เมื่อเห็นอวี้จิ่น โต้วซูหว่านก็ค้อมตัวพร้อมกล่าวลา
เจียงซื่อละสายตากลับมาก่อนจะหันไปหาอวี้จิ่น “เสด็จพ่อเรียกเจ้าเข้าวังไปทำไมหรือ”
อวี้จิ่นจับมือเจียงซื่อพลางเดินไป
ดอกเหอฮวนร่วงลงมาบนพื้นหินที่ทั้งสองเดินผ่านไป เมื่อรองเท้าส้นหนาของชายหนุ่มเหยียบย่ำ จะทิ้งรอยสีแดงไว้ที่พื้นเบื้องหลัง
อวี้จิ่นเอ่ยปาก “เสด็จพ่อให้ข้าและไท่จื่อไปบรรเทาทุกข์ราษฎรที่อำเภอเฉียนเหอ”
เจียงซื่อชะงักฝีเท้าพร้อมขมวดคิ้ว “อำเภอเฉียนเหอ?”
เมื่อชาติที่แล้ว ในช่วงปีที่ยี่สิบของรัชศกจิ่งหมิง นางและอวี้จิ่นอาศัยอยู่ที่ทางใต้ จึงไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากเหตุแผ่นดินไหวในครั้งนี้
แต่ถึงกระนั้นนางก็พอจำเค้าลางได้คร่าวๆ
แผ่นดินต้าโจวกว้างใหญ่ไพศาล จึงมีเหตุภัยพิบัติเกิดขึ้นบ่อยครั้ง สิ่งที่นางจำได้มิใช่เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งที่หนึ่ง ที่เกิดขึ้นที่อำเภอเฉียนเหอซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองหลวง แม้ในครั้งนั้นจะมีจำนวนผู้เสียชีวิตมากมายมหาศาล หรือมีโรคระบาดก็ตามที แต่ที่นางจำได้คือเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งที่สอง
เหตุการณ์เป็นจริงดังนั้น เพราะในเดือนที่ห้าของรัชศกจิ่งหมิงปีที่ยี่สิบ องค์จักรพรรดิมีรับสั่งให้ไท่จื่อที่เพิ่งกลับขึ้นมาดำรงตำแหน่งได้ไม่นานไปปลอบขวัญราษฎรที่อำเภอเฉียนเหอ แต่ไท่จื่อขลาดกลัวเกินกว่าจะเคลื่อนขบวนเข้าเมือง ได้แต่หลบพักอยู่ที่เมืองใหญ่ใกล้ๆ อำเภอเฉียนเหอ
ในคืนหนึ่ง แผ่นดินไหวครั้งที่สองเกิดขึ้นในตำแหน่งที่ตั้งของเมืองนั้นพอดี และเนื่องจากเป็นเวลาที่ทุกคนกำลังหลับใหล ทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เมืองทั้งเมืองพังทลายเหลือเพียงเศษซากปรักหักพัง
แต่ไม่น่าเชื่อว่าไท่จื่อจะรอดชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิด นอกจากผู้โชคดีที่ติดตามไท่จื่อออกมาอีกสองสามคน เหล่าขุนนางที่พักอยู่ในเมืองเดียวกันกับไท่จื่อ หากไม่บาดเจ็บสาหัสก็ล้มหายตายจากกันไปหมด
ใบหน้าของเจียงซื่อขาวซีดในทันใด
ในชาติที่แล้ว อาจิ่นมิได้เดินทางไปกับกองขบวนนี้ ฉะนั้นจะยืนยันได้อย่างไรว่าอาจิ่นจะเป็นหนึ่งในผู้โชคดีที่มีเพียงหยิบมือ
เรื่องนี้อันตรายเกินไป ไม่ควรเสี่ยง!
ครั้นเห็นสีหน้าของเจียงซื่อแลดูย่ำแย่ อวี้จิ่นก็อดยกมือลูบแก้มขาวนวลของนางไม่ได้ “อย่าได้กังวลไปเลย ที่หนานเจียงอันตรายกว่านี้มาก โรคระบาดมิใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับข้า ต้องป้องกันหรือรักษาอย่างไร ข้าก็มีประสบการณ์มาแล้ว ข้าไม่มีทางเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงอันตรายเด็ดขาด อีกอย่างเจ้าก็ใกล้จะคลอดอยู่แล้ว ข้าสิต้องเป็นห่วงเจ้า…”
อวี้จิ่นกล่าวแล้วยิ่งรู้สึกจนปัญญากับความโชคร้ายของตัวเอง
เหตุใดด้ามไม้ดอกโบตั๋นถึงอยู่ตำแหน่งที่ตรงกับมือจะจับกันนะ!
