คำกล่าวของจิ่งหมิงฮ่องเต้ประหนึ่งฟ้าผ่าลงกลางศีรษะองค์หญิงใหญ่หรงหยาง
“เสด็จพี่ หม่อมฉันมิได้สมคบคิดกับชนต่างเชื้อชาติ และไม่มีทางที่หม่อมฉันจะทำร้ายพระองค์และเสด็จแม่เลยเพคะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่อาจทนดูองค์หญิงใหญ่หรงหยางยืนกรานปฏิเสธได้อีกต่อไป เขาหลับตาพลางโบกมือ “พาตัวไป”
ข้าหลวงกลุ่มหนึ่งเข้ามารวบตัวองค์หญิงใหญ่หรงหยาง
นางดิ้นพล่านพร้อมกล่าวร้อง “เสด็จพี่ หม่อมฉันต้องการพบเสด็จแม่เพคะ… ให้หม่อมฉันพบเสด็จแม่สักครั้ง ฝ่าบาทจะทำกับหม่อมฉันเช่นนี้ไม่ได้นะเพคะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เบือนพระพักตร์หนี
ไม่ช้าไม่นาน เสียงโอดครวญขององค์หญิงใหญ่หรงหยางก็ค่อยๆ หายไปทางประตู จิ่งหมิงฮ่องเต้ถึงได้มองมาที่อวี้จิ่น
อวี้จิ่นก้มศีรษะ สายตาจดจ้องไปที่พื้นเบื้องหน้า ราวกับว่าเขาไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
จิ่งหมิงฮ่องเต้ถอดถอนหายใจ “พาภรรยาของเจ้ากลับจวนไปเถอะ ลำบากนางมาทั้งคืนแล้ว…”
อวี้จิ่นดูกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาโดยพลัน “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!”
เจียงซื่อเดินออกมาจากประตูข้าง
อวี้จิ่นรีบก้าวเข้าไปหาพร้อมคว้ามือนางมาจับไว้ “เป็นอย่างไรบ้าง เหนื่อยหรือเปล่า”
“ยังไหวอยู่เพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้กระแอมกระไอออกมา
ทั้งสองขยับเข้ามาใกล้ก่อนจะถวายบังคมจิ่งหมิงฮ่องเต้ “เสด็จพ่อ กระหม่อมทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
“อื้ม” จิ่งหมิงฮ่องเต้หดหู่ยิ่งนักจึงตอบรับเพียงสั้นๆ
อวี้จิ่นพาภรรยาของตนกลับออกไปโดยไม่ได้สนใจว่าอารมณ์ของฮ่องเต้ในตอนนี้เป็นเช่นไร
สายลมยามรุ่งสางหนาวเย็น เสียดสะท้านถึงกระดูก โชคดีที่อาภรณ์ที่เจียงซื่อสวมอยู่ในขณะนั้นอุ่นเพียงพอ ประกอบกับเสื้อนอกที่มีผ้าคลุมจรดเหนือศีรษะ ทำให้นางมิได้รู้สึกทรมานกับสภาพอากาศข้างนอกมากนัก
อวี้จิ่นกระชับมือนางให้แน่นกว่าเดิมพลางกล่าวแผ่วเบา “ข้าเป็นห่วงเจ้าทั้งคืน ไม่มีใครทำให้เจ้าลำบากใจใช่หรือไม่”
