“มีตรงไหนที่บอกว่ามิใช่สุนัขธรรมดางั้นหรือ” ไท่จื่อกวาดตาไปทางเอ้อร์หนิว “ก็แค่หัวโตกว่าสุนัขตัวอื่นๆ และเนื้อตัวก็อวบอ้วนกว่าหน่อย เอ๋ หรือว่าขาไม่ค่อยจะดี...”
เอ้อร์หนิวแยกเขี้ยวใส่พลางเห่า “โฮ่ง!”
มันไม่ได้แผลงฤทธิ์เลยเห็นมันเป็นเหมือนกระต่ายหรืออย่างไร คนนี้มันวอนโดนกัดจริงเชียว!
สายตาของสุนัขตัวใหญ่ไปหยุดอยู่ที่บั้นท้ายของไท่จื่อ
มันชอบกัดตำแหน่งนี้มากที่สุด
ไท่จื่อที่ถูกเอ้อร์หนิวจ้องเขม็งขนลุกซู่ ก่อนจะเอี้ยวตัวไปหลบด้านหลังขุนนางที่ยืนอยู่ข้างๆ พลางเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าเจ็ด สุนัขของเจ้าคงเก่งแต่เที่ยวกัดคน ข้าว่าทางที่ดีส่งมันกลับจวนอ๋องไปเถิด”
“โฮ่ง!” เอ้อร์หนิวเห่าหนึ่งครั้งก่อนจะยืนด้วยสองขาหลัง
ไท่จื่อตกใจจนหน้าซีด “รีบพามันออกไป!”
เอ้อร์หนิวที่ยืนด้วยสองขาทำให้ความสูงของมันเกือบจะเท่าไหล่ของคน อวี้จิ่นจึงลูบหัวของมันได้ถนัดมือ
เขาลูบขนเจ้าสุนัขตัวใหญ่พลางหัวเราะ “พี่รองว่าผิดอีกแล้ว สุนัขที่ดีก็ควรจะกัดคนได้ ไม่งั้นมันจะมีประโยชน์อันใด ให้เอาไว้ตุ๋นเนื้อกินงั้นหรือ”
“มันจะกัดหรือไม่กัด เจ้าก็ช่วยเอามันไปให้พ้นทีเถอะ!” ไท่จื่อร้องตะโกนด้วยใบหน้าซีดเซียว
อวี้จิ่นทำหน้าจริงจัง “พี่รองอย่าทำให้น้องลำบากใจเลย นี่คือสุนัขขุนนางที่จะเดินทางไปกับข้าด้วย”
“สุนัขขุนนาง?” ไท่จื่อชะงักไป
อวี้จิ่นชี้นิ้วไปที่เหรียญทองแดงที่คอของเอ้อร์หนิว “ที่คือป้ายห้อยเอวที่องค์จักรพรรดิพระราชทาน เอ้อร์หนิวเป็นแม่ทัพเซี่ยวเทียนชั้นห้า หากพี่รองไม่เชื่อ ลองเข้ามาดูใกล้ๆ ก็ได้”
เจ้าสุนัขตัวใหญ่ผงกหัวตามที่อวี้จิ่นอธิบาย พร้อมก้าวสองเท้าหลังไปข้างหน้าสองก้าว
ไท่จื่อถึงได้เข้าใจ ที่แท้ที่เจ้าสุนัขยืนสองขาก็เพื่อให้เขาเห็นป้ายห้อยเอวนี่เอง
นี่มันสุนัขแสนรู้ชัดๆ
เมื่อเห็นว่าสุนัขตรงหน้ามีจิตใต้สำนึกเฉกเช่นมนุษย์ ไท่จื่อจึงคิดว่ามันคงไม่กัดใครหากไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้านายของมัน ในขณะนั้นความรู้สึกกลัวหายไปแล้ว เหลือเพียงความสนใจในตัวเอ้อร์หนิวเท่านั้น
