาคู่นั้นเปี่ยมไปด้วยความชัดเจนแน่วแน่
“ฮองเฮา เจ้ากับสะใภ้เจ็ดพักอยู่ที่นี่ก่อนก็แล้วกัน ข้าจะให้พานไห่ถามจากนางเดี๋ยวนี้” จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยพลางมองไปที่เจียงซื่ออีกครั้ง ก่อนจะเดินออกไปด้วยสีพระพักตร์เครียดขรึม
ภายในห้องเหลือแต่เจียงซื่อและฮองเฮา
เจียงซื่อย่อเข่าเล็กน้อย “ขอบพระทัยเสด็จแม่”
ขอบพระทัยอะไรกัน นางยังไม่ทันพูดอะไรเลย
แต่ฮองเฮาไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนั้น นางถอนหายใจพลางตรัส “พระชายาเยี่ยนอ๋อง เจ้าช่างอาจหาญยิ่งนัก ฝ่าบาทยังกังวลเรื่องตั่วหมัวมัวไม่หาย เจ้ายังกล้าหาเรื่องอื่นมาให้พระองค์ปวดเศียรเวียนเกล้าอีกงั้นรึ”
เจียงซื่อหัวหัวเราะพลางบอก “เสด็จพ่อตรัสว่า ทำดีย่อมได้รางวัล ทำชั่วย่อมถูกลงโทษ ในสายตาหม่อมฉัน เสด็จพ่อทรงแบ่งเส้นเรื่องการให้รางวัลและการลงโทษอย่างชัดเจน ฉะนั้นการที่หม่อมฉันขอร้องเรื่องเล็กๆ เท่านี้คงไม่เป็นการทำให้พระองค์ต้องปวดเศียรเวียนเกล้าหรอกเพคะ”
น้ำขึ้นก็ต้องรีบตัก หากโอกาสมารออยู่ตรงหน้า แต่ดันไม่คว้าไว้ นางคงไม่ต้องคิดไปไกลถึงเรื่องแก้แค้นแทนมารดาหรอกจริงไหม
ฮองเฮาหัวเราะร่า
พระชายาเยี่ยนอ๋องฉลาดเป็นกรดปานนี้ นางกังวลเกินเรื่องไปเอง
คนฉลาดเยี่ยงนี้ควรค่าแก่ไมตรีจิตของนางยิ่งนัก
เจียงซื่อในขณะนั้นได้แต่ถอนหายใจแต่เพียงในใจ
ในชาติที่แล้ว นางเอาแต่เก็บตัวเงียบ นางไม่เคยได้รับความช่วยเหลือจากฮองเฮา และแม้แต่ฮ่องเต้ยังไม่เคยชายตามองนางเลยสักครั้ง เพราะฝ่าบาทเห็นว่านางมิได้ต่างอะไรจากพระชายาอ๋องคนอื่นๆ
ท่าทีของฮองเฮาที่ปฏิบัติต่อพระชายาอ๋องก็เหมือนๆ กันหมด เจียงซื่อถึงไม่อาจรับรู้ถึงอำนาจและความสามารถของพระนาง
หากในความสัมพันธ์ไร้ซึ่งความรู้สึกต่อกัน การจะเข้าหาอีกฝ่ายอาจต้องอาศัยผลประโยชน์หรือวิธีการต่างๆ เพื่อให้บรรลุผลตามที่ตนต้องการ สิ่งที่นางทำควรค่าความไว้ใจของฮองเฮา ฉะนั้นจึงไม่แปลกหากฮองเฮาจะปฏิบัติต่อนางต่างไปจากเดิม
อีกด้านหนึ่ง จิ่งหมิงฮ่องเต้เดินเข้าไปในห้องที่ใช้สอบสวนตั่วหมัวมัว พานไห่เห็นดังนั้นก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย
“ฝ่าบาท ไฉนพระองค์ถึงไม่พักผ่อนเสียหน่อยล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้กดเปลือกตาที่กระตุกอย่างบ้าคลั่งพลางตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “คงไม่ต้องพักแล้วล่ะ”
พานไห่เก็บปากสงบคำ
จนบัดนี้ ยังเค้นความจริงจากปากตั่วหมัวมัวไม่ได้ เขาเข้าใจความรู้สึกของฝ่าบาทเป็นอย่างดี
จิ่งหมิงฮ่องเต้กลอกตาใส่พานไห่ พลางก่นด่าในใจว่า คนอย่างเจ้าจะไปเข้าใจอะไร เพราะตอนนี้นอกจากเรื่องตั่วหมัวมัวจะยังไม่คืบหน้า ยังมีเรื่องขององค์หญิงใหญ่หรงหยางมาเอี่ยวด้วยอีก!