……
ภายในห้องทรงพระอักษร จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็กำลังสงสัยในเรื่องเดียวกัน “ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเจ้าเจ็ด พานไห่ บอกตรงๆ เลยว่า ในบรรดาทั้งหมดนั่น เจ้าเจ็ดทำให้ข้ารู้สึกวางใจที่สุด เพราะทุกคนล้วนแต่เกิดและเติบโตในเมืองหลวง ใช้ชีวิตเป็นอยู่อย่างสุขสบาย มิเคยตากแดดตากลม ไม่เหมือนเจ้าเจ็ดที่ได้วิชามาจากที่หนานเจียง แม้ไปที่เฉียนเหอที่วุ่นวาย เขาก็น่าจะสามารถควบคุมได้”
อย่างนี้ก็ดี จะได้ช่วยไท่จื่ออีกแรง
พานไห่หัวเราะพลางกล่าวถวายพระพร “เห็นได้ชัดว่าพระทัยของพระองค์คงตรงกับพระประสงค์ของสวรรค์เป็นแน่”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ชะงักไปก่อนจะหัวร่อออกมา เป็นความสุขที่หาได้ยากยิ่งในช่วงเวลาเช่นนี้
พานไห่แอบถอนหายใจพลางคิด อย่างน้อยๆ การกระทำของข้าก็มิได้ไร้ประโยชน์ ขอเพียงแค่เยี่ยนอ๋องไม่รู้ไปจนตายก็พอ
ในความคิดของพานไห่ เขาเห็นว่าคนที่เหมาะสมจะไปที่อำเภอเฉียนเหอกับไท่จื่อที่สุดก็คือเยี่ยนอ๋อง แม้จะเป็นภารกิจที่ยากลำบาก แต่การสร้างความประทับใจให้แก่ฝ่าบาทก็เป็นเรื่องดีมิใช่หรือ อีกทั้งยังได้โอกาสผูกมิตรกับเหล่าขุนนางยศสูง นี่มิใช่การกลั่นแกล้งเสียหน่อย
อื้ม ทั้งหมดที่ทำก็เพื่อตัวเยี่ยนอ๋องทั้งนั้น
พานไห่ปลอบใจตัวเอง ความรู้สึกผิดก้อนเล็กๆ นั้นก็ค่อยๆ หายไป
……
ณ อวี้เหอย่วน เจียงซื่อยืนนิ่งอยู่ใต้ต้นเหอฮวน นางแหงนหน้าเล็กน้อยพลางถาม “อาจิ่น มีบางเรื่องที่ข้ายังไม่เคยถามเจ้า”
“ว่ามาซิ” อวี้จิ่นยื่นมือออกไปช้อนกลีบดอกที่ทำท่าจะตกลงบนไหล่ของเจียงซื่อ และเขี่ยลงพื้น
พื้นใต้ต้นไม้ ปกคลุมด้วยดอกเหอฮวนสีชมพูแผ่เป็นวง ประหนึ่งพรมทอผืนบางสีสันฉูดฉาด
“ตอนที่ข้าย่างเข้าวัยสิบห้า เจ้ากลับมาจากหนานเจียง เหตุใดเจ้าถึงตัดสินใจจะอยู่ที่นี่ และไม่กลับไปที่หนานเจียงอีก”
ภาพความทรงจำจากชาติที่แล้วมิได้เป็นเช่นนี้ เพราะหลังจากที่อาจิ่นไปร่วมงานแต่งงานของนางกับจี้ฉงอี้ไม่นาน เขาก็ไปจากเมืองหลวง จนกระทั่งนางไปอยู่ที่เผ่าอูเหมียว นั่นถึงจะเป็นการพบหน้ากันครั้งแรก
อวี้จิ่นยิ้ม “ตอนแรกข้าก็คิดว่าจะกลับไป แต่เจ้าชิงถอนหมั้นเสียก่อนที่ข้าจะออกเดินทาง ข้าก็เลยอยู่ต่อ”
เจียงซื่อเม้มปาก
ที่แท้เขาก็อยู่ต่อเพราะนางนี่เอง
แต่เพราะมีการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ นางได้กลับมาเกิดใหม่แล้ว แต่กลับแทบจะไม่รู้เรื่องราวชีวิตของอาจิ่นเลย
เจียงซื่อยังคงติดใจเรื่องนี้ คืนนั้นนางเลยหลับไม่สนิท
อวี้จิ่นเอื้อมมือมาวางไว้ที่เอวของนาง “อาซื่อ เจ้ามิต้องกังวลเรื่องของข้า หากเจ้าเป็นเช่นนี้จะกลายเป็นข้าที่เป็นห่วงเจ้า…หรือพรุ่งนี้ให้ข้าหาเหตุผลไปบอกเสด็จพ่อว่าข้าไม่ไปแล้ว ให้คนอื่นไปแทน”
เจียงซื่อจ้องมองไปที่ชายหนุ่ม “ในเมื่อถูกกำหนดไว้แล้ว ใช่ว่าบอกไม่ไป แล้วจะไม่ต้องไป เจ้าคิดว่าเสด็จพ่อเป็นเหมือนบิดาทั่วๆ ไปอย่างนั้นหรือ อีกอย่างก็เป็นเพราะเจ้าจับได้เอง คงไม่มีเหตุผลใดให้แก้ตัว”
อวี้จิ่นอึกอักก่อนจะเอ่ยจืดเจื่อน “ข้ามือตกไปหน่อย”
เจียงซื่อเอนตัวทับทาบลงบนแผงอกกว้างของชายหนุ่ม พลางกล่าวนุ่มนวล “เอาเถอะ นอนกันเถอะ พรุ่งนี้เจ้าต้องออกเดินทางแต่เช้า”
“อื้ม นอนเถอะ เจ้าเองก็ไม่ต้องคิดมาก เพราะไม่อย่างนั้นข้าก็คงนอนไม่หลับด้วยเหมือนกัน”
“เข้าใจแล้ว”
เสียงในม่านค่อยๆ เงียบลง
เช้าวันถัดมา ขณะที่ฟ้ายามรุ่งสางทอแสงรำไร จู่ๆ เจียงซื่อก็ผุดลุกขึ้นนั่งพลางหอบหายใจถี่รัว
อวี้จิ่นรีบลุกตามขึ้นมาโอบไหล่ของนาง “อาซื่อ เจ้าเป็นอะไรไป”
เจียงซื่อหันกลับมามอง นางเริ่มตั้งสติได้
ใบหน้าซีดเซียวราวหยกขาวรางสลัวอยู่ในม่านโปร่งยังเจือไปด้วยความตื่นตระหนก
“อาซื่อ?”