“น่าสนใจยิ่งนัก ข้าไม่ยักรู้มาก่อนว่า สุนัขของน้องเจ็ดจะได้รับการแต่งตั้งเป็นแม่ทัพกับเขาด้วย” ไท่จื่อลูบคางตัวเอง
เหล่าขุนนางที่ตามมาหลายคนยังคงส่ายหัวกับภาพเหตุการณ์ตรงหน้า
เดิมที แค่เห็นว่ามีสุนัขมาเดินรวมอยู่ในขบวนก็รู้สึกว่าเยี่ยนอ๋องไม่เป็นงาน แต่พอมาคิดดูอีกทีก็นึกขึ้นได้ว่า เมื่อหลายปีก่อน ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งสุนัขตัวหนึ่งขึ้นเป็นแม่ทัพเซี่ยวเทียน อีกทั้งยังได้ยินมาว่าสุนัขตัวนั้นคือผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเยี่ยนอ๋องเอาไว้
ในตอนนั้น มีคนถกเถียงประเด็นนี้กันอย่างหนาหู น่าเสียดายที่เยี่ยนอ๋องไม่ได้กลับมาที่เมืองหลวงเป็นประจำ เรื่องนี้ถึงได้เลือนหายไปในความทรงจำ
การที่ไท่จื่อไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อนทำให้คนอื่นๆ มองเขาไม่ดี เพราะนั่นหมายความว่าไท่จื่อไม่ใส่ใจกิจการบ้านเมืองเลยสักนิด
มนุษย์ก็เป็นเช่นนี้ หลังจากไท่จื่อถูกปลด ตำแหน่งองค์รัชทายาทก็ถูกทิ้งว่าง เหล่าขุนนางเป็นห่วงกลัวว่าจะเป็นเหตุให้บ้านเมืองเข้าสู่วิกฤติ จึงเร่งเร้าให้มีการสถาปนาไท่จื่อโดยเร็ว ทั้งหมดต่างตั้งตารอ แต่แล้ววันนี้ไท่จื่อที่ได้ครองตำแหน่ง ยังเป็นไท่จื่อไม่เอาถ่านคนเดิม จึงทำให้แต่ละคนถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
ดีที่การถอนหายใจเช่นนี้เกิดขึ้นมานานหลายปี เหล่าขุนนางถึงได้ชาชินกับมันเสียแล้ว
“น้องเจ็ด นอกจากเจ้าจะพาเจ้าสุนัขมาด้วย...”
อวี้จิ่นกล่าวแก้ “เอ้อร์หนิว”
ไท่จื่อดึงมุมปาก แต่ในใจก็ไม่อยากผิดใจกับน้องที่มีนิสัยลึกลับเช่นนี้ เขาเอาแต่ยิ้มกลบเกลื่อน “นอกจากพาเอ้อร์หนิวมาด้วย เจ้าคงไม่ได้เอาอะไรมาอีกใช่หรือไม่”
“แล้วจำเป็นจะต้องเอาอะไรมาอีกงั้นหรือ” อวี้จิ่นฉงนกับคำถาม ก้มหน้ามองรอบๆ ตัว
“ก็พวกชุดใหม่สำหรับเปลี่ยนสองสามชุด กับข้าวของใช้ที่ใช้ประจำ” ครั้นคิดถึงข้าวของน้อยนิดที่พระชายาเตรียมให้แล้ว ไท่จื่อก็อารมณ์เสียขึ้นมาทันที
“นอกจากชุดสำหรับเปลี่ยนและอาวุธประจำกาย ของอื่นๆ ก็มิได้นำติดตัวมา” อวี้จิ่นเงยหน้าขึ้นมองฟ้า “พี่รอง ควรออกเดินทางกันเลยหรือไม่”
ไท่จื่อถอนหายใจ จะเร่งอะไรกันหนักกันหนา!
