อวี้จิ่นใช้เวลาปลอบประโลมภรรยาได้นานตราบชั่วนิรันดร์ ทว่าไม่มีความอดทนในการปลอบชายอกสามศอกเลยแม้สักนาที เขาดึงมุมปากพลางบอก “เหตุไฉนจู่ๆ พี่ห้าถึงได้พร่ำพูดเรื่องนี้”
หลู่อ๋องปะทุทันใด “จู่ๆ งั้นหรือ เจ้าเจ็ดเจ้ารู้หรือเปล่าว่าข้าถูกลดขั้น!”
“ลดขั้น?”
หลู่อ๋องยกมือขึ้นลูบหน้า “ใช่ จากชินอ๋องเป็นจวิ้นอ๋อง!”
“ด้วยเหตุใดกัน” ในที่สุดอวี้จิ่นก็เกิดความสงสัย
“เพราะข้าชกพี่รอง!” หลู่อ๋องมองอวี้จิ่นด้วยสายตาสงสัยในเส้นทางของมนุษย์ “เจ้าเจ็ด เจ้าช่วยอธิบายเหตุผลให้ข้าฟังทีว่า ทำไมเจ้าต่อยพี่รองที่เป็นไท่จื่อ ซึ่งถือเป็นการหมิ่นเบื้องสูง แต่เจ้ากลับถูกสั่งขังที่ฝ่ายข้าราชการพลเรือนในพระองค์แค่สองสามวันเท่านั้น…”
อวี้จิ่นเสริมทันควัน “ถูกปรับเบี้ยหวัดด้วยอีกหนึ่งปี…”
“ต่อให้ปรับเบี้ยหวัดสามปีแล้วจะทำไม ในเมื่อเจ้าซื้อร้านเครื่องประทินผิวที่ทำเงินได้ให้ภรรยาของเจ้า!” หลู่อ๋องตบโต๊ะก่อนจะลุกพรวดพร้อมพ่นลมหายใจยาวออกมา “ส่วนข้ากลับถูกลดขั้น ในบรรดาพี่น้องทุกคนต่างก็เป็นชินอ๋องกันหมด มีแต่ข้าที่มียศต่ำกว่าพวกเจ้า!”
อวี้จิ่นเฝ้ามองเงียบๆ สายตาเลื่อนลงไปยังขวดเซียงลู่ที่ชายร่างใหญ่ถือมา
เขายังจำตอนที่ตัวเองซื้อร้านเครื่องประทินผิวให้ภรรยาได้เป็นอย่างดี และเห็นได้ชัดว่าเซียงลู่ขวดนี้ฝังภาพจำบางอย่างแก่เจ้าห้า
หลู่อ๋องวางมือบนไหล่ของอวี้จิ่นพลางส่ายศีรษะ “เจ้าเจ็ด เจ้าอธิบายให้ข้าฟังหน่อย เจ้าต่อยไท่จื่อ แต่กลับไม่เป็นอะไร แต่ทำไมข้าต่ออดีตไท่จื่อถึงได้ถูกลดยศ”
อวี้จิ่นปัดมือหลู่อ๋องออกจากไหล่ก่อนจะส่งถ้วยชาให้เขา “ดื่มให้ใจเย็นก่อนเถิด”
หลู่อ๋องรับไปดื่มอึกๆ รวดเดียวจนหมดแก้ว คล่องคอเสียอีกกว่าดื่มเหล้า
อวี้จิ่นมองตาหลู่อ๋องพลางบอก “ความจริงแล้วพี่ห้าก็พูดสาเหตุออกมาแล้วนี่”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” หลู่อ๋องฉงนหนัก
“เสด็จพ่อลงโทษข้าสถานเบา เพราะตอนที่ข้าต่อยพี่รอง เขาเป็นไท่จื่อ แต่เสด็จพ่อลงโทษพี่สถานหนัก ก็เพราะว่าพี่ต่อยพี่รองตอนที่เขาไม่ได้เป็นไท่จื่อแล้วอย่างไรล่ะ”
เมื่อไท่จื่อผู้สูงส่งประพฤติตัวไม่เหมาะสม การถูกชกดูสักที ฮ่องเต้อาจคิดว่าเป็นบทเรียนแก่ไท่จื่อ เพราะไม่แน่เขาอาจได้เรียนรู้อะไรบ้าง
