ณ ห้องทรงพระอักษรสว่างจ้าด้วยแสงไฟ จิ่งหมิงฮ่องเต้กำลังพลิกดูสมุดบัญชี
เดือนห้านั้นฝนตกค่อนข้างบ่อย ช่วงนี้ทุกที่มีข่าวเรื่องน้ำขึ้นน้ำลงทยอยมาไม่ขาดสาย บวกกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในเมืองเฉียนเหอยิ่งทำให้เขาเป็นห่วงไปใหญ่
กำลังคน เงินบรรเทาทุกข์รวมไปถึงทรัพยากรเสบียงต่างๆ ถูกส่งออกไปยังทุกที่ที่เกิดภัยพิบัติอย่างไม่ขาดสาย เมื่อเห็นทรัพยากรในคลังลดลงไปอย่างรวดเร็วต่อหน้าต่อตาก็ทำให้เขาอยู่อย่างไม่เป็นสุข
ทั้งความกังวล กลุ้มใจเป็นสิ่งที่จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้สึกอยู่ตลอดในช่วงหลายวันมานี้
บทละครที่วางอยู่ตรงมุมห้องถูกลืมยกขึ้นมาอ่านจนฝุ่นเกาะเต็มไปหมด
เสียงฝีเท้าดังขึ้น
จิ่งหมิงฮ่องเต้เงยหน้าขึ้นมองพานไห่
พานไห่ถอยออกไปเล็กน้อยทันที ไม่ช้าก็ถือรายงานด่วนฉบับหนึ่งเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“รายงานจากที่ไหน” จิ่งหมิงฮ่องเต้ตรัสถาม
พานไห่มองกวาดไปที่จดหมายรายงาน พลางตอบออกไป “จากเมืองเฉียนเหอพ่ะย่ะค่ะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้วางสมุดบัญชีในมือลง “เอามานี่”
ช่วงนี้รายงานของเมืองเฉียนเหอมักจะปรากฏตัวอยู่บนโต๊ะทรงงานของเขาทุกเช้า ถือเป็นระเบียบปฏิบัติไปแล้ว รายงานของวันนี้เขาดูหมดแล้ว เหตุใดถึงได้มีรายงานมาช่วงดึกอีก
จากประสบการณ์ จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้ได้เลยว่ามันไม่ใช่ข่าวดีแน่
เมื่อรับจดหมายรายงานจากเมืองเฉียนเหอมา จิ่งหมิงฮ่องเต้รอสักพักถึงได้เปิดอ่าน กวาดสายตาอ่านเนื้อหาเรื่องแผ่นดินไหวที่เมืองจิ๋นหลี่อย่างรวดเร็ว มือสั่นระริกทันที แล้วรีบอ่านต่อ
รายงานด่วนเนื้อหาสั้น กระชับ จิ่งหมิงฮ่องเต้อ่านจบอย่างรวดเร็ว
หลังจากอ่านจบ เขารู้สึกงงงวยเล็กน้อย
พานไห่เห็นจิ่งหมิงฮ่องเต้มีปฏิกิริยาเช่นนี้ เกิดความสงสัยในใจ จึงตะโกนเรียกอย่างระมัดระวัง “ฝ่าบาท…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เหลือบมองพานไห่ ถือจดหมายรายงานในมือไว้แน่นพร้อมกับตรัสออกมา “เมืองจิ๋นหลี่ที่อยู่ใต้เมืองเฉียนเหอเกิดแผ่นดินไหวขึ้นแล้ว”
พานไห่หน้าเหยเก เอ่ยปากพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว “เช่นนั้นผู้บาดเจ็บล้มตาย…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา “ในจดหมายบอกว่าเมืองจิ๋นหลี่พังราบเป็นหน้ากลอง ทว่าเนื่องจากชาวบ้านในเมืองหนีออกไปก่อนหน้านั้นหลายวัน จำนวนผู้เสียชีวิตจึงอยู่เพียงแค่หลักสิบ ซึ่งกำลังอยู่ในขั้นตอนรวมรวมข้อมูลอย่างละเอียดว่ามีผู้เสียชีวิตกี่คน ต้องรอวันพรุ่งนี้หรือไม่ก็มะรืนนี้จะมีข้อมูลที่ถูกต้องส่งมา…”