จิ่งหมิงฮ่องเต้นวดขมับพร้อมกล่าวอย่างอ่อนล้า “เจ้าไปถามตั่วหมัวมัวซิว่าหนอนพิษกู่ที่นางใช้กับองค์หญิงที่สิบสี่ นางเคยเอาให้คนอื่นก่อนหน้านั้นหรือไม่…”
พานไห่ได้ยิน หัวใจของเขาก็พลันเต้นแรง หัวหน้าขันทีรีบขานรับก่อนเดินเข้าไปด้านใน
ตั่วหมัวมัวหายใจโรยรินลงทุกชั่วขณะ ทุกส่วนบนร่างกายไม่อาจใช้งานเป็นปกติอีกแล้ว
ทันทีที่เห็นพานไห่เดินเข้ามา นางพยายามลืมตาขึ้นมองอย่างสุดความสามารถ น้ำเสียงของนางยังคงไว้ซึ่งความแข็งกร้าว “ข้าจะบอกอะไรให้ ไม่ว่าเจ้าจะทรมานข้าอย่างไร ข้าก็ไม่มีทางปริปากบอกเป็นอันขาด”
ก่อนที่นางจะมาที่ต้าโจว นางต้องฝึกความแข็งแกร่งของร่างกาย นางต้องผ่านแม้แต่บททดสอบให้งูพันร่าง เพื่อที่ว่าหากนางถูกจับได้คราใด ความลับของเผ่าก็จะไม่ถูกเปิดเผยให้บุคคลฝ่ายนอกได้รับรู้
นางเสียใจตรงที่กู่กินใจของนางไม่อาจใช้การได้ มิฉะนั้นนางคงได้ตายไปโดยไม่ต้องถูกทรมานเช่นนี้
“คราวนี้ข้ามีคำถามใหม่มาถามเจ้า”
ตั่วหมัวมัวหัวเราะเยาะไม่แยแสพานไห่
มุมปากของพานไห่กระตุกวูบ เขาถามออกไปแม้รู้ว่าความหวังมีเหลืออยู่น้อยนัก “หนอนพิษกู่ที่เจ้าใช้กับองค์หญิงสิบสี่ เจ้าเคยให้มันกับคนอื่นก่อนหน้านั้นหรือไม่”
ตั่วหมัวมัวอึ้งไปชั่วขณะก่อนจะหัวเราะออกมาโดยไม่มีสาเหตุ
นางมาอยู่ที่ต้าโจวตั้งหลายปี นางไม่เคยใช้หนอนพิษกู่สุ่มสี่สุ่มห้าเลยสักครั้ง ครั้งแรกที่นางมอบกู่กาฝากให้แก่องค์หญิงใหญ่หรงหยางก็เพื่อตัวเองจะได้เข้าวังมาอย่างราบรื่น
การที่พานไห่ออกปากถามเช่นนี้ก็หมายความว่า ฝ่าบาทสงสัยว่าองค์หญิงใหญ่หรงหยางใช้กู่กาฝากทำร้ายผู้อื่น…
ให้ตายนางก็ไม่มีทางบอกเรื่องภารกิจลับให้ผู้ใดล่วงรู้ แต่ทว่านางมิได้มีความคิดจะช่วยองค์หญิงใหญ่หรงหยางปกปิดเรื่องนี้แต่แรก
องค์หญิงใหญ่หรงหยางเป็นบุตรีของไทเฮา และเป็นน้องสาวของฮ่องเต้ นางอยากจะรู้นักว่าหากฝ่าบาททรงทราบว่าองค์หญิงใหญ่หรงหยางใช้หนอนพิษกู่ทำร้ายคนอื่นแล้วพระองค์จะทรงทำเช่นไร
หากนางสามารถทำให้องค์หญิงใหญ่หรงหยางแตกคอกับฝ่าบาทและไทเฮาได้ ก็ถือว่านางได้ทำประโยชน์แก่เผ่าของตัวเองก่อนที่จะจากโลกนี้ไป