แต่การที่อดีตไท่จื่อถูกชก ฮ่องเต้เข้าใจได้อย่างเดียวเลยว่านั่นคือการเหยียบย่ำซ้ำเติม และไท่จื่อกำลังตกอยู่ในจุดต่ำสุด
ในสถานการณ์ที่ต่างกัน บทลงโทษถึงได้ต่างกันโดยสิ้นเชิง
อวี้จิ่นยิ้มตาหยีพลางลูบคาง
จะว่าไปแล้ว เขาชกเจ้ารองได้ถูกเวลาจริงๆ
หลู่อ๋องยิ่งฟังยิ่งไม่เข้าใจ “เจ้าเจ็ด ที่เจ้าพูดหมายความว่าอย่างไร ทำไมข้าฟังไม่เข้าใจ”
อะไรคือตอนที่เจ้าเจ็ดต่อยพี่รอง เขาเป็นไท่จื่อ แต่ตอนที่เขาต่อยพี่รอง เขาไม่ใช่ไท่จื่อแล้ว อธิบายแบบนี้ สู้ไม่อธิบายยังดีเสียกว่า
อวี้จิ่นยังคงยิ้มกริ่มพลางส่งถ้วยชาเป็นครั้งที่สอง “เรื่องบางเรื่องพี่ห้าอาจต้องหาคำตอบเอง”
เขากับเจ้าห้าสนิทกันขนาดนั้นเชียวหรือ หากอธิบายเรื่องที่ต้องพินิจพิจารณาด้วยตนเองออกไปอย่างกระจ่างแจ้ง แล้วเจ้าห้าตลบหลังเขาขึ้นมา เขาไม่ถูกโดนลดขั้นด้วยอีกคนหรือ
พระชายาจวิ้นอ๋องยศต่ำกว่าพระชายาชินอ๋องหนึ่งขั้น เขาไม่มีทางยอมให้อาซื่อต้องก้มหัวให้ผู้ใดเป็นอันขาด
“พี่สะใภ้ห้าทราบนี้แล้วหรือ”
หลู่อ๋องใบหน้าซีดเผือดขึ้นทันใด “ยังไม่รู้…”
อวี้จิ่นตบบ่าหลู่อ๋องหนักๆ “พี่ห้ารีบกลับจวนก่อนจะดีกว่า”
หลู่อ๋องเดินไหล่ห่อคอตกออกไปจากจวนเยี่ยนอ๋อง
อวี้จิ่นวางถ้วยชาเย็นชืดลงบนโต๊ะ แล้วรีบกลับไปเล่าข่าวลือให้ภรรยาฟังที่เรือนท้าย
“หลู่อ๋องต่อยอดีตไท่จื่อเลยถูกลดขั้นอย่างนั้นหรือ” เจียงซื่อกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ “ความกล้าหาญของหลู่อ๋องช่างน่ายกย่องจริงๆ”
ไท่จื่อที่ถูกปลดออกจากตำแหน่ง เลยดูเหมือนว่าผู้ใดจะเหยียบย่ำก็ได้ แต่อันที่จริงแล้ว ตอนนี้ในใจของฮ่องเต้มิได้เป็นเช่นนั้น ฉะนั้นจึงยังไม่ควรไปแตะต้องอดีตไท่จื่อ
โลกนี้ สิ่งที่ยากแท้หยั่งถึงคือใจมนุษย์ ยิ่งใจของคนเป็นพ่อเป็นแม่ยิ่งแล้วใหญ่
ลูกที่ถูกพ่อแม่ทุบตีหรือด่าทอ ใช่ว่าพ่อแม่ของคนๆ นั้นหมายจะให้ลูกตัวเองต้องจบชีวิตลง หากมีผู้ใดมาเหยียบย่ำเขาเพียงปลายนิ้ว คนแรกที่จะไม่พอใจก็คือพ่อแม่ของคนผู้นั้น
ถึงจิตใจของมนุษย์จะแข็งกระด้างเพียงใด แต่จิตใจของคนเป็นพ่อแม่กลับอ่อนยวบเมื่อเป็นเรื่องของลูกตัวเอง