เจียงซื่อจับแขนเสื้อของอวี้จิ่นแน่น พลางเอ่ยแผ่วเบา “อาจิ่น ข้าฝันร้าย”
“เจ้าฝันอะไรรึ” หากเป็นคนอื่น อวี้จิ่นคงกลอกตาใส่ พร้อมสบถถ้อยคำหยามเหยียด ก็แค่ความฝัน ทำดัดจริตไปไย
แต่คนที่พูดคือเจียงซื่อ ผลลัพธ์ถึงได้ต่างออกไป อุตส่าห์ได้มีโอกาสปลอบใจภรรยาทั้งที ดีเสียอีก
อวี้จิ่นดึงเจียงซื่อเข้ามาไว้ในอ้อมกอด พลางลูบหลังของหญิงสาว “ไม่ต้องกลัวไป หากเป็นฝันร้าย ถ้าเล่าออกมาก็จะไม่เป็นจริงแล้ว”
เจียงซื่อที่ฝังตัวอยู่ในอ้อมแขน ขนตาสั่นไหว
ความจริงแล้วนางไม่ได้ฝันร้าย เพียงแค่พยายามหาเหตุผลมาเตือนให้อวี้จิ่นหลุดพ้นจากอันตรายเท่านั้น
“ข้าฝันว่า ตอนที่พวกเจ้าไปถึงที่อำเภอเฉียนเหอ พวกเจ้าไปพักอยู่ที่อีกเมืองซึ่งอยู่ติดกัน แต่ผลปรากฏว่ามีคืนหนึ่งเกิดเหตุแผ่นดินไหว ทุกคนที่นั่นตายกันหมด…”
นางไม่ได้เล่าว่าไท่จื่อจะรอดมาได้
ไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้น…แค่กๆ เพราะบอกแบบนั้นไม่ได้ หากมีรายละเอียดยิบย่อยจะดูไม่เหมือนความฝัน
“แผ่นดินไหวรึ อาซื่อ เจ้าคงกังวลมากไปเอง เพราะเจ้าครุ่นคิดมาทั้งวัน กลางคืนถึงได้เก็บมาฝัน…”
เจียงซื่อผลักอวี้จิ่นออกห่าง พลางเอ่ยจริงจัง “อาจิ่น เจ้าอย่าคิดว่าสิ่งที่ข้าบอกเป็นเพียงความฝัน เจ้าลืมเรื่องที่ข้าเข้าใจภาษาอูเหมียวทั้งที่ไม่เคยไปเหยียบที่หนานเจียงแล้วหรือ เรื่องนั้นจะอธิบายอย่างไร”
เมื่ออวี้จิ่นเห็นว่าเจียงซื่อแลดูจริงจัง เขาก็ไม่อยากให้นางเป็นห่วงจึงรีบตอบ “ข้าเชื่อเจ้า หากไปถึงที่อำเภอเฉียนเหอ ข้าจะไม่มีทางออกไปพักที่เมืองนั้นเด็ดขาด แค่นี้เจ้าก็สบายใจแล้วใช่หรือไม่”
เจียงซื่อถึงได้คลี่ยิ้มออกมาก่อนจะกำชับอีกครั้ง “เจ้าห้ามหลอกข้าเด็ดขาด มิใช่ว่าตอนนี้รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ แต่พอก้าวเท้าออกไปก็ลืมเรื่องไร้สาระที่ข้าพูดไปสิ้น”
หากมิใช่เพราะนางตั้งครรภ์ใกล้คลอด นางคงตามเขาไปด้วย
“ข้าสัญญา อาซื่อ ว่าแต่ที่เจ้าฝันหมายถึงเมืองไหนรึ”
อาซื่อนิ่งไป