“เป็นไปได้อย่างไรกัน” พานไห่พูดโพล่งออกไป
จิ่งหมิงฮ่องเต้วางจดหมายรายงานด่วนลงบนโต๊ะ เอ่ยพูดเสียงขรึม “ใช่ เป็นไปได้อย่างไร! บ้านเรือนในเมืองเฉียนเหอพังทลายสามในสิบ อีกทั้งมีคนตายนับหมื่นกว่าคน นับเป็นสองในสิบส่วนของประชากรทั้งหมดในเมืองเฉียนเหอ แต่นี่เมืองจิ๋นหลี่ มีผู้เสียชีวิตเพียงหลังสิบเท่านั้น หรือว่าเมืองจิ๋นหลี่เป็นเมืองเล็กๆ ที่มีประชากรร้อยกว่าคน ”
พานไห่พูดออกไป “หลังจากที่เมืองเฉียนเหอเกิดแผ่นดินไหวขึ้น กระหม่อมได้เปิดหาข้อมูลดูจำได้ว่าเมืองจิ๋นหลี่นับเป็นเมืองที่คึกคักที่สุดเมืองหนึ่งภายใต้อำนาจการดูแลของเมืองเฉียนเหอ ประชากรมีหนึ่งพันกว่าคน…”
หนึ่งพันกว่าคน เหตุการณ์บ้านพังทลายลงจำนวนมากมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเพียงหลักสิบ นี่มันแปลกประหลาดเกินไปแล้ว
จิ่งหมิงฮ่องเต้ตบฉาดลงบนโต๊ะ “จ้าวหรูชิ่ง ในจดหมายรายงานด่วนก็ไม่เขียนให้ชัดเจน กำลังทำบ้าอะไรอยู่เนี่ย!”
พานไห่ไม่พูดต่อ
หัวใจสำคัญของรายงานด่วนก็คือคำว่า ‘ด่วน’ ซึ่งเป็นการรีบเขียนอย่างรวดเร็ว เพียงแค่เขียนเรื่องที่สำคัญลงไปก็พอ ส่วนรายละเอียดต้องรอให้จัดการทุกอย่างเสร็จแล้วค่อยรายงานอีกที
วันต่อมา จิ่งหมิงฮ่องเต้ลูบจดหมายในมือ รอเหล่าขุนนางทั้งหลายรายงานเรื่องต่างๆ เสร็จก็ตรัสออกไปด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “เมื่อวานเมืองจิ๋นหลี่ในเฉียนเหอเกิดแผ่นดินไหวขึ้น”
ทันทีที่พูดออกไป เหล่าขุนนางต่างก็ตื่นตระหนก
แผ่นดินไหวอีกแล้วหรือ
เรื่องแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในเฉียนเหอก่อนหน้านี้ทำให้เหล่าขุนนางรู้สึกว่ายังไกลตัว ทว่าเหตุการณ์แผ่นดินไหวเล็กน้อยที่วัดไท่กลับทำลายความกล้าหาญของคนเหล่านี้จนหมดสิ้น
ปีนี้เป็นปีอะไรกัน ไม่นึกเลยว่าแม้แต่เมืองหลวงยังเกิดแผ่นดินไหว วันนี้เมืองจิ๋นหลี่ก็เกิดแผ่นดินไหวอีก หรือว่าเหตุการ์แผ่นดินไหวมันจะเกิดขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด
แผ่นดินไหวนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าน้ำท่วม อย่างไรก็ตามน้ำท่วมไม่ได้เกิดขึ้นภายในวันเดียว ถ้าหากมีมาตราการที่เหมาะสมก็สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่ว่าแผ่นดินไหวนั้นไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ขณะที่เกิดเหตุทำได้เพียงก้มหน้ารับชะตากรรม