“หัวเราะอะไรของเจ้า” พานไห่ถามด้วยความสงสัย
“หนอนพิษกู่ชนิดนั้น นอกจากองค์หญิงที่สิบสี่แล้ว จริงๆ แล้วข้าเคยมอบให้ใครอีกคน แต่ข้าให้คนผู้นั้นไปทั้งหมดสองตัว”
“ใคร” จิ่งหมิงฮ่องเต้และพานไห่ถามขึ้นพร้อมกัน
เมื่อเห็นฮ่องเต้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ตั่วหมัวมัวยิ่งรู้สึกได้ใจ นางเอ่ยเน้นทีละพยางค์ “องค์หญิงใหญ่หรงหยาง”
ครั้นว่าจบนางก็ทำทีหัวเราะคิกคัก “หากข้ามิได้ทำประโยชน์ให้องค์หญิงใหญ่หรงหยาง แล้วนางจะยอมช่วยข้าให้เข้าวังมาเปล่าๆ หรือเพคะ”
คล้ายกับได้ยินเสียงระเบิดดังก้องอยู่ในหูของจิ่งหมิงฮ่องเต้ โทสะพลุ่งพล่านล้นท่วมเต็มอก ฮ่องเต้โกรธขึ้งแต่ต้องกัดฟันเพื่อข่มกลั้นอาการนั้นไว้
แม้จะมีลางสังหรณ์แต่แรก แต่ลึกๆ ก็ได้แต่หวังว่า เรื่องที่ตนคิดจะเป็นการเข้าใจผิดกันเท่านั้น
หรงหยางไม่เคยทำให้เขา ‘ผิดหวัง’ มาก่อน!
“องค์หญิงใหญ่หรงหยางจะเอาหนอนพิษกู่ไปทำอะไร” จิ่งหมิงฮ่องเต้ถามด้วยความโมโห
ครั้นเห็นใบหน้าขมึงทึงของจิ่งหมิงฮ่องเต้ ตั่วหมัวมัวยิ่งรู้สึกสะใจ “ก็ใช้กู่กาฝากฆ่าคนอย่างไรเพคะ ฝ่าบาทมิทราบหรือเพคะ คนที่โดนกู่กาฝากเล่นงานจะมีภาวะหัวใจล้มเหลว และเสียชีวิตลงด้วยโรคหัวใจ แต่องค์หญิงใหญ่หรงหยางเอาไปใช้กับผู้ใด หม่อมฉันไม่ทราบ เพราะตอนนั้นหม่อมฉันเข้าวังมาแล้ว”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่อาจทนฟังได้อีกต่อไป เขาสะบัดแขนเสื้อเดินหนีไป
ตั่วหมัวมัวไม่รู้ แต่เขารู้ เมื่อสิบห้าปีก่อน หรงหยางใช้หนอนพิษกู่สังหารมารดาของสะใภ้เจ็ด!
หรือจะพูดอีกนัยหนึ่งคือ เมื่อสิบห้าปีก่อน หรงหยางก็รู้แล้วว่าตั่วหมัวมัวฝีมือไม่ธรรมดา แต่นางก็ยังส่งตั่วหมัวมัวเข้ามาในวังหลวง เพียงเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นคือ นางส่งตั่วหมัวมัวไปอยู่ข้างกายไทเฮาเสียด้วย
สำหรับหรงหยาง นอกจากความรักที่มีต่อชุยซวี่แล้ว นางยังเห็นความสำคัญฉันแม่ลูกอยู่หรือไม่
“พานไห่…”
พานไห่ตามออกมาด้วยความเป็นห่วง “บ่าวอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ”
“ไปเรียกองค์หญิงใหญ่หรงหยางเข้าวังมาบัดเดี๋ยวนี้!”