เจียงซื่อคลี่ยิ้มกว้าง “ไม่มีหรอก ไม่มีเหตุผลให้เสด็จพ่อต้องทำเช่นนั้น”
ในตอนนั้น ป้ายทองละตายอาญาสิทธิ์ถูกใส่ไว้ที่บริเวณทรวงอก นางถึงได้รู้สึกหนักอึ้ง
เข้าวังมาคราวนี้ได้ของตอบแทนกลับมาเป็นกระบุง การได้ของมีค่าอย่างป้ายละตายอาญาสิทธิ์เป็นสิ่งที่นางไม่คาดคิดมาก่อน และที่สำคัญคือในที่สุดองค์หญิงใหญ่หรงหยางก็ได้รับโทษที่นางก่อ นี่นับว่านางได้แก้แค้นแทนมารดาของนางแล้ว
สำหรับบางคน การตกลงจากที่สูงทุกข์ทรมานกว่าการตายเป็นไหนๆ ซึ่งองค์หญิงใหญ่หรงหยางก็เป็นหนึ่งในนั้น
“ตั่วหมัวมัวยอมรับสารภาพแล้วงั้นหรือ”
“นางยังไม่ยอมบอกสาเหตุที่เข้ามาป่วนในวังหลัง แต่นางยอมรับสารภาพเรื่ององค์หญิงใหญ่หรงหยาง”
ทั้งคู่มองไปข้างหน้า
องค์หญิงใหญ่หรงหยางยังคงดีดดิ้นต่อเนื่องแม้จะถูกข้าหลวงคุมตัวออกไป
แววตาของเขาขับประกายเย็นชาพร้อมกล่าวเสียงเรียบ “คนที่จะเป็นผู้อาวุโสของเผ่าอูเหมียวได้ต้องเป็นคนที่มีความอดทนสูง ไม่มีทางเค้นความลับของเผ่าจากปากนางได้หรอก…”
เจียงซื่อหวนนึกถึงตอนที่ตั่วหมัวมัวเอ่ยถามเป็นภาษาอูเหมียวอยู่ในห้องข้างๆ ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ “กลับไปคุยเรื่องนี้ที่จวนเถอะ”
ทั้งคู่เดินออกประตูวังไปแล้ว เบื้องหน้าคือองค์หญิงใหญ่หรงหยางในสภาพสติไม่อยู่กับตัว
ทันทีที่นางเห็นเจียงซื่อ นางก็รีบผลักข้าหลวงข้างๆ ออกไปจนพ้นทาง และพุ่งปราดมาที่เจียงซื่อทันที
“ท่านอาอาละวาดคลุ้มคลั่งเหมือนหญิงเสียสติ อายคนอื่นเขาแย่” อวี้จิ่นกลัวว่าองค์หญิงใหญ่หรงหยางจะทำร้ายเจียงซื่อ จึงดันให้นางไปยืนด้านหลัง
องค์หญิงใหญ่หรงหยางไม่ได้สนใจถ้อยคำถากถางของอวี้จิ่น นางยังจ้องเขม็งไปที่เจียงซื่อไม่วางตาพร้อมกัดฟันกรอดๆ “นังคนชั่ว นี่ฝีมือเจ้าใช่ไหม ที่ยุให้ฝ่าบาทปลดข้าจากตำแหน่งองค์หญิงใหญ่”
เจียงซื่อสบตากับนางพลางกล่าวตอบเบาสบาย “ใช่แล้ว”
องค์หญิงใหญ่หรงหยางถลึงตา ทว่าวินาทีนั้นกลับลืมว่าตัวเองจะพูดอะไร
นางคิดว่าหญิงตรงหน้าจะปฏิเสธบอกปัด แต่กลายเป็นว่าอีกฝ่ายกลับยอมรับเอาดื้อๆ ทั้งยังเอ่ยออกมาอย่างสบายอารมณ์!