“เมื่อวานข้าได้รับรายงานด่วนจากจ้าวซื่อหลาง บอกว่าบ้านเรือนของเมืองจิ๋นหลี่ทั้งหมดดูเหมือนจะพังราบเป็นหน้ากลอง ชาวบ้านจำนวนนับร้อยพันไร้ซึ่งที่อยู่อาศัย ต้องการเงินไปดูแลจัดหาที่พักให้ชาวบ้านด่วน…”
“เป็นไปไม่ได้!” ซื่อหลางฝ่ายซ้ายประจำกรมพระคลังพูดโพล่งออกมา
เสนาบดีกรมพระคลังอายุถึงวัยเกษียณแล้ว ซื่อหลางฝ่ายซ้ายกับฝ่ายขวาประจำกรมพระคลังล้วนเป็นผู้ช่วยในกรมพระคลัง และทั้งคู่ต่างก็เล็งตำแหน่งเสนาบดีกรมพระคลังไว้ การประลองฝีมือของทั้งสองดำเนินการมาอย่างยาวนาน
การต่อสู้ของทั้งคู่ย่อมมีฝ่ายได้เปรียบเสมอ หากฝ่ายขวาไม่ชนะก็ฝ่ายซ้ายชนะ หากฝ่ายซ้ายไม่ชนะฝ่ายขวาก็ชนะ ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ซื่อหลางฝ่ายซ้ายไม่อาจเห็นแก่ว่าเป็นเพื่อนร่วมงานได้แล้ว
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองไปที่ซื่อหลางฝ่ายซ้ายประจำกรมพระคลัง
“ฝ่าบาท เมืองจิ๋นหลี่มีประชากรทั้งหมดหนึ่งพันกว่าคน ภายใต้สถานการณ์ที่บ้านเรือนพังทลายลงเกือบทั้งหมด จะรายงานว่ามีคนอีกเป็นร้อยเป็นพันไร้ซึ่งที่อยู่อาศัยได้อย่างไร จากที่กระหม่อมดู ใต้เท้าจ้าวจะต้องพูดจาเกินจริงแน่ คงอยากจะให้ทางราชสำนักดึงเอาเงินออกมาใช้เป็นจำนวนมาก!”
เสนาบดีกรมพระคลังเหลือบมองซื่อหลางฝ่ายซ้ายประจำกรมพระคลัง เปลือกตาที่เหี่ยวย่นหลุบต่ำลงอีกครั้ง
ถ้าหากเขาอายุน้อยกว่านี้สักหน่อย ซื่อหลางฝ่ายซ้ายคงไม่กระวีกระวาดร้อนใจโจมตีขุนนางด้วยกันเช่นนี้หรอก เขาไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่ตรวจการฝ่ายอื่นมองกรมพระคลังเป็นเรื่อตลกหรอกนะ
ตอนนี้เขาใกล้จะเกษียณ จึงสามารถเข้าใจการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นระหว่างซื่อหลางฝ่ายซ้ายกับซื่อหลางฝ่ายขวาได้
ช่างเถอะ ปล่อยพวกเขาแข่งกันไป
ซื่อหลางฝ่ายซ้ายประจำกรมพระคลังพูดขนาดนี้แล้ว ขุนนางที่เป็นคู่อริกับจ้าวซื่อหลางก็ไม่วายรีบพูดเสริมออกมา
จิ่งหมิงฮ่องเต้นิ่งมาก รอคนพวกนี้ปะทะกันเสร็จ ตรัสขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ในจดหมายรายงานด่วนจ้าวซื่อหลางได้บอกไว้ว่าที่เมืองจิ๋นหลี่มีผู้เสียชีวิตเพียงหลักสิบ ส่วนจำนวนตัวเลขที่ชัดเจนคงต้องรออีกสองวันถึงจะรู้ผล”
“อะไรนะ ผู้เสียชีวิตมีเพียงหลักสิบงั้นหรือ”
ห้องโถงพระที่นั่งอันเป็นระเบียบเรียบร้อยในเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นตลาดสดโกลาหลวุ่นวายไปหมด