เจียงซื่อมั่นใจในเรื่องนี้เป็นอย่างดี เพราะอย่างน้อยๆ การที่ไท่จื่อได้กลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้งก็เพียงพอที่จะพิสูจน์เจตนารมณ์ของจิ่งหมิงฮ่องเต้
หลู่อ๋องไม่รู้อะไรเลย ถึงได้ไม่รู้สึกกลัว และนั่นไม่ต่างอะไรจากการรนหาที่ตาย
ประโยคของเจียงซื่อที่บอกว่า “ความกล้าหาญของหลู่อ๋องช่างน่ายกย่องจริงๆ” ทำให้อวี้จิ่นยิ้มออกมาอย่างรู้ทัน
อาซื่อของเขาฉลาดกว่าหลู่อ๋องเสียอีก
“ฉะนั้นโอกาสที่จิ้งอ๋องจะได้กลับมาเป็นไท่จื่อก็มีสูงมากทีเดียว” เจียงซื่อกล่าว
แม้ว่านางไม่อาจบอกได้ว่า เมื่อชาติที่แล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง แต่อย่างน้อยก็ควรเตือนผู้เป็นสามีเอาไว้
“วางใจได้ ข้าไม่มีทางไปหาเรื่องอดีตไท่จื่ออย่างแน่นอน”
ฉะนั้นคงสรุปได้ว่า อยากทำอะไรก็ให้รีบทำ เพราะเวลาและวารีไม่เคยรอใคร ไม่ว่าเรื่องการแต่งงานกับอาซื่อ หรือการจะต่อยหน้าไท่จื่อก็ตามที
……
หลู่อ๋องที่กลับไปถึงจวนทำใจดีสู้เสือเข้าไปหาพระชายาหลู่อ๋อง
“ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า…”
เพียงนางเลิกคิ้ว แววตาก็ขับประกายอาฆาต “ท่านอ๋องจะพาบ้านเล็กบ้านน้อยมาฉลองขึ้นศักราชใหม่ที่จวนหรือเพคะ”
ทันทีที่กล่าวจบ นางก็ตบโต๊ะฉาดใหญ่ ใบหน้านิ่งเรียบรอคอยคำตอบจากผู้เป็นสามี
“ถ้าเป็นเช่นนั้นได้ก็ดีสิ…” หลู่อ๋องถอนใจ
“ท่านอ๋องว่าอย่างไรนะเพคะ”
หลู่อ๋องขยุ้มหัวตัวเองก่อนจะกล่าวอย่างเหนื่อยอ่อน “วันนี้ข้าชกจิ้งอ๋อง เลยถูกเสด็จพ่อลดขั้นเป็นจวิ้นอ๋อง…”
ผ่านไปครู่หนึ่งแล้ว แต่ทว่ากลับไร้วี่แววลมพายุห่าใหญ่
หลู่อ๋องมองไปที่พระชายาด้วยสายตาฉงนงงงวย
“มีแค่เรื่องนี้น่ะหรือ” พระชายาหลู่เลิกคิ้ว
หลู่อ๋องพยักหน้าหงึกหงัก “อื้อ”
เรื่องนี้เล็กไปหรือ
“หม่อมฉันรับทราบแล้ว หากไม่มีเรื่องอื่นจะแจ้งแล้ว ก็ไปล้างไม้ล้างมือเตรียมเสวยอาหารเถิดเพคะ” พระชายาหลู่อ๋องกล่าวเนิบนาบ
หลู่อ๋องกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะคว้ามือพระชายามาจับไว้แน่น “หรือว่าเจ้าได้ยินสิ่งที่ข้าพูดไม่ชัดพอ”
พระชายาหลู่อ๋องกลอกตาใส่พระสวามี “หม่อมฉันมิได้หูหนวกสักหน่อยเพคะ”