“คนชั่ว เจ้ายั่วยุให้ฝ่าบาทกับข้าผิดใจกัน ไม่กลัวกรรมตามสนองหรืออย่างไร”
เจียงซื่อนึกขัน
คนที่ทำร้ายคนอื่นไม่เลือกหน้ายังมีหน้ามาสอนเรื่องศีลธรรมด้วยหรือ
“ข้ามิได้ทำอะไรผิด เหตุใดถึงต้องกลัวกรรมตามสนอง” เจียงซื่อยิ้มเยาะ “แต่ท่านอา ผู้เห็นชีวิตมนุษย์ร่วมโลกเป็นเพียงผักหญ้า และฉกฉวยของคนอื่นมาเป็นของตนต่างหากที่จะต้องถูกกรรมตามสนอง”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ นางก็ก้าวเท้าเข้ามาใกล้พร้อมกระซิบ “เหมือนลูกสาวของท่านอย่างไรล่ะ”
องค์หญิงใหญ่หรงหยางสั่นสะท้าน แต่สีหน้ายังคงดุดัน “นางคนชั่ว ข้ากะแล้วเชียวว่าคนที่ทำร้ายหมิงเย่ว์ต้องเป็นเจ้า!”
เจียงซื่อขึ้นเสียง “ท่านอาจะกล่าวสิ่งใดก็ระวังไว้หน่อย คิดว่าเสด็จพ่อไม่ทรงทราบ และสั่งลงโทษเพียงเพราะฟังคำยั่วยุจากรอบข้างอย่างนั้นหรือ เสียดายที่อุตส่าห์เกิดในชนชั้นกษัตริย์ แต่กลับไม่เห็นค่า อยู่ดีกินดี ทว่ายังไม่รู้จักพอ โลภโมโทสัน จิตใจชั่วร้าย ถูกลงทัณฑ์เช่นนี้ก็สมควรแล้ว เสด็จพ่อทรงเป็นโอรสสวรรค์ การลงทัณฑ์บัญชาคนหยาบช้าถือเป็นการทำตามประสงค์ของสวรรค์แล้ว หากถึงตอนนี้ยังไม่สำนึกผิดคิดกลับตัวกลับใจ ในอนาคตคงมีกรรมใหญ่รอตามสนองอยู่เป็นแน่”
“หุบปาก หุบปากของเจ้าเดี๋ยวนี้!” องค์หญิงใหญ่หรงหยางกางกรงเล็บหมายจะสั่งสอนเจียงซื่อ
อวี้จิ่นคว้าของมือของนางเอาไว้ พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นองค์หญิงใหญ่หรือยังไง คนโง่!”
ข้าหลวงยืนอึ้งอ้าปากค้าง
เยี่ยนอ๋องกล้าพูดทุกสิ่งที่ใจนึกเลยจริงเชียว องค์หญิงใหญ่หรงหยางดำรงตำแหน่งสูงศักดิ์มาชั่วนานตาปี อีกทั้งยังเป็นบุตรบุญธรรมคนโปรดของไทเฮา ไม่กลัวเลยรึว่าหากไทเฮาทรงทราบเรื่อง แล้วไปทูลขอความเมตตาจากฮ่องเต้ และฮ่องเต้อาจจะระงับคำสั่งก็เป็นได้
อวี้จิ่นมองข้าหลวงอย่างเกียจคร้าน “กงกงทั้งหลายยังไม่รีบพานางไปส่งอีกหรือ จะปล่อยให้นางส่งเสียงเอะอะอยู่ตรงนี้อีกนานเท่าใด”
ข้าหลวงกลุ่มนั้นขยับเข้าใกล้นางพร้อมกล่าวโน้มน้าว “ท่านอย่ามัวรังรออยู่ที่นี่เลย รีบกลับไปเก็บข้าวของที่จวนก่อนจะดีกว่าขอรับ”
ในเมื่อถูกถอดสถานะองค์หญิงแล้ว นางก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะอยู่ที่จวนองค์หญิงใหญ่อีกต่อไป
คำพูดของข้าหลวงทำให้นางคลุ้มคลั่ง “เก็บเกิบอะไรกัน เหตุใดข้าต้องกลับไปเก็บข้าวของที่จวน”