จิ่งหมิงฮ่องเต้กลับไม่แสดงท่าทีไม่พอใจออกมาต่อเหตุการณ์วุ่นวายเช่นนี้
ส่วนมากเหตุการณ์สำคัญมักจะถูกคลี่คลายได้เมื่อโต้เถียง แสดงความเห็นต่อไปเรื่อยๆ ความคึกคักเช่นนี้อย่างน้อยเขาก็สบายใจกว่าไม่มีใครพูดอะไรออกมา
เหล่าขุนนางพูดคุยปรึกษากันไม่หยุด จนสุดท้ายก็ได้ข้อสรุปออกมาว่าเรื่องนี้จะต้องมีลับลมคมในแน่ๆ
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองไปที่เสนาบดีกรมพระคลังผู้สุขุม “อ้ายชิงมีความเห็นว่าอย่างไร”
ถึงแม้ว่าเสนาบดีกรมพระคลังใกล้จะเกษียณแล้ว แต่ตอนนี้ก็ยังอยู่ในตำแหน่งอยู่ จิ่งหมิงฮ่องเต้จึงต้องถาม
เสนาบดีกรมพระคลังลืมตาขึ้นเล็กน้อย เอ่ยพูดออกไปช้าๆ “เฉียนเหออยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงมากนัก อย่างมากควบม้าเร็วไปไม่ถึงสองวันก็ถึงแล้ว ในเมื่อทุกคนล้วนรู้สึกว่าเรื่องนี้มีลับลมคมนัย เหตุใดฝ่าบาทถึงไม่ส่งคนไปดูล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ยินก็พยักหน้าออกมาโดยไม่รู้ตัว
เขาก็กำลังคิดเช่นนี้เหมือนกัน
“…”
บวกกับไท่จื่อและเยี่ยนอ๋องล้วนอยู่ที่นั่นด้วย ใกล้เหตุการณ์แผ่นดินไหวเช่นนั้น เขาจึงไม่วางใจเรื่องความปลอดภัย
ขณะที่กำลังคิดอยู่ ขุนนางคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาท ไท่จื่อเป็นองค์รัชทายาทของบ้านเมือง ตำแหน่งสูงศักดิ์ ไม่ควรจะเอาตัวเองไปเสี่ยง เมืองจิ๋นหลี่เกิดแผ่นดินไหวต่อจากเฉียนเหอ แล้วที่อื่นจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีกหรือไม่ กระหม่อมว่าควรเรียกไท่จื่อกลับมายังเมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ”
“เหล่าขุนนางก็เห็นพ้องต้องกันพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้น “ส่งผู้ตรวจการนายหนึ่งไปที่อำเภอเฉียนเหอเพื่อตรวจสอบเรื่องนี้ ส่วนเรื่องที่ให้เรียกตัวไท่จื่อกลับมายังเมืองหลวงนั้น…รอผู้ตรวจการกลับมารายงานค่อยว่ากันอีกที”
ส่วนตัวแล้ว เขาเป็นพ่อของไท่จื่อ ย่อมไม่อยากให้ลูกชายของตัวเองตกอยู่ในอันตรายแน่นอน ทว่าในส่วนของการดำรงตำแหน่ง เพราะไท่จื่อเป็นองค์รัชทายาทเขาถึงอยากให้ไท่จื่อฝึกฝนอย่างหนัก ในอนาคตจะได้จัดการดูแลใต้หล้ากว้างใหญ่แห่งนี้ได้
มีลูกคนโตเช่นนี้ พอคิดมากจิ่งหมิงฮ่องเต้จึงปวดหัวทันที ความรู้สึกอึดอัดใจนี้คนนอกไม่เข้าใจหรอก
ผู้ตรวจการกับพานไห่และลูกน้องออกไปตรวจตราตามพระบัญชาของฝ่าบาท รีบมุ่งหน้าไปที่เฉียนเหออย่างรวดเร็ว