“ข้าถูกลดยศเป็นจวิ้นอ๋อง ส่วนเจ้าก็จะต้องลดจากพระชายาชินอ๋อง มาเป็นพระชายาจวิ้นอ๋อง”
“อื้ม”
หลู่อ๋องยื่นมือไปสัมผัสหน้าผากของพระชายา “นี่เจ้าไม่สบายหรือเปล่า”
พระชายาหลู่เบือนหน้าหนี พลางกล่าวอย่างหมดความอดทน “ท่านอ๋องจะทานข้าวไหมเพคะ”
“ข้าวก็ต้องทานซิ แต่…แต่เจ้าไม่โกรธหรือ”
พระชายาหลู่อ๋องกลอกตาซ้ำสองพร้อมยืดตัวขึ้น “ลดยศก็ลดยศ เบี้ยหวัดน้อยลง ท่านอ๋องจะได้ไม่เอาไปเลี้ยงสนมทั้งหลาย เอาเถอะ หม่อมฉันหิวแล้ว ไปทานข้าวกันเถิดเพคะ”
ครั้นจ้องมองไปที่ใบหน้าสดใสของพระชายา หลู่อ๋องก็รู้สึกตื้นตันขึ้นมาเฉยๆ
ไม่คิดเลยว่าแม่เสือจะดูน่ารักกับเขาเหมือนกัน แล้วทำไมดวงตาของเขาถึงเริ่มรู้สึกร้อนๆ ขึ้นมานะ
แค่กๆ ต้องเป็นเพราะฝุ่นเข้าตาแน่ๆ
หลู่อ๋องกดเบาๆ ที่หางตาก่อนจะคลี่ยิ้มเริงร่า “ข้าก็หิวเหมือนกัน ไปกินข้าวกันเถอะ”
ราชโองการลดยศหลู่อ๋องถูกส่งมาที่จวนหลู่อ๋อง แต่ข่าวนั้นแพร่สะพัดเข้าหูเหล่าองค์ชายรวดเร็วยิ่งกว่า
เจ้าห้าต่อยอดีตไท่จื่อ เลยถูกลดยศ!
ไม่ใช่สิ แล้วเหตุใดเจ้าเจ็ดต่อยไท่จื่อกลับไม่โดนอะไรเลย
เห็นทีคงต้องไปดื่มชากับเจ้าห้าที่จวนสักหน่อยแล้ว แล้วค่อยไปดื่มชากับเจ้าเจ็ดต่อ
หลังจากความคิดของเหล่าองค์ชายคาดคะเนไปต่างๆ นานาอยู่พักหนึ่ง จากนั้นไม่นาน ถนนแผ่นหินสีอ่อนที่อยู่ระหว่างจวนหลู่อ๋องและจวนเยี่ยนอ๋องก็ครึกครื้นขึ้นทันใด และเมื่อคำสั่งอนุญาตให้จิ้งอ๋องมาร่วมงานเลี้ยงฉลองขึ้นศักราชใหม่ของราชวงศ์แพร่ออกไป แม้แต่คนที่มาเยี่ยมอดีตไท่จื่อที่จิ้งหยวนก็เพิ่มขึ้นด้วย
ทีแรกพวกเขาไม่กล้าไปเยี่ยมอดีตไท่จื่อ เพราะคิดว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้ทรงชังโอรสองค์นี้ แต่เมื่อเห็นท่าทีของฮ่องเต้ในวันนี้แล้ว พวกเขาก็มีเหตุผลมาอ้างในการที่ไปที่จิ้งหยวน จิ้งอ๋องถูกหลู่อ๋องทำร้าย ช่างน่าเห็นใจยิ่งนัก ควรจะไปปลอบใจเสียหน่อย
เพื่อตอบรับความครึกครื้นนี้ ทั้งจวนเยี่ยนอ๋อง จวนหลู่อ๋อง หรือแม้แต่จิ้งหยวนกลับตอบสนองแบบเดียวกันอย่างน่าอัศจรรย์คือ ปิดประตูปฏิเสธแขกเหมือนกันทุกราย
บรรดาแขกเหรื่อจึงทำได้เพียงอดใจรอให้ถึงงานเลี้ยงฉลองขึ้นศักราชใหม่