เจียงซื่อหัวเราะ “ท่านอา เหลือศักดิ์ศรีไว้ให้ตัวเองบ้างเถิด เรื่องแบบนี้ดูเหมือนว่าคุณหนูชุยจะปรับตัวได้ดีกว่า”
แม้จะได้รับพระราชงานอภิเษกสมรส แต่ทว่าชุยหมิงเย่ว์ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา นางสังหารเจ้าบ่าวของตัวเอง และเก็บข้าวของหนีไป
หากมองจากมุมนี้ ชุยหมิงเย่ว์ฉลาดกว่าผู้เป็นมารดายิ่งนัก
องค์หญิงใหญ่หรงหยางเงียบไปในที่สุด
ข้าหลวงอาศัยจังหวะที่นางกำลังสงบพาตัวนางไป
“ไปเถอะ เราก็กลับบ้านกันเถอะ ก่อนที่ข้าจะออกจากจวนมา ข้าสั่งให้ในครัวเตรียมเนื้อหมูนึ่งเอาไว้…”
ในตำหนัก จิ่งหมิงฮ่องเต้ภายใต้ใบหน้าเคร่งขรึมละเลียดชาในถ้วยอึกแล้วอึกเล่า
พานไห่รี่เข้ามาพร้อมกล่าวอย่างระมัดระวัง “ฝ่าบาท ถึงเพลาออกว่าราชการเช้าแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ขยับเปลือกตาก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “ไปบอกว่าข้าไม่สบาย ให้พวกเขาแยกย้ายกลับไปเถอะ”
พานไห่ลังเลชั่วอึดใจก่อนจะโค้งคำนับ และเดินตรงไปยังประตูเฉียนชิงเพื่อไปแจ้งเหล่าขุนนาง
ครั้นได้ยินจากพานไห่ เหล่าขุนนางก็ได้แต่มองหน้ากันและกันด้วยความงงงวย
วันนี้ไม่เสด็จว่าราชการเช้าอย่างนั้นหรือ
ตั้งแต่เสด็จขึ้นครองราชย์ก็ทรงงานอย่างแข็งขันมาโดยตลอด แทบจะไม่เคยเห็นพระองค์หนีว่าราชการเช้าเลยสักครั้ง
ขุนนางรอบๆ ถามความจากพานไห่ “พานกงกง พระวรกายของฝ่าบาทคงมิได้ประชวรร้ายแรงหรอกใช่ไหม”
พานไห่กวาดตามองทีละคนพลางกล่าว “ใต้เท้ากลับไปก่อนเถิด พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่”
ทั้งหมดสบตากันอีกครั้ง
ถามก็ไม่ได้ ดูจากทรงแล้วคงไม่ใช่เรื่องเจ็บไข้ได้ป่วย
แล้วมันเรื่องอะไรกันเล่า เหตุไฉนถึงไม่เสด็จว่าราชการเช้า
ทันทีที่เท้าก้าวออกจากประตูเฉียนชิง แต่ละคนก็ส่งคนของตัวเองไปสืบทันที
ผ่านไปไม่นาน ข่าวลืออันน่าพรั่นพรึงก็มาถึงหูเหล่าขุนนาง องค์หญิงใหญ่หรงหยางถูกถอดฐานันดรศักดิ์ ให้กลายเป็นเพียงสามัญชน!
แล้วสาเหตุคือ?
สาเหตุก็คือ พระชายาเยี่ยนอ๋องทรงแคลงคลางเรื่องสาเหตุการตายของมารดาของตน ผลสรุปคือ องค์หญิงใหญ่หรงหยางสมคบคิดกับชนต่างเชื้อชาติวางยาพิษซูซื่อ พระมารดาของพระชายาเยี่ยนอ๋อง แต่ถึงกระนั้น ฝ่าบาทก็ทรงยุติธรรม มีรับสั่งลงโทษปลดองค์หญิงใหญ่หรงหยางเป็นสามัญชน
เหล่าขุนนางลูบเคราครุ่นคิดสิ่งเดียวกันโดยมิได้นัดหมาย ฝ่าบาททรงเข้าข้างลูกสะใภ้ แล้วไทเฮาทรงทราบเรื่องนี้หรือไม่