กองขบวนยิ่งใหญ่เคลื่อนพลตามไท่จื่อ มุ่งหน้าสู่อำเภอเฉียนเหอ มีทั้งยารักษาโรค เครื่องมือทางการแพทย์ และข้าวของต่างๆ ใช้เวลาสามวันกว่ากองขบวนจะมาถึงอำเภอเฉียนเหอ
ขุนนางและเจ้าหน้าที่บรรเทาสาธารณภัยที่ได้รับแจ้งข่าวด่วนมารอต้อนรับอยู่ที่ด้านนอกเมือง รอจะกระทั่งดวงอาทิตย์คล้อยลงทางทิศตะวันตกก็ยังไม่เห็นใครโผล่มา
“นี่มันเรื่องอะไรกัน ไหนบอกว่าจะมาถึงภายในหนึ่งชั่วยาม”
“ใครจะไปรู้ หรืออาจมีเรื่องที่ทำให้ล่าช้าอยู่กระมัง”
“ก็แค่จะมาปลอบขวัญราษฎร มีเรื่องใดทำให้ล่าช้าหนักรึ”
ผู้คนว่ากันไปต่างๆ นานา คาดเดาเหตุผลที่ไท่จื่อมาถึงช้ากว่ากำหนด
คนหนึ่งควบตะบึงม้าตรงมาหยุดยืนที่หน้าคนกลุ่มนั้น พลางยกมือขึ้นคารวะ “ใต้เท้าทั้งหลาย บัดนี้ไท่จื่อหยุดพักอยู่ที่ดงไป๋หยางซึ่งห่างออกไปราวๆ สิบลี้ขอรับ”
ดงไป๋หยางเป็นเนินเขาเตี้ยที่มีต้นไป๋หยางขึ้นปกคลุม เป็นทางที่อยู่ระหว่างเมืองหลวงและอำเภอเฉียนเหอ
ทั้งหมดหันมองหน้ากันและกัน
ดงไป๋หยางไม่มีทั้งบ้านเรือนและร้านค้า เหตุใดไท่จื่อถึงหยุดพักที่นั่น
ไท่จื่อคือองค์รัชทายาท เป็นตัวแทนขององค์จักรพรรดิ ไม่ว่าจะหยุดพักอยู่ที่นั่นด้วยสาเหตุใด อย่างไรแล้วพวกเขาก็ทำได้เพียงเร่งรี่ไปหา
กองขบวนหยุดพักอยู่กลางป่า ควันขาวลอยฉุยขึ้นฟ้า
นี่กำลังเตรียมอาหารกันอยู่หรือ
คนกลุ่มนั้นรีบเข้าไปทำความเคารพไท่จื่อ “กระหม่อมถวายบังคมองค์รัชทายาท หนทางที่ผ่านมา คงลำบากมากเลยใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ไท่จื่อกวาดตามองคนกลุ่มนั้นพลางถาม “พวกเจ้าคือขุนนางและเจ้าหน้าที่ที่รับหน้าที่ดูแลเรื่องบรรเทาสาธารณภัยงั้นหรือ”
เสนาบดีกรมพระคลังเป็นหัวหน้าดูแลฝ่ายบรรเทาสาธารณภัย เขามีแซ่จ้าว เมื่อได้ยินไท่จื่อถามเช่นนั้นก็รีบตอบ “กระหม่อมจ้าวหรูชิ่ง เป็นซื่อหลางฝ่ายขวาประจำกรมพระคลัง เป็นหัวหน้าดูแลการบรรเทาสาธารณภัยในครั้งนี้ คนเหล่านี้เป็นเหล่าเจ้าหน้าที่ที่ตามกระหม่อมมาจากเมืองหลวง และนี่คือเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของอำเภอเฉียนเหอพ่ะย่ะค่ะ…”
ไท่จื่อพยักหน้าเชื่องช้า แต่นอกจากจ้าวซื่อหลางแล้ว คนอื่นๆ เขาแทบจำไม่ได้เลย
“สถานการณ์ที่เฉียนเหอเป็นอย่างไรบ้าง”
สีหน้าของจ้าวซื่อหลางย่ำแย่อย่างเห็นได้ชัด “สถานการณ์ไม่สู้ดีพ่ะย่ะค่ะ เหตุแผ่นดินไหวในครั้งนี้เป็นเหตุการณ์แผ่นดินไหวในรอบร้อยปีเลยก็ว่าได้พ่ะย่ะค่ะ ผู้คนล้มตายไปกว่าหมื่นชีวิต หนำซ้ำสภาพอากาศยังเลวร้าย เป็นเหตุให้โรคระบาดบานปลายเกินควบคุมพ่ะย่ะค่ะ…”
ไท่จื่อซ่อนสายตาแห่งความรังเกียจเอาไว้ก่อนจะถาม “แล้วพวกเจ้ามีวิธีป้องกันไม่ให้ตัวเองติดโรคระบาดพวกนั้นอย่างไร”
ครั้นได้ยินเช่นนั้น มุมปากของแต่ละคนก็กระตุกวูบ
จ้าวซื่อหลางตอบ “ทุกครั้งที่เข้าไปตรวจตราในเมือง พวกกระหม่อมจะปฏิบัติตามคำสั่งของแพทย์หลวงคือให้ใช้โอสถต้ม อาบน้ำด้วยสมุนไพร และรมควันอาภรณ์ที่สวมใส่พ่ะย่ะค่ะ…”
ไท่จื่อได้ยินดังนั้นหนังศีรษะก็ปวดหนึบขึ้นทันใด
ที่เขากังวลมันไม่ผิดไปจากสถานการณ์จริงเลยสักนิด แค่การจะเข้าไปหนึ่งครั้ง ยังยุ่งยากถึงเพียงนี้ เห็นได้ชัดว่าโรคระบาดนี้ร้ายแรงยิ่งนัก
ไม่กลัวเรื่องที่คาดเดาได้ แต่กลัวเรื่องที่คาดเดาไม่ได้ เขาจะไม่มีทางเอาชีวิตไปเสี่ยงเด็ดขาด!
“แล้วผู้คนในเมืองอยู่กันอย่างไร” เสียงแผ่วเบาเอ่ยขึ้น
คำถามที่ดูเป็นการเป็นงานเช่นนี้ทำเอาจ้าวซื่อหลางนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะหันมองไปที่ใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์ไม่ต่างจากไท่จื่อนัก แต่กลับดูคมคายกว่ามาก
อวี้จิ่นไม่คิดว่าการถามคำถามทั่วไปจะทำให้ทั้งหมดนิ่งค้างกลางอากาศ เพราะก็เห็นชัดๆ อยู่ว่าคำถามเบาปัญญาของไท่จื่อยังตอบกันคล่องปากอยู่แท้ๆ
เขากระแอมกระไอแผ่วเบาเป็นการเตือนจ้าวซื่อหลาง
จ้าวซื่อหลางพลันได้สติ ทันทีที่หันไปเห็นท่าทีของอวี้จิ่น เขาก็ดูลุกลี้ลุกลนขึ้นกว่าเดิม “ปัจจุบันเขตเมืองแบ่งออกเป็นสองส่วนคือฝั่งตะวันตก และฝั่งตะวันออก คนที่ไม่ได้ติดโรคให้ไปรวมอยู่ที่ฝั่งตะวันตก ส่วนคนที่มีสมาชิกในครอบครัวติดโรค แต่ไม่ยอมแยกกันอยู่ก็ยังคงอาศัยอยู่ที่ฝั่งตะวันออก มีการจดบันทึกจำนวนผู้เสียชีวิตและผู้ที่บาดเจ็บในเล่มทะเบียน ร่างของผู้เสียชีวิตจะถูกฝังรวมไว้ที่เดียวกัน นอกจากนี้ยังมีการมอบเงินทำขวัญครอบครัวละหนึ่งเหลียง… แต่เมื่อสถานการณ์โรคระบาดรุนแรงขึ้น ผู้ประสบภัยพิบัติที่อยู่ในฝั่งตะวันตกก็ไปเรียกร้องอยู่ที่หน้าประตูเมือง เพราะต้องการย้ายออกจากเมืองพ่ะย่ะค่ะ…”
โดยทั่วไปแล้ว พื้นที่ที่เกิดโรคระบาด จะไม่อนุญาตให้คนในพื้นที่ออกนอกพื้นที่ ยิ่งเป็นอำเภอเฉียนเหอที่อยู่ใกล้กับเมืองหลวงแล้ว เหล่าขุนนางถึงไม่กล้าปล่อยเหยื่อภัยพิบัติเหล่านั้นออกไปนอกเมือง
เพราะหากมีคนติดโรคเล็ดลอดออกไปคงสร้างความวุ่นวายไม